“ข้า้าผลไร้ราก”เหลยอวี๊เฟิงกำลังคิดไม่ตกว่าจะไปตามหาเฝินเหวินผู้ที่ลึกลับหาตัวจับได้ยากเช่นนี้ได้ที่ไหนบังเอิญเสียจริงที่มาพบเขาที่นี่ ์ช่วยโดยแท้
“ได้” เฝินเหวินตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ทว่าพนันอะไรนั้นให้ข้าน้อยเป็ผู้กำหนด”
ประโยคนี้ทำให้เหลยอวี๊เฟิงเกิดความลังเล
ที่จริงแล้วจะพนันอะไรนั้นเหลยอวี๊เฟิงก็ยังคิดไม่ออกเช่นกัน
เปลือกตาของซูฉีฉีกระตุกเล็กน้อยก่อนที่นางจะเบิกดวงตาเรียวหงส์ขึ้น “ได้ยินมาว่าขลุ่ยของคุณชายเฝินนั้นเป่าบรรเลงเพลงไปทั่วยุทธภพ เช่นนั้นมิสู้ให้ข้าน้อยบรรเลงเพลงหนึ่งถ้าหากคุณชายเฝินสามารถใช้เสียงขลุ่ยมาบรรเลงควบคู่กับข้าน้อยได้ก็นับว่าท่านชนะถ้าหากมิได้ก็นับว่าแพ้ ท่านคิดว่าเช่นนี้ดีหรือไม่? ”
“เ้า? ” เหลยอวี๊เฟิงไม่อาจสงบนิ่งได้ดั่งเดิมเขาจับจ้องไปที่ซูฉีฉี
ม่อเวิ่นเฉินส่งคนไปตรวจสอบประวัติของซูฉีฉีมิใช่แค่ครั้งเดียวเท่านั้นทว่าดูเหมือนนอกจากฝีมือทางการแพทย์แล้วนั้น อย่างอื่นนางมิชำนาญเลยแม้แต่น้อย
“ใช่แล้ว”ตอนนี้ซูฉีฉีมีสีหน้าแน่วแน่ดวงตาทั้งสองฉายแววแห่งความยึดมั่นเต็มเปี่ยม
“เ้ารู้หรือไม่ว่าถ้าหากแพ้แล้วผลลัพธ์จะเป็เช่นไร? ”แววตาของเหลยอวี๊เฟิงนั้นฉายประกายโทสะออกมาจางๆ
“ข้ารู้”ซูฉีฉีพูดออกมาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
อย่างมากที่สุดก็ตายทว่าสำหรับฝีมือพิณของตนนั้นซูฉีฉีมีความมั่นใจเป็อย่างมากถึงแม้นางจะรู้ว่าทำเช่นนี้แล้วจะเป็การเปิดเผยเื่ทั้งหมดของตนให้ผู้อื่นรับรู้ก็ตาม
แต่ว่านางไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
ถ้าหากม่อเวิ่นเฉินมิอาจกลับมาแข็งแรงได้ดั่งเดิมนางก็มิอาจมีชีวิตอยู่ต่อได้เช่นกัน
ตอนนี้มีเพียงทำสุดความสามารถเท่านั้น
“ได้เวลาและสถานที่นั้นให้แม่นางเป็ผู้ตัดสินใจ” มุมปากของเฝินเหวินกระดกขึ้นดวงตาทั้งสองสั่นไหวราวกระแสน้ำที่โหมกระหน่ำ เมื่อมองไปที่ซูฉีฉีซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขาสตรีผู้นี้ที่มิได้มีรูปโฉมงามเลิศเลอ นางเพียงแค่ดูเรียบร้อยสะอาดตาเพียงเท่านั้นทว่าความมุ่งมั่นในตัวเองของนางนั้นทำให้คนรู้สึกราวกับเห็นแสงสว่างทอประกายออกมาจากตัวนางก็มิปาน
“สามวันหลังจากนี้ที่จวนอ๋องติ้งเป่ยโหว” ซูฉีฉีไม่คิดจะเสียเวลามากไปกว่านี้นางต้องรีบช่วยให้ม่อเวิ่นเฉินกลับมายืนได้อีกครั้งเช่นนั้นแล้วเขาถึงจะมีเวลามากพอที่จะพักฟื้นร่างกายให้กลับมาแข็งแรงดั่งเดิม
ดวงตาของเฝินเวินฉายแววเหลือเชื่อออกมาเพียงแวบหนึ่งไม่นานก็เก็บซ่อนมันเอาไว้อีกครั้งก่อนจะพยักหน้า “คำไหนคำนั้น”
จากนั้นก็ยกมือขึ้นคารวะเหลยอวี๊เฟิงอีกครั้ง “แล้วพบกันใหม่”
จากนั้นก็หมุนตัวกลับไปเสื้อสีไพลินพริ้วไหวตามสายลมผสานกับบุคลิกภาพราวกับเทพเซียนของเขา
