เมื่อมีแรงสนับสนุนจากจางเฉาิ ซูฉีเฉียวก็รู้สึกเบิกบานใจ
ความสำเร็จคือบทสรุปของความล้มเหลว ขั้นตอนสุดท้ายในการเปลี่ยนให้เป็น้ำตาลทรายขาวนั้น อันที่จริงคือขั้นตอนการกลั่นให้บริสุทธิ์ นั่นคือการแบ่งชั้น…
สามวันหลังจากนั้น
เมื่อได้เห็นน้ำตาลทรายขาวราวๆ หนึ่งกิโลกรัมครึ่ง ซูฉีเฉียวก็ตื่นเต้นจนน้ำตาไหล
“ภรรยา…เ้าเก่งกาจเสียจริง!” จางเฉาิที่ปอกเปลือกลิ้นจี่เสร็จ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นซูฉีเฉียวที่แววตาเอ่อล้นไปด้วยน้ำตามองกองน้ำตาลทรายขาวละเอียด
สีขาวสะอาดนั้นทำให้ตัวเขาเองก็อยากจะร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจ
“พวกเรา…พวกเราทำสำเร็จแล้ว สำเร็จแล้วจริงๆ ฮ่าๆ เฉาิ หลังจากนี้พวกเราก็สามารถกลั่นน้ำตาลทรายขาวได้แล้ว อยากนำไปแลก…”
ทั้งคู่ร่วมกันวางแผนในอนาคต ซูฉีเฉียวจินตนาการถึงเงินที่โบยบินอยู่เบื้องหน้า จางเฉาิเห็นภรรยาที่ตื่นเต้นจนควบคุมตนเองไม่อยู่ รอยยิ้มของนางแทบฉีกไปถึงใบหู ภรรยาของเขาเก่งกาจที่สุด ทว่าในใจก็เกิดความรู้สึกผิดหวังเล็กๆ เขา…ไม่ได้มีความสามารถเหมือนกับภรรยา แต่เมื่อเห็นภรรยาที่กำลังมุมานะอยู่เบื้องหน้าเขาก็รู้สึกดีใจ ตัวนางในตอนนี้ยิ่งดูงดงามจนทำให้ผู้คนประทับใจ
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ซูฉีเฉียวนำน้ำตาลสำเร็จรูปทั้งหมดหนึ่งกิโลกรัมครึ่งนั้นไปในเมือง
เถ้าแก่ร้านขายของชำเมื่อเห็นนางถือน้ำตาลทรายขาวมา เขาก็ใจนอ้าปากค้าง
เขาลองหยิบน้ำตาลส่วนหนึ่งมาชิม รสชาติบริสุทธิ์ แม้แต่สีสันก็ดูดีกว่าของเ้าอื่นๆ ที่ขนส่งเข้ามาขายอีกด้วย
หลังจากที่ซูฉีเฉียวได้เห็นเถ้าแก่อ้าปากค้างแล้ว นางก็รู้สึกโล่งใจ ดูท่าทางสินค้าชิ้นนี้จะประสบความสำเร็จแล้วจริงๆ
“แม่นางเข้ามานั่งข้างในก่อนเถิด พวกเรามาคุยกันก่อน” เถ้าแก่ไม่ได้คิดแค่การทำการค้า แต่เขานึกถึงเงินก้อนใหญ่ที่จะได้จากการซื้อขายนี้ หรือบางทีร้านของเขาจะสามารถขยับขยายได้หรือไม่ก็คงจะต้องรอดูจากการร่วมมือกับหญิงสาวตรงหน้านี้แล้ว…
หลังจากเข้าไปในบ้านแล้ว เถ้าแก่ก็นำขนมขบเคี้ยวที่ขายอยู่ในร้านส่วนหนึ่งมาวางเอาไว้ เป็ขนมจำพวกเมล็ดแตงและถั่วลิสงอะไรทำนองนั้น
