ภายใต้นิ้วมือของซูฉีฉีนั้นมีพลังมหาศาลแต่ในขณะเดียวกันก็ผสานกับเสียงทุ้มต่ำที่เปล่งออกมาจากเสียงพิณเสียงบรรเลงออกมาเป็ระยะๆ ขับทำนองเพลงให้ดังก้องสะท้อนท่วงทำนองอันไพเราะออกมาให้ผู้คนโดยรอบ
เฝินเหวินนิ่งค้างอยู่กับที่ ขลุ่ยหยกยังคงอยู่ในกำมือทว่าเขากลับไม่มีทีท่าจะยกมันขึ้นทาบริมฝีปากทำเพียงแค่นิ่งฟังเสียงพิณของซูฉีฉีเสมือนว่าตนนั้นได้ถูกเสียงนั้นพัดพาให้ไปสู่สนามรบอันร้อนแรงท่ามกลางคลื่นลมโบกสะบัดและเสียงอาวุธปะทะกันอย่างดุเดือด
จนกระทั่งเสียงทุ้มของสายพิณค่อยๆ เปลี่ยนไปเสียงบรรเลงค่อยๆ เปล่งสูงขึ้นพร้อมกับพลังของมันที่พุ่งกระจายออกมาแรงดีดพลิ้วไหวดั่งสายลมทำให้คนที่ฟังเพลงบรรเลงอยู่ในเรือนนั้นรับรู้ถึงความแตกต่างของจิตใจผู้เล่น
ซูฉีฉีค่อยๆ หรี่ตาลงพร้อมกับเสียงพิณที่ค่อยๆ เปล่งออกมาสูงขึ้นนิ้วมือของนางยังคงแฝงด้วยพลัง ท่าทีเปี่ยมด้วยอำนาจของนางเผยออกมาพร้อมเสียงกึกก้องของพิณเสียงสะท้อนรวดเร็วและดุเดือดอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ กลับมานิ่งเรียบจนสายพิณหยุดสั่นไหวในที่สุด
ในเรือนเงียบสนิทอยู่นานไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา
ซูฉีฉีจ้องมองเจียวเหว่ยที่อยู่ตรงหน้าเงียบๆจิตใจจดจ่ออยู่กับมันเป็อย่างมาก จดจ่อจนทำให้ผู้คนอดมิได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว
รองเท้าสีไพลินอ่อนคู่หนึ่งเดินมาหยุดอยู่ที่หน้านางซูฉีฉีเงยหน้าขึ้นประสานสายตาเข้ากับดวงตาที่ใสสะอาดดุจธาราของเฝินเหวิน “คุณชาย ขอบคุณท่านที่ออมมือให้”
เขาหยิบเอากล่องไม้สีแดงกล่องหนึ่งออกมาจากอกก่อนจะวางเบาๆ ลงบนฝ่ามือของซูฉีฉี “ท่านชนะแล้ว”
จากนั้นก็หมุนตัวกลับไปอย่างสง่างามมิได้เอ่ยคำใดออกมาอีก
จนกระทั่งเฝินเหวินนั้นได้ก้าวออกจากตำแหน่งอ๋องไปแล้วเหลยอวี๊เฟิงถึงจะดึงสติกลับมาได้ เขาเบิกตาโตขณะจับจ้องไปที่ซูฉีฉีอย่างเหลือเชื่อ “เ้าคือซูฉีฉีจริงหรือ? ”
คนเราต้องมีจิตใจเช่นใดถึงจะสามารถบรรเลงเพลงเช่นนั้นออกมาได้กัน
ซูฉีฉีทำเพียงแค่ยิ้มตอบก่อนจะเก็บผลไร้รากที่อยู่ในมือไปและหันไปย่อตัวทำความเคารพม่อเวิ่นเฉิน “หม่อมฉันขอตัวไปผสมยาก่อนนะเพคะ”
ดวงตาของม่อเวิ่นเฉินปรากฏแววแห่งความชื่นชมออกมาครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะโบกมืออนุญาตนางให้ออกไป
ซูฉีฉีนั้นสร้างความประหลาดใจให้เขาได้มากจริงๆคิดได้ดังนั้นมุมปากก็ฉีกยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “อวี๊เฟิงถ้าหากว่าคนที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะพิณนั่นคือเ้า เ้าจะสามารถเอาชนะขลุ่ยหยกของเฝินเหวินได้หรือไม่?”