“เ้ากลับไปพูดคุยกับเวิ่นเฉินด้วยตนเองแล้วกัน”เหลยอวี๊เฟิงส่ายศีรษะ ก่อนจะเดินตามทิศทางลงเขาไป
ซูฉีฉีนิ่งอึ้งเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ และเดินตามลงไปเช่นกัน
แสงพลบค่ำของท้องฟ้าก็มาถึง เมืองอ้าวในฤดูหนาวเช่นนี้กลับให้ความรู้สึกถึงเสน่ห์ของความเก่าแก่อยู่มิน้อยแสงสีแดงม่วงของท้องฟ้าสาดส่องลงมาในเมืองบรรยากาศเย็นๆ ผสานเข้ากับความเงียบสงบในเมืองอย่างลงตัว
เพราะว่าตอนนี้เป็่ฤดูหนาวคนที่เดินอยู่บนท้องถนนนั้นมีไม่มากนัก
ตลอดทางซูฉีฉีได้แต่ปิดตาลงอย่างสงบนางกำลังคิดว่ากลับไปจะพูดกับม่อเวิ่นเฉินเช่นไรดี
นางมิได้เข้าใจถึงอุปนิสัยของม่อเวิ่นเฉินมากเท่าใดนักไม่รู้ว่าเมื่อเขาฟังเหตุผลของนางแล้วจะบันดาลโทสะอีกครั้งหรือไม่
แต่ต่อให้เขาบันดาลโทสะนางก็ยังคงตัดสินใจที่จะพนันกับเฝินเหวินอยู่เช่นเดิม
คิดมาถึงจุดนี้ นางก็รู้สึกสบายใจขึ้นมิน้อย
เมื่อเห็นว่ารถม้าค่อยๆ ชะลอเทียบจวนอ๋องแล้วฮวาเชียนจือก็รีบชะเง้อมองดูอย่างละเอียด แม้ว่าท่าทีของคนเลี้ยงม้านั้นสงบนิ่งไร้ซึ่งความกังวลแม้แต่น้อย ทว่านางกลับมิสนใจนักเพราะสำหรับทุกคนในจวนอ๋องแล้วนั้น ชีวิตของซูฉีฉีนั้นหาได้มีค่าไม่
ริมฝีปากของนางค่อยๆ ฉีกยิ้มเ้าเล่ห์ออกมารอยยิ้มนี้แฝงด้วยความภาคภูมิใจอยู่จางๆ
ทว่าเมื่อเหลยอวี๊เฟิงลงจากรถม้าแล้วยื่นมือไปประคองซูฉีฉีลงนั้นฮวาเชียนจือก็เกือบจะส่งเสียงกรีดร้องออกมา
นางคิดว่าตนเองต้องถูกผีหลอกแล้วแน่ๆคนที่นางส่งไปจัดการได้รายงานกลับมาว่าซูฉีฉีได้ถูกผลักตกเหวลึกลงไปแล้วเหตุใดถึงเป็เช่นนี้ได้...
ซูฉีฉีนั้นมิได้กลับเรือนพักของตนโดยทันทีแต่กลับตรงไปพบม่อเวิ่นเฉินก่อน
เื่บางเื่มิช้าก็เร็วจะต้องเผชิญหน้ากับมันในเมื่อเป็เช่นนี้แล้วก็มิควรถ่วงเวลาอีกต่อไป
เหลยอวี๊เฟิงแสดงท่าทีประหนึ่งเื่นี้ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเขาเขาเดินตรงไปนั่งบนเก้าอี้ ก่อนจะมีคนรับใช้ยกน้ำชาและขนมมาให้
เหลิ่งเหยียนที่ยืนอยู่ข้างๆ นั้นรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆเมื่อเห็นว่าคนที่เดินตามกันเข้ามาเป็สองคนนั้น เขาก็ก้มหน้าลงอีกครั้ง
“เป็อย่างไรบ้าง? ”ม่อเวิ่นเฉินมองไปทางซูฉีฉี
“หาพบแล้ว”ซูฉีฉีเบิกตาขึ้นเล็กน้อยก่อนจะสบสายตาเข้ากับดวงตาของม่อเวิ่นเฉินที่จ้องนางอยู่ก่อนแล้ว
“ดีมาก”ม่อเวิ่นเฉินนั้นมีท่าทีประหนึ่งนี่เป็เื่ที่สมควรอยู่แล้วจากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน “อวี๊เฟิง เื่ผลไร้รากนั้นคงต้องพึ่งเ้าแล้ว”