ซูฉีเฉียวกวาดสายตามองไปก็พบว่าในร้านนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีของจำพวกองุ่นแห้งเลย เป็อย่างที่นางคิดเอาไว้ เพราะเป็สภาพแวดล้อมปลอดมลพิษ ทั้งยังมีอาหารมากมายที่ยังไม่ได้พัฒนาออกมา ไม่เช่นนั้นเหล่าหญิงสาวที่ย้อนเวลาทะลุมิติเข้ามาก็คงไม่ได้แสดงฝีมือของตนเองออกมากันหรอก
“ข้าเห็นว่าแม่นางก็น่าจะเป็คนสบายๆ ตรงไปตรงมา พวกเราไม่อ้อมค้อมก็แล้วกัน น้ำตาลทรายขาวนี้ไม่เลวเลย ในทางกลับกันน้ำตาลที่ข้านำเข้ามาขายยังไม่มีเ้าไหนดีเท่าที่แม่นางนำมาเลย หากเ้า้าขาย ข้าเองก็จะสะดวกขึ้นด้วย แต่ว่าเื่ราคา แม่นางจะว่าอย่างไรหรือ”
ซูฉีเฉียวเผยรอยยิ้ม นางพอใจที่เถ้าแก่ท่านนี้ไม่ได้พยายามครอบงำผู้อื่น และไม่ได้พยายามที่จะชักนำให้ไปในทิศทางของตนเอง ซึ่งก่อนที่นางจะเดินทางมา นางเป็กังวลอยู่ว่าจะถูกชักจูงหรือไม่ การถูกข่มเหงจากผู้มีอำนาจนั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ
“เื่ราคาหรือ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ท่านเป็เถ้าแก่ เอ่ยปากมาเถิด ข้าเชื่อว่าเถ้าแก่หวงจะไม่เอาเปรียบข้าแน่นอน”
“ตกลง ข้าก็พูดตามตรงเลยแล้วกัน ของพวกนี้เป็สิ่งที่เหล่าคนมีฐานะมักจะกินกัน แน่นอนว่าหากเ้าสามารถผลิตออกมาได้ หลังจากนี้เ้าก็สามารถมารับสินค้าจากที่นี่ไปได้เลย และแน่นอนว่าราคานี้เป็ราคาที่พวกเราได้ผลประโยชน์ร่วมกัน ราคาน้ำตาลทรายที่ข้านำเข้ามาขายจากภายนอก ราคาหนึ่งจินคำนวณเป็ราคาห้าสิบเหรียญทองแดง ข้ารับของมาจากแม่นาง ข้าคิดเป็ราคาสี่สิบห้าเหรียญทองแดงต่อหนึ่งจิน แม้ว่าเ้าจะขาดทุนไปสักหน่อย แต่ข้าก็อยากจะได้รับส่วนแบ่งจากตรงนี้ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็จะให้น้ำตาลทรายแดงซึ่งเป็วัตถุดิบกับเ้าไปอีกนาน…”
ราคานี้ซูฉีเฉียวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพึงพอใจกับมัน ถึงแม้จะถูกกว่าน้ำตาลทรายขาวที่นำเข้ามาจากข้างนอกห้าเหรียญทองแดง แต่การที่จะมีคู่ค้าไประยะยาวนั้นก็ถือว่าไม่เลวและนี่ก็เป็การทำการค้า ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ที่ได้รับร่วมกัน
ในฐานะผู้มาใหม่ หาก้าที่จะเปิดตลาดการค้า ก็คงจะทำได้เพียงใช้คุณภาพและราคาเพื่อคว้าชัยชนะเท่านั้น ซึ่งจะต้องรู้ก่อนว่าพ่อค้าในยุคนี้ล้วนแต่มีเครือข่ายคู่ค้าที่แน่นอน
“ได้ ตกลงตามนี้ ท่านให้วัตถุดิบแก่ข้า ข้าก็จะกลั่นน้ำตาลให้ท่าน”