น้ำเสียงแฝงด้วยความล้อเลียนอยู่เล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าม่อเวิ่นเฉินนั้นมิได้มีท่าทีเ็าเหมือนก่อนเหลยอวี๊เฟิงก็รู้แล้วว่าซูฉีฉีนั้นได้เอาชนะใจของม่อเวิ่นเฉินเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
และแน่นอนว่าเหลยอวี๊เฟิงเองก็เริ่มนับถือในตัวซูฉีฉีเช่นกันนางแอบซ่อนความสามารถเช่นนี้ได้อย่างแเี ช่างน่านับถือเสียจริง
พิณเจียวเหว่ยนั้นเหมาะสมกับตัวนางเป็อย่างยิ่งอีกทั้งฝีมือพิณของนางก็คู่ควรกับมันเช่นกัน
ทว่าเขากลับหวังว่าคนที่จะเจียวเหว่ยนั้นคือตัวเขาเอง
ผู้หลงรักในพิณนั้นมิมีผู้ใดไม่ชื่นชอบเจียวเหว่ย
เหลยอวี๊เฟิงเองก็ไม่ละเว้น
เขาเลิกคิ้วขึ้นและตอบกลับม่อเวิ่นเฉินไป “ก็ไม่แน่”
ม่อเวิ่นเฉินหัวเราะออกมาเสียงดังแต่ไม่ได้เอ่ยอันใดต่อ ในเมื่อตอนนี้สมุนไพรยาก็ครบแล้วไม่นานเขาก็จะกลับมายืนได้ดังเดิม อารมณ์ของเขาย่อมดีแน่นอน
เหลิ่งเหยียนยืนประจำอยู่ด้านข้างแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยชำนาญด้านฝีมือพิณเท่าใดนักทว่าเขากลับฟังออกว่าเสียงพิณของพระชายานั้นอยู่เหนือขลุ่ยหยกของคุณชายเฝินนี่ก็เป็สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงและอดมิได้ที่จะนับถือนางเช่นกัน
เขารู้สึกนับถือนางจากใจจริงและยอมรับในตัวพระชายาคนนี้อย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ
มีเพียงสตรีเช่นซูฉีฉีนี้ถึงจะเหมาะสมกับท่านอ๋องของเขา
ไม่นานนักข่าวการประลองพิณกับเฝินเหวินก็กระจายไปทั่วเมืองอ้าวอีกทั้งข่าวสารยังได้กระจายไปไกลจนถึงเมืองหลวง
เสมือนว่าข่าวนี้มีคนตั้งใจจะกระจายมันออกไปทว่ากลับไม่มีผู้ใดคิดจะหยุดยั้งการกระจายของข่าว
“หลายวันนี้เ้าจะต้องระวังให้มาก”นานๆ ทีเหลยอวี๊เฟิงจะมีท่าทางจริงจังซูฉีฉีนั้นกำลังจะผสมยาเสร็จภายในไม่กี่วันนี้แล้วทว่าเื่นี้เป็ที่รู้กันไปทั่ว เกรงว่าเื่ทั้งหมดนี้จะไม่ราบรื่นดังคาด
เหลิ่งเหยียนก็พยักหน้าอย่างแรงเป็การเห็นด้วยเดิมเขาก็ต้องคุ้มกันม่อเวิ่นเฉินตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงอยู่แล้วทว่านี่ก็ยังดูเหมือนจะไม่เพียงพอเหลยอวี๊เฟิงจึงได้เคลื่อนกำลังยอดฝีมืออีกหนึ่งร้อยนายมาจากสำนักเหลยที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายพันลี้
พวกเขานั้นกำลังเดินทางมาแล้ว
เหลยอวี๊เฟิงยอมให้สำนักเหลยนั้นไร้ซึ่งผู้คนยังดีกว่ารักษาความปลอดภัยของม่อเวิ่นเฉินไว้มิได้