“ข้าคิดว่าคงมิต้องให้ข้าออกโรงเองพระชายาของท่านก็ได้จัดการจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว” แน่นอนว่าเหลยอวี๊เฟิงนั้นมิเห็นด้วยกับการพนันของซูฉีฉีกับเฝินเหวินคนทั่วหล้าไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าฝีมือเป่าขลุ่ยของเฝินเหวินนั้นจัดได้ว่าเก่งกาจไร้ผู้เทียบเทียมซูฉีฉีผู้นี้กับกล้าที่จะพนันด้านดนตรีกับเขานี่ไม่ใช่การตัดหนทางของตนเองหรอกหรือ
“โอ๊ะ? ”ม่อเวิ่นเฉินนั้นกลับรู้สึกแปลกใจมิน้อยก่อนจะหันไปมองซูฉีฉีอย่างสนใจ
ดวงตาคู่นั้นยังคงเป็สีดำสนิทดูลึกล้ำเสมือนบ่อน้ำที่ลึกไร้ที่สิ้นสุด ทำให้คนนั้นยากจะคาดเดาได้
แววตานั้นมิได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาซูฉีฉีค่อยๆ นำเื่การพนันของตนกับเฝินเหวินเล่าออกมาอย่างละเอียดทว่านางกลับมิได้เอ่ยถึงเื่ถูกลอบสังหาร
นางรู้ เื่นี้หากพูดออกไปแล้วม่อเวิ่นเฉินก็คงหาได้ใส่ใจไม่ ไม่มีประโยชน์อะไรที่นางจะเอ่ยมันออกมา
ในห้องนั้นเงียบสงัดบรรยากาศตึงเครียดอยู่มิน้อย
ซูฉีฉีนั้นเตรียมใจไว้แต่แรกอยู่ก่อนแล้วนางจึงมิได้แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา
“ถ้าหากแพ้...เ้าเข้าใจใช่หรือไม่! ”ม่อเวิ่นเฉินเอ่ยประโยคนี้ออกมาด้วยน้ำเสียงเ็า
“เข้าใจเ้าค่ะ”ซูฉีฉีมีสีหน้าว่างเปล่า ทว่ากับแฝงไปด้วยความทะนงและยึดมั่นในตัวเองอยู่จางๆ
นางมีเพียงวิธีนี้ที่จะสามารถรักษาศักดิ์ศรีของตนเอาไว้ได้
ศักดิ์ศรีที่มีอยู่เพียงเท่านี้
สามวันมานี้ซูฉีฉีมิได้ฝึกซ้อมพิณอย่างขยันขันแข็ง แต่นางกลับนั่งอยู่ในห้องพักและอ่านตำราแพทย์ด้วยท่าทีสบายๆความจริงแล้วเป็เช่นนี้ก็ดี อย่างน้อยฮวาเชียนจือก็ไม่กล้าหาเื่นาง
สำหรับผู้หญิงคนนั้นแล้วซูฉีฉีคิดว่าตนนั้นควรจะตอบโต้กลับ อีกทั้งยังต้องชนะในคราเดียวอีกด้วย
แค้นของจิ่งม่านนั้นต้องชำระอย่างแน่นอน
นางสามารถอดทนอดกกลั้นได้ทว่านางก็มีขีดจำกัดของตนเองเหมือนกัน
เรือนชิงฮวา
เฝินเหวินนั้นยังคงสวมเสื้อยาวสีไพลินเช่นเคยผมยาวสลวยของเขาถูกรวบมัดด้วยผ้าสีไข่มุกอยู่เหนือศีรษะใบหน้าขาวใสดั่งหยกเนื้องาม ทั่วร่างกระจายไอของบัณฑิตผู้ดีมีมารยาททำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกสงบนิ่ง จิตใจผ่อนคลาย
“ท่านอ๋องเป่ยติ้งโหว”เฝินเหวินมิได้แสดงความเคารพอย่างเต็มรูปแบบแต่กลับแค่ยกมือขึ้นคารวะเท่านั้น
ม่อเวิ่นเฉินนั้นได้ถูกเหลิ่งเหยียนแบกขึ้นนั่งประจำตำแหน่งแล้ว
“คุณชายเฝินได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว ยินดีที่ได้พบท่าน” ม่อเวิ่นเฉินเองก็โค้งตัวทักทายเบาๆ
ซูฉีฉีในตอนนี้ได้นั่งอยู่ข้างหน้าโต๊ะที่มีพิณวางประดับเป็ที่เรียบร้อย พิณเจียวเหว่ยตรงหน้านี้เป็สมบัติที่ม่อเวิ่นเฉินเก็บสะสมไว้เป็เวลานานแล้วเหลยอวี๊เฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆ นั้นมิได้สนใจอย่างอื่นอีก สายตาของเขาจับจ้องไปที่เจียวเหว่ยเท่านั้น
นี่หรือคือเจียวเหว่ยที่เขาเฝ้าใฝ่ฝันหามานาน!