น้ำตาลทรายแดงสองจินราคายี่สิบสี่เหรียญทองแดง น้ำตาลทรายแดงสองจินสามารถกลั่นออกมาเป็น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ได้ เมื่อหักจากสี่สิบห้าเหรียญทองแดงออกไปยี่สิบสี่เหรียญทองแดง เมื่อคำนวณดูแล้วนางก็จะได้ยี่สิบเอ็ดเหรียญทองแดง หากนานไป…กิจการนี้ก็เป็การค้าที่น่าทึ่งมากจริงๆ “เอาล่ะ ตามนี้แล้วกัน พวกเราเซ็นสัญญากันก่อน เขียนเงื่อนไขข้อตกลงลงไป การจ่ายเงินก็จ่ายทุกครึ่งเดือนแล้วกัน”
เื่ที่เถ้าแก่หวงไม่คาดคิดก็คือแม่นางผู้นี้จะเอ่ยถึงเื่การทำสัญญาขึ้นมา เมื่อได้ฟังกฎเกณฑ์ที่เป็ระเบียบ ทำเื่ต่างๆ ได้ชัดเจน เถ้าแก่หวงก็ลอบคิดในใจว่า แม่นางคนนี้เป็ลูกหลานจากตระกูลร่ำรวยตระกูลไหนหรือไม่ มิเช่นนั้นนางคงไม่รู้เื่การทำการค้าเช่นนี้แน่
ยิ่งคิดเช่นนั้น เถ้าแก่หวงก็ยิ่งปฏิบัติต่อนางด้วยความเกรงใจมากขึ้น
ทั้งสองคนเซ็นสัญญาร่วมกัน ตามที่ได้ตกลงกัน เถ้าแก่หวงได้เสนอน้ำตาลทรายแดงให้นางสิบกิโลกรัม
การผลิตน้ำตาลทรายขาว ซูฉีเฉียวจะใช้ระยะเวลาห้าวันเพื่อส่งสินค้า
ก่อนเดินทางกลับซูฉีเฉียวก็ได้ขอยืมเงินสองตำลึงจากเถ้าแก่จางด้วยความเกรงใจ เมื่อมีกิจการนี้ นางก็ไม่กังวลเกี่ยวกับการชำระหนี้อีกต่อไป มีของมากมายในบ้านที่ต้องซื้อ ซึ่งเป็ของที่เกี่ยวข้องกับเ้าตัวน้อยทั้งสาม ตัวนางจะเอาเปรียบเด็กๆ ไม่ได้เด็ดขาด
“ตกลง หลังจากนี้อีกห้าวัน ข้าจะรอแม่นางนำสินค้ามาส่ง”
ก่อนร่ำลากัน เถ้าแก่หวงก็ได้ส่งนางกลับด้วยตนเอง
สำหรับนางที่ยืมเงินั้แ่การทำการค้าครั้งแรก ไม่ได้ทำให้เถ้าแก่หวงรู้สึกไม่พอใจเลย ในทางกลับกันเขาก็คอยถามด้วยซ้ำว่า้าจะยืมเพิ่มหรือไม่ เขาเองก็เป็คนที่เข้าใจในอาชีพอย่างชัดเจน เขารู้ดีอยู่แล้วว่าตราบใดที่การค้านี้ราบรื่น ไม่มีทางที่นางจะไม่ยอมคืนเงินเขาแน่นอน
เพราะอาศัยอยู่ที่นี่ ทำให้เขาไม่ได้กังวลว่านางจะเบี้ยวหนี้
หลังจากที่ซูฉีเฉียวบอกลาเถ้าแก่หวงแล้วก็รีบเดินทางไปตลาด เครื่องในหมูที่ซื้อไปในครั้งก่อนถูกนำไปทำอาหารจนหมดแล้ว ครั้งนี้นางคิดว่าในเมื่อฐานะทางบ้านใกล้จะดีขึ้นแล้ว จึงอยากที่จะบำรุงให้กับจางเฉาิสักหน่อย
รวมไปถึงบุตรสาวทั้งสามคน ต้าซวงและเสี่ยวซวงเป็่วัยที่ต้องเสริมอาหาร ทางที่ดีควรจะซื้ออาหารนิ่มๆ
เนื้อคือสิ่งที่จำเป็จะต้องซื้อ เครื่องในหมูก็จำเป็จะต้องซื้อเช่นกัน