“เคลื่อนกำลังกองทหารโลหิตให้มาคุ้มครองความปลอดภัยของซูฉีฉี”ม่อเวิ่นเฉินเองก็เห็นด้วยกับวิธีการของเหลยอวี๊เฟิงเวลานี้พวกเขาจะประมาทมิได้โดยเด็ดขาด
เป็ที่รู้กันว่าการที่เขาโดนพิษนั้นแสดงให้เห็นว่าผู้ที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของม่อเวิ่นเสวียนเองก็มีฝีมือไม่ด้อยเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนนั้นย่อมมีคน
แม้ว่าม่อเวิ่นเฉินจะเป็คนที่ทะนงตนแต่เขานั้นไม่เคยดูเบาศัตรูเลยสักครั้ง
“ขอรับ”เหลิ่งเหยียนเองรับคำสั่งก่อนจะเดินจากไป
“กองทหารเงานั้นจะให้เคลื่อนพลหรือไม่?”เหลยอวี๊เฟิงนั้นยังคงลังเลอยู่บ้าง
“ไม่ได้หากไม่ถึงยามคับขัน กองกำลังนี้ห้ามเคลื่อนพลโดยเด็ดขาด” ม่อเวิ่นเฉินส่ายศีรษะ
“ก็ได้” เหลยอวี๊เฟิงเข้าใจในความหมายของม่อเวิ่นเฉิน “ข้าจะไปดูเสียหน่อยว่าทางซูฉีฉีนั้นเป็อย่างไรบ้างแล้ว”
ในวังหลวงตำหนักอี้เจิ้งซึ่งเป็ตำหนักว่าราชการของฮ่องเต้
“เ้ามีบุตรสาวที่แสนดีเสียจริง”ม่อเวิ่นเสวียนนั่งอยู่บนบัลลังก์ั ใบหน้าเขียวคล้ำนัยต์ตาแดงก่ำจับจ้องไปที่อัครมหาเสนาบดีซูชือฉางที่กำลังคุกเข่าตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวอยู่ด้านล่าง
ซูชือฉางนั้นไม่กล้าพูดต่อ เขาคาดคิดไม่ถึงว่าบุตรสาวคนโตที่ยอมให้ผู้อื่นข่มเหงรังแกอยู่ในจวนมาโดยตลอดนั้นจะมีความสามารถถึงเพียงนี้มิเพียงแต่มีฝีมือพิณที่ยากหาผู้ใดเทียบ ซ้ำยังชำนาญวิชาทางการแพทย์อีกด้วย
“กระทั่งว่าบุตรสาวเชี่ยวชาญทางการแพทย์เ้ายังไม่รู้? ”ม่อเวิ่นเสวียนตบฎีกาหลายฉบับที่วางอยู่บนโต๊ะ “สกุลซูของเ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
ซูชือฉางรีบโคกศีรษะลงกับพื้น “ขอให้ฝ่าาทรงไว้ชีวิตด้วยกระหม่อม...กระหม่อนไม่รู้มาก่อนจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
เขาก็มีความรู้สึกเสียดายไม่น้อยเช่นกันหลายปีมานี้ตนเองนั้นมิได้ใส่ใจในบุตรสาวคนโตมากนัก ถ้าหากรู้เช่นนี้แต่แรกซูฉีฉีคงจะไม่กลายมาเป็หมากที่ไร้ค่าตัวหนึ่งบนกระดาน
อีกทั้งตอนนี้ยังได้ทำลายแผนการดีๆ ของเขาไปจนหมดสิ้น
การวางยาพิษให้กับม่อเวิ่นเฉินนั้นหาได้เป็เื่ที่ง่ายดายไม่มีครั้งที่หนึ่ง ย่อมไม่มีทางเกิดครั้งที่สองขึ้นอีกเป็แน่
บุตรสาวแสนดีของเขากลับผสมยาถอนพิษออกมาได้
“เหอะ...”ม่อเวิ่นเสวียนส่งเสียงสบถออกมาในลำคอ “ไม่ว่าจะใช้วิธีใดห้ามให้เขาดื่มยาถอนพิษได้โดยเด็ดขาด”
