"ท่านอารมณ์ไม่ดีหรือ" เซวียเสี่ยวหรั่นเอียงคอมองเขา
เหลียนเซวียนหัวเราะ เดิมทีคิดจะไม่ตอบ แต่พอเห็นแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความห่วงใยของนาง ก็เปลี่ยนใจ "อื้ม ไม่ค่อยดีเท่าไร"
"เพราะเหตุใดเล่า?" เซวียเสี่ยวหรั่นย้อนนึกถึงสถานการณ์เมื่อตอนเที่ยงอย่างละเอียด
ดูเหมือนว่าเขาจะเริ่มอารมณ์ไม่ดี หลังจากผู้คุ้มกันหวงหุ่นกำยำผู้นั้นเข้ามาสนทนาด้วย
"ผู้คุ้มกันหวงพูดอะไรที่ทำให้ท่านไม่พอใจใช่หรือไม่"
เหลียนเซวียนเห็นเงาของตนเองสะท้อนอยู่ในดวงตากลมโตสุกสกาวของนาง ความอัดอั้นตันใจทั้งหลายพลันมลายสิ้นไป
คนบางคนไม่คู่ควรที่เขาจะบันดาลโทสะ
เขาหลุบตาลงกึ่งหนึ่ง ยามลืมขึ้นอีกครั้งก็คืนสู่ความสดใสดังเดิม
"ไม่ใช่หรอก สำคัญคือมีบางเื่ไร้ทางเลือก ทั้งจนปัญญาจะควบคุม ความรู้สึกเช่นนั้นไม่ค่อยดีเท่าไร"
ยกตัวอย่างเช่นชาติกำเนิดหรือบิดามารดา ยิ่งเกิดมาเป็บุตรของผู้อยู่หลังกำแพงสูงแห่งนั้น หนทางภายหน้าก็ถูกลิขิตแล้วให้ต้องพบกับอุปสรรคขวากหนามนานัปการ
"แต่นี่ก็เป็เื่ปรกติมิใช่หรือ เก้าในสิบส่วนของชีวิตคนเรามักเป็เื่ที่ไม่ได้ดังใจปรารถนา คนที่จะมีชีวิตราบรื่น ได้ทุกอย่างสมดังใจหมายคงมีเพียงไม่กี่คน"
ตอนแรกเซวียเสี่ยวหรั่นยังอยู่ในท่าคุกเข่า แต่รถม้าะเืจนเจ็บเข่า จึงดึงเบาะรองนั่งด้านข้างออกมาแล้วเปลี่ยนเป็ท่านั่งขัดสมาธิ หลังจากนั้นก็มองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง
"คนเราต้องมองโลกในด้านดี มิอาจมองแต่ด้านมืด การใช้ชีวิตอยู่แต่ในเงามืดรังแต่ทำให้คนผู้นั้นมืดมนยิ่งขึ้น ใช้ชีวิตเพื่อกาลภายหน้า หาใช่เพื่ออดีต อนาคตคือสิ่งสำคัญที่สุด"
เขาจดจ้องดวงหน้าเล็กจ้อยที่เคร่งขรึมจริงจัง แต่ปากขยับขึ้นขยับลงไม่หยุด รู้สึกคันไม้คันมือ นึกอยากหยิกพวงแก้มนุ่มนั่นสักที
หลังจากนั้น เขาก็ทำอย่างที่คิดจริงๆ
"โอ๊ย? ท่าน... ทาม... อะ... ไร เนี่ย"
เซวียเสี่ยวหรั่นกำลังพูดเอาจริงเอาจัง ก็ถูกเขาหยิกแก้ม โมโหจนพูดไม่ชัด
เหลียนเซวียนปล่อยมืออย่างสบายอารมณ์ เห็นพวงแก้มน้อยเป็ริ้วแดงขึ้นมา มุมปากก็โค้งขึ้นอย่างอดใจไม่ไหว
"อ๋า?" เซวียเสี่ยวหรั่นกุมพวงแก้มด้วยสีหน้างุนงง หลังได้สติกลับมา ก็ฉุนจัดถลึงตาใส่เขา "ท่าน... ทำตัวเป็เด็กไปได้"
เซวียเสี่ยวหรั่นต่อว่าด้วยความโมโห โตเป็ผู้ใหญ่แล้วยังมาหยิกแก้มของเธออีก