นางและจางเฉาิต่างก็ชื่นชอบ และนางเองก็คำนวณมาดีแล้วว่าจะนำลำไส้เล็กมาพันเป็ก้อนเหมือนขาหมูแล้วปรุงอาหาร ลำไส้ใหญ่นำมานึ่งใส่กับแป้ง นิ่มๆ หอมๆ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างก็ชอบกิน
เมื่อซื้ออาหารการกินเป็ที่เรียบร้อยแล้ว คราแรกนางคิดจะซื้อไข่ไก่สักหน่อย แต่ภายหลังนางก็คิดได้ว่าไปเก็บจากข้างบ้านจะดีกว่า นางซื้อแป้งและเส้นอีกสักเล็กน้อยซึ่งใช้เงินไปครึ่งหนึ่ง หลังจากนั้นนางก็กลับไปยังร้านของเถ้าแก่หวงเพื่อให้คนนำของไปส่งให้ก่อนจะกลับหมู่บ้าน
“ภรรยา ต้นอ่อนถั่วลันเตาที่เ้าให้ข้าดูแลโตแล้วนะ เ้ารีบมาดูสิ สีเขียวๆ มองแล้วรู้สึกดีจริงๆ”
ซูฉีเฉียวกลับมาถึงบ้าน จางเฉาิก็เอ่ยพูดถึงความสำเร็จของตนเองทันที ต้นอ่อนถั่วลันเตาเหล่านี้ ั้แ่ที่ซูฉีเฉียวทำการทดลองกลั่นน้ำตาลทรายขาว นางก็มอบหน้าที่ปลูกถั่วให้กับจางเฉาิ
เมื่อเข้าไปในบ้าน แค่ได้เห็นก็ทำให้ซูฉีเฉียวรู้สึกดีใจเป็อย่างมาก คิดไม่ถึงเลยว่าต้นอ่อนถั่วลันเตาจะทำให้คนมีความสุขขนาดนี้ได้ ต้องบอกเลยว่าในฤดูกาลนี้การได้กินผักสดใหม่ถือเป็เื่ที่เกิดขึ้นได้น้อยยิ่ง
“พรุ่งนี้ข้าจะลองนำไปที่ร้านอาหารดู” แม้ว่าต้องใช้ระยะเวลาห้าวันในการกลั่นน้ำตาลทรายแดงหนึ่งร้อยกิโลกรัมให้ออกมาเป็น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ แต่ก็น่าจะยังพอหาเวลาว่างออกมาได้ ขอแค่่เช้านำต้นอ่อนถั่วลันเตานี้ไปขายที่ร้านอาหารได้และเปลี่ยนเป็ของบางอย่างกลับมา ่บ่ายก็จะสามารถกลับมาทุ่มเทกับการกลั่นน้ำตาลทรายขาว…เื่เวลาน่าจะยังทัน
เมื่อวางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ซูฉีเฉียวก็ยิ้มด้วยความดีใจ
จางเฉาิที่อยู่อีกด้านหนึ่งได้มองไปที่นางและมองไปยังต้นอ่อนถั่วลันเตาก็หัวเราะอย่างมีความสุขไม่หยุด
เพราะเป็ครั้งแรกที่ปลูกต้นอ่อนถั่วลันเตา ครั้งนี้จึงใช้ถั่วปลูกออกมาได้แค่ห้าจินเท่านั้น แต่ว่ากลับได้ต้นอ่อนถั่วลันเตาถึงสี่สิบถึงห้าสิบจิน
ถั่วนี่ซื้อมาเพียงไม่กี่เหรียญทองแดงเท่านั้นเอง ต้นอ่อนถั่วลันเตาเหล่านี้ก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะขายได้จินละเท่าไร
ของที่หายากมักมีราคาแพง คิดดูแล้วร้านอาหารแห่งนี้ราคาก็คงไม่น่าจะถูกเช่นกัน
ซูฉีเฉียวคิดคำนวณในใจ นางรู้สึกว่าการค้าขายต้นอ่อนถั่วลันเตานั้น ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คุ้มค่า