“พ่ะย่ะค่ะ” ซูชือฉางเช็ดเหงื่อบนหน้าผากก่อนจะรับคำสั่งแล้วจากไป
เหลือไว้เพียงม่อเวิ่นเสวียนที่ยังคงมีสีหน้าเขียวคล้ำแววตามีประกายเยือกเย็น
ค่ำคืนมืดสนิทดุจน้ำหมึกไร้ซึ่งแสงจันทร์และดวงดาว
ภายนอกจวนอ๋องติ้งเป่ยโหวกลับมีแสงเงาสะท้อนของดาบปะทะเข้าหากันเป็จุดเริ่มต้นของการฆ่าล้างอันดุเดือด
ขอเพียงผ่านค่ำคืนนี้ไป ม่อเวิ่นเฉินก็จะกลับมายืนได้อีกครั้งซูฉีฉีที่เผลอหลับไปนั้นก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าอย่างพึงพอใจ
ในที่สุดความพยายามของนางก็สำเร็จแล้ว
แต่นางรู้สึกมีความสุขเพราะอะไรนั้นตัวนางเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเช่นกัน
การฆ่าฟันยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลมในค่ำคืนนี้ค่อนข้างหนาวเย็นพัดพาเศษฝุ่นบนพื้นถนนให้ลอยฟุ้งกระจายไปทั่ว
เหลยอวี๊เฟิงมองกองทหารโลหิตล้มลงไปทีละคนและคนที่ยืนอยู่นั้นมีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆสีหน้าของเขาก็เข้มขึ้นอีกหลายเท่าตัวดูเหมือนว่าครั้งนี้ม่อเวิ่นเสวียนจะทุ่มหมดตัวเสียแล้ว
ดูเหมือนว่าเขาจะเคลื่อนย้ายคนจากหอเงาคมมาจนหมด
และทั้งหมดยังล้วนแต่เป็นักฆ่ายอดฝีมืออีกด้วย
เหลยอวี๊เฟิงยกมือขึ้นถอดเสื้อคลุมของตนออกจากนั้นก็คว้าเอาดาบที่แขวนอยู่บนเอวตนเองขึ้นและเหาะตัวลงไปข้างล่าง
เหลยอวี๊เฟิงในตอนนี้สวมชุดสีดำแนบลำตัวพร้อมถือดาบเหมันต์ไว้ในมือแววตาเยือกเย็นเต็มไปด้วยไอสังหาร
้าจะฆ่าม่อเวิ่นเฉินนั้นต้องผ่านด่านเหลยอวี๊เฟิงไปให้ได้ก่อนนี่เป็สิ่งที่คนทั่วยุทธภพล้วนรู้กัน
ต่อสู้กันอยู่นานนักฆ่ากว่าร้อยคนก็าเ็ล้มตายกันไปกว่าครึ่งแม้ว่าจะต่อสู้ในรูปแบบของการบุกล้อมด้วยคนจำนวนมากก็ไม่อาจต้านทานเหลยอวี๊เฟิงเอาไว้ได้เขาเป็ดั่งเช่นนามของเขา เป็ดั่งสายลมที่ไม่อาจจับกุมได้
แสงเย็นๆ พาดผ่านผู้คนทั้งหลายเห็นเพียงแววตาดุดันของเขาเท่านั้นก่อนที่ภาพทุกอย่างจะดับมืด
ผู้คุมหอเงาคมนั้นยืนดูอยู่ไกลๆ ก่อนจะส่งเสียงหึออกมาในลำคอเบาๆ “เ้าสำนักเหลยนั้นสมดั่งคำล่ำลือจริงๆ ”
เขาก็ถือดาบไว้ในมือมิได้พุ่งตัวไปข้างหน้าแต่กลับถอยหลังและะโถีบตัวขึ้นด้วยแรงะโเพียงไม่กี่ครั้งก็นำเขามาถึงเรือนด้านหลังของจวนอ๋องมีกำแพงมนุษย์ยืนขวางอยู่จำนวนหนึ่ง แต่เพียงดาบเดียวของเขาก็ผลักคนเ่าั้ล้มกระเด็นลงไปนอนอยู่บนพื้น
วิชาตัวเบาของเขานั้นด้อยกว่าเหลยอวี๊เฟิงแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น