เหลียนเซวียนเม้มริมฝีปากข่มรอยยิ้มบนมุมปากลงไป เอาเถอะ เขายอมรับว่าตนเองก็ทำตัวเป็เด็กจริง แต่บางครั้งการทำตัวเหมือนเด็กก็สนุกดีเหมือนกัน
"ชู่..." เขาทำมือบอกให้นางเบาเสียง แม้ข่งจินกับข่งหยินจะไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ แต่ฝากระดานรถม้าไม่หนามาก ย่อมมีข้อจำกัดในการป้องกันเสียง
เซวียเสี่ยวหรั่นโมโหอกกระเพื่อม แค่นเสียงหึ หันหลังให้ ตัดสินใจว่าจะไม่สนใจเขาตลอดทั้งบ่ายนี้
เหลียนเซวียนเห็นแล้วก็ลูบจมูกอย่างอดไม่ได้
แม่นางน้อยช่างแง่งอนเก่งยิ่ง
ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากงอนง้อ ก็เห็นนางรื้อคันฉ่องบานนั้นออกมาส่องดูพวงแก้มของตนเอง ยามเห็นริ้วแดงก็หันไปถลึงตาแรงๆ ใส่เขาอีกทีหนึ่ง
"แฮ่ม หรือไม่... ให้เ้าหยิกคืนสักที" เหลียนเซวียนรู้สึกจนปัญญา จำต้องเอ่ยอย่างเสียไม่ได้
"ท่านพูดเองนะ" เซวียเสี่ยวหรั่นหันขวับกลับมาทันที ดวงตาสว่างวาบ
เหลียนเซวียนยิ้มขื่น เอาเถอะ กรรมใดใครก่อก็ต้องชดใช้ "ข้าพูดเอง"
เซวียเสี่ยวหรั่นวางคันฉ่องลง ฉีกยิ้มกว้างหันมา ยื่นมือออกไปเตรียมหาที่เหมาะเจาะสำหรับลงมือ
แต่ผลที่ได้...
"หน้าท่านมีแต่หนวดเคราเต็มไปหมด มีที่ให้หยิกตรงไหน" หลังจากมองซ้ายมองขวาก็เอ่ยวาจากระแทกกระทั้น
"งั้นเ้า จะพอแค่นี้?" เหลียนเซวียนลอบถอนใจอย่างโล่งอก
"ไม่ได้" เซวียเสี่ยวหรั่นขึงตาใส่เขา "ทำมาไม่ทำกลับ เสียมารยาท"
เหลียนชีทั้งฉิวทั้งขัน ยื่นหน้าเข้ามาใกล้นางเสียเลย "เ้าหยิกเลยสิ"
พอเขาเข้ามาใกล้ กลับเป็เซวียเสี่ยวหรั่นใถอยไปด้านหลัง
แต่ในที่สุดภายใต้สายตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของเหลียนเซวียน เซวียเสี่ยวหรั่นจำต้องแข็งใจหยิกเนื้อตรงใต้หนังตาเขาไปทีหนึ่ง
แม้จะบอกว่าหยิก แต่ก็เพียงแตะเบาๆ เท่านั้น
นางหนูนี่มีใจแต่ไม่มีความกล้า เหลียนเซวียนนึกขันในใจ
ความขุ่นข้องหมองใจสายนั้นบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็รอยยิ้มรื่นรมย์โดยไม่รู้สึกตัว
ต้นฤดูร้อนแสงตะวันอบอุ่น ต้นหลิวโอนไหวไปมา ทุ่งนาสองข้างทางเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา
ขบวนยาวมุ่งหน้าขึ้นเหนือ บางคราก็ตั้งกระโจมค้างแรม บางคราก็เข้าพักตามเมืองรายทาง ถนนหนทางไม่นับว่าราบรื่นนัก
ถึงวันที่สี่ บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนเป็ตึงเครียด พวกเขาเข้ามาถึงถิ่นที่ไม่มีผู้ใดของเหล่าอันธพาล
โจรป่าออกอาละวาดสร้างปัญหารุนแรงในแถบนี้