แต่ว่าจะทำต่อไปอีกไหมนั้น ก็คงจะต้องดูที่ราคาขายในวันพรุ่งนี้
นางครุ่นคิดเสร็จสิ้น ในเย็นวันนั้นทั้งครอบครัวก็ได้กินอาหารอร่อยๆ อีกครั้ง เมื่อทิ้งตัวนอนลงบนเตียงซูฉีเฉียวจึงตระหนักได้ว่าที่บ้านของนางควรซื้อผ้าห่มด้วย แต่นางคิดขึ้นได้ว่าหากขาของจางเฉาิดีขึ้น ทั้งครอบครัวก็จะย้ายไปอยู่อีกที่หนึ่ง ซูฉีเฉียวก็ตัดสินใจว่าจะซื้อของจำพวกผ้าห่มผ้านวม
ในค่ำคืนนั้นสองสามีภรรยาตั้งหน้าตั้งตาคอยอนาคตและนอนหลับฝันดี
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น จางเฉาิตื่นขึ้นมาและทำการเก็บเกี่ยวต้นอ่อนถั่วลันเตา
เมื่อเก็บเสร็จเขาก็ได้ไปเตือนนางให้รีบไปให้ทันรถม้า่กลางวันที่จะเดินทางเข้าไปในหมู่บ้าน
แต่เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีคนเห็นต้นอ่อนถั่วลันเตาเหล่านี้ ทั้งคู่จึงนำผ้ามาปกคลุมตะกร้าที่สะพายเอาไว้ด้านหลัง
ที่ทำเช่นนั้นก็เพราะไม่อยากจะให้คนจากครอบครัวหลักมาสร้างความวุ่นวาย
คนที่เดินทางไปตลาดนั้นมีไม่มาก มีคนอยากจะเข้ามาเปิดผ้าคลุมตะกร้าของซูฉีเฉียว นางจึงยิ้มและกล่าวว่าอยากจะเห็นของในตะกร้าผักของคนผู้นั้นเช่นกัน เมื่อเป็เช่นนี้คนที่อยากเห็นของในตะกร้าของนางจึงยอมถอยออกไปและก่นด่าออกมา “ขี้งก”
ซูฉีเฉียวไม่ตอบกลับ บางคนก็ชอบฟังเื่ที่เป็ความลับของคนอื่น แต่นางปิดปากเอาไว้แน่น ซึ่งนางรู้สึกได้ว่าควรที่จะทำเช่นนั้น
เมื่อเดินทางมาถึงในตัวเมือง จ่ายเงินสองเหรียญทองแดงเป็ค่ารถม้า คนขับรถก็ได้กำชับว่ายามสองให้มารวมตัวกันที่ใต้ร่มไม้ทางทิศตะวันออก
หลังจากที่ซูฉีเฉียวตอบรับแล้วจึงรีบสะพายตะกร้าไปยังร้านอาหาร
เพราะว่าสวมเสื้อผ้าแบบคนเป็ภรรยาและเป็สตรี ในตอนที่เดินเข้าประตูไปนั้นนางก็ถูกเสี่ยวเอ้อ[1]รั้งไว้ ซูฉีเฉียวก็ไม่อยากจะเสียเวลาพูดกับเขาจึงตัดสินใจเปิดผ้าที่ปิดบนตะกร้าออก “ข้าแค่้าจะมาหาเถ้าแก่เพื่อมาขายของ นี่เป็ต้นอ่อนถั่วลันเตาสดใหม่ ข้าเชื่อว่าที่ร้านอาหารอันหรูหราคงจะหาไม่ได้ในยามนี้อย่างแน่นอน”
เมื่อเสี่ยวเอ้อได้เห็นต้นอ่อนถั่วลันเตา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปจึงรีบขึ้นไปเรียกเถ้าแก่ของร้านมา
หลังจากที่เดินออกมาจากร้านอาหารหลายต่อหลายร้าน ในที่สุดซูฉีเฉียวก็ได้เงินมาเป็จำนวนสามพันห้าร้อยก้วน[2]