“คุณชาย เชิญ”วันนี้ซูฉีฉีสวมเสื้อยาวสีขาวสะอาด ไม่มีเครื่องประดับใดๆถึงแม้ว่าจะไม่มีเครื่องประดับและผมยาวสลวยของนางปกคลุมอยู่บนไหล่กว่าครึ่ง มีเพียงผ้าผืนสีเรียบมัดผมอีกครึ่งศีรษะเอาไว้พร้อมเสียบปิ่นหยกเฉียงๆ ไว้อันเดียวแต่กลับทำให้นางดูสดใสสะอาดตา ให้คนรู้สึกถึงความงดงามอย่างแปลกตา
เฝินเหวินนั้นหันไปมองซูฉีฉีอีกครั้งอย่างมิทันระวังก่อนจะค่อยๆ พยักหน้าเบาๆ และนั่งตรงข้ามกับโต๊ะที่ประดับพิณเอาไว้
ซูฉีฉีมิได้พูดคุยอันใดเพิ่มแต่กลับดีดสายพิณตรงหน้าเบาๆ “คุณชาย เริ่มกันเถอะ”
“เชิญ” เฝินเหวินนั้นมีท่าทีเป็สุภาพบุรุษอ่อนน้อมถ่อมตนเป็อย่างยิ่ง
ม่อเวิ่นเฉินในตอนนี้ได้แต่ยิ้มเย็นออกมาในสายตาของเขาตอนนี้มีเพียงซูฉีฉี เขาอยากจะรู้เสียจริงว่าสตรีผู้นี้จะชนะพนันและเอาผลไร้รากมาได้อย่างไร
แน่นอนว่าคำถามนี้เหลิ่งเหยียนและเหลยอวี๊เฟิงเองก็อยากจะรู้นัก
เมื่อเริ่มดีดสายพิณแล้วซูฉีฉีก็มิได้มองผู้ใดอีก
เพลงที่บรรเลงคือกับดักสิบทิศ
เสียงของสายพิณดังออกมาอย่างรวดเร็วเจียวเหว่ยเป็สุดยอดแห่งพิณ เสียงของมันนั้นตรงมิผิดเพี้ยนแม้แต่น้อยภายใต้นิ้วมืออันบอบบางเช่นนั้นพิณโบราณนี้กลับสามารถสร้างเสียงสนั่นอันน่าเกรงขามออกมาได้
สายตาของทุกคนในตอนนี้เสมือนมองเห็นสนามรบกว้างหลายพันลี้เสียงม้าคำรามร้องในา ศึกตัดสินชัยชนะกำลังจะเกิดขึ้นลมและก้อนเมฆค่อยๆ โยกย้ายตัวมันความรู้สึกภายในใจเสมือนถูกเสียงพิณที่แฝงด้วยความโหดร้ายนี้ดึงให้สูงขึ้นสูงจนมิอาจจะทนรับได้ไหว
ขณะที่กำลังตื่นในั้นเสียงพิณก็บรรเลงขึ้นอีกอย่างเร่งรีบ “กระบอกเงินะเิใจกลางธาราเผยถึงคราอาชาพุ่งโจมตี” ทหารม้ากว่าหมื่นนายบุกทะลวงข้าศึกเศษฝุ่นคละคลุ้งทำให้ภาพตรงหน้าค่อยๆ เลือนราง
เสียงพิณของนางถึงขั้นทำให้คนที่ได้ฟังนั้นต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างตื่นใ
เสียงพิณก้องไปทั่วแฝงด้วยแรงอาฆาตแห่งาสร้างความสั่นสะท้านถึงิญญาของผู้ฟังในขณะที่สายพิณกำลังสั่นไหวอยู่นั้นเสมือนเป็คลื่นโจมตีของดาบกระจายอยู่ทั่วทิศทำให้ผู้ได้ยินรู้สึกราวกับถูกข่มขวัญ
แม้กระทั่งม่อเวิ่นเฉินยังต้องหรี่ตาของตนเองลงพลังของเสียงพิณเช่นนี้กลับเป็ที่ชื่นชอบของผู้ที่มักจะอยู่ท่ามกลางทหารและม้านับหมื่นและยังเติบโตอยู่ท่านกลางสนามรบอย่างม่อเวิ่นเฉิน