เงินเพียงไม่กี่ร้อยเหรียญทองแดง แต่ยามนี้กลับกลายเป็เงินสามตำลึงเงิน เมื่อหักต้นทุนออกไปแล้ว ต้นอ่อนถั่วลันเตาเหล่านี้ก็ถูกเปลี่ยนเป็เงินถึงสามตำลึงเลยเชียว
แค่คิดว่าสามารถปลูกต้นอ่อนถั่วลันเตาเ่าั้ในครั้งที่สองและครั้งที่สามอีก…ซูฉีเฉียวก็รู้สึกได้ถึงแสงสว่างที่เจิดจ้ามากจริงๆ
นางเดินไปซื้อลูกอมและขนมให้กับต้านิวและได้ซื้อเครื่องปรุงในการทำอาหารอีกเล็กน้อย ก่อนที่ซูฉีเฉียวจะไปยังจุดนัดหมายอย่างมีความสุข
ในวันที่หาเงินได้ ต่อให้จะต้องยุ่งและเหน็ดเหนื่อยเพียงใด แต่จิตใจนั้นกลับเกิดความรู้สึกที่แตกต่างกันมาก
ไม่ใช่เพียงแค่นางมีสภาพจิตใจที่แตกต่างกันออกไป จางเฉาิเองก็รู้สึกกระฉับกระเฉงมากขึ้นด้วย
ไม่รู้ว่าเป็เพราะอาการาเ็ที่ดีขึ้นหรือเพราะชีวิตของเขาได้มีโอกาสที่ดีขึ้น อาการาเ็ที่ขาของจางเฉาิไม่มีการติดเชื้ออีก เกิดเป็เนื้อแดงๆ ขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าหากเป็เช่นนี้ต่อไปก็จะสามารถฟื้นฟูขึ้นมาได้
ทว่าเพราะต้องทำการส่งสินค้า หลังจากที่ซูฉีเฉียวเดินทางกลับมาที่บ้าน นางก็ไม่ได้ขึ้นเขาอีก หน้าที่แช่ลิ้นจี่ก็คงจะต้องตกไปเป็งานของจางเฉาิ
ยุ่งอยู่เกือบครึ่งค่อนคืน จางเฉาิจึงทำการแช่ลิ้นจี่จนหมด
เมื่อลิ้นจี่ทั้งหมดถูกปิดผนึกเอาไว้ในโอ่งดินเผา ทั้งคู่จึงโล่งใจ
“ภรรยา เ้าคงเหนื่อยแล้วสินะ มา เดี๋ยวข้าจะช่วยนวดให้” เมื่อเห็นซูฉีเฉียวที่กลั่นน้ำตาลทรายขาว มือข้างหนึ่งของนางก็คอยทุบที่เอวทำให้จางเฉาิที่เห็นอยู่รู้สึกสงสาร
ซูฉีเฉียวเงยหน้ามองเขา “เ้าก็เหนื่อยเช่นกัน ไม่เป็ไรหรอก อีกเดี๋ยวพวกเราเข้านอนกันดีกว่า”
เมื่อตักน้ำมา หลังบ้วนปากล้างหน้าก็พากันเข้านอน
“ใช่แล้ว ภรรยา แผลของข้าเริ่มรู้สึกคันแล้ว เป็ไปได้ว่าอีกไม่นานก็จะหายแล้ว ตอนนี้พวกเรา…ยังจะย้ายไปที่นั่นกันอีกไหม”
ยามที่นอนอยู่บนเตียง ในที่สุดจางเฉาิก็ได้เอ่ยปากถามสิ่งที่ตนเป็กังวลมากที่สุด
นั่นเพราะตอนนี้ภรรยาของเขากำลังหาเงินได้ หากเป็เช่นนี้ต่อไป วันที่ครอบครัวของพวกเขาจะมีเงินคงอยู่อีกไม่ไกล
------------------------------
[1] เสี่ยวเอ้อ หมายถึง พนักงานเสิร์ฟ บริกรในร้านอาหารสมัยโบราณ
[2] ก้วน หมายถึง ค่าเงินในยุคโบราณ 1 ก้วน = 1000 เหวิน หรือ เหรียญทองแดงผสม