เช้าวันนี้สำนักคุ้มภัยส่งคนมากำชับรถม้าที่ติดตามขบวน ให้ติดตามอย่างใกล้ชิด อย่าแตกแถว เตรียมรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดล่วงหน้า
หวงอี้ซานผู้นั้นยังวิ่งมาแจ้งข่าวกับเหลียนเซวียนโดยเฉพาะ
เซวียเสี่ยวหรั่นแอบเปลี่ยนเป็ชุดกระโปรงที่เคลื่อนไหวสะดวก ถอดเครื่องประดับศีรษะออก
ผงพริก ยาสลายกำลัง ขวดสเปรย์ล้วนใส่ในกระเป๋าคาดอกไว้ทั้งหมด นี่คือสินค้าตัวอย่างที่เหลือจากครั้งก่อน เอามาใช้ได้พอดี
อูหลันฮวากับเซวียเสี่ยวเหล่ยถือกระบองที่ซื้อมาใหม่ไว้ในมือ
ก่อนที่จะออกเดินทางจากชางตานหนึ่งวัน เซวียเสี่ยวหรั่นซื้อกระบองสำหรับใช้ฝึกยุทธ์ให้เซวียเสี่ยวเหล่ย
หลายวันมานี้เมื่อถึงเวลาพัก เหลียนเซวียนมักสอนทักษะการใช้กระบองให้แก่พวกเขา
พร์ด้านการต่อสู้ของอูหลันฮวากับเซวียเสี่ยวเหล่ยนับว่าไม่เลว เวลาเพียงสามสี่วัน ฝีมือการรำกระบองของพวกเขาก็เริ่มเข้าท่าเข้าที
สำนักคุ้มกันป่าวประกาศให้ออกเดินทาง ชื่อสำนักคุ้มภัยเจิ้นเวยใช้ได้ผลดียิ่ง แม้กลางวันมีโจรป่ามาก่อกวนบ้าง แต่พอเห็นสัญลักษณ์ของสำนักคุ้มภัย ต่างหัวหดกลับไป
รอจนกระทั่งตะวันตกดิน คณะเดินทางก็ยังไม่หละหลวม ผู้คุ้มกันหวงบอกว่าถนนสายนี้ไม่เหมาะสมที่จะหยุดพัก ดังนั้นจึงต้องเดินทางตลอดทั้งคืน
เนื่องจากมีการเตือนล่วงหน้าหนึ่งวัน ทุกคนจึงเตรียมอาหารแห้งไว้พร้อมสรรพ
ท้องฟ้าเริ่มมืดทุกขณะ ผู้คุ้มกันที่อยู่ด้านหน้าะโให้สัญญาณเสียงดังกึกก้อง พวกเขาเตรียมการป้องกันขั้นสูงสุดสำหรับการฝ่าเส้นทางป่าลึกอันมืดมิดสายนี้ไป ทุกคนถึงค่อยปลอดโปร่งโล่งใจ
ทันใดนั้นก็มีเงาดำโผล่ออกมาขวางเบื้องหน้า
"ูเาลูกนี้ข้าเป็คนบุกเบิก ต้นไม้ของที่นี่ข้าเป็คนปลูก หากจะเดินทางผ่าน ก็จ่ายค่าผ่านทางมาเสีย"
เวรแล้ว เซวียเสี่ยวหรั่นได้ยินบทสนทนาดั้งเดิมประโยคนี้ก็แทบจะะโลงจากรถม้า
"เ้าอยู่บนรถ" เหลียนเซวียนหันมากำชับ
"ได้อย่างไรเล่า" เซวียเสี่ยวหรั่นมือซ้ายหยิบผงสลายกำลัง มือขวากุมสเปรย์พริกเอาไว้ เตรียมตัวลงจากรถ
แม้ฟ้าจะมืด เหลียนเซวียนยังมองเห็นของในมือของนางอย่างชัดเจน ดวงตาลุกวาวโดยไม่รู้ตัว
ทางอูหลันฮวากับเซวียเสี่ยวเหล่ยถือกระบองวิ่งมา
"เสี่ยวเหล่ย อาเหลยล่ะ" เซวียเสี่ยวหรั่นเอ่ยถามก่อน
"ปล่อยไว้บนหลังคารถ ข้าสั่งมันไว้ว่าอย่าลงมาขอรับ" เซวียเสี่ยวเหล่ยรีบให้คำตอบ
เซวียเสี่ยวหรั่นหันไปมอง อาเหลยนั่งยองอยู่บนหลังคารถแต่โดยดี ค่อยโล่งใจขึ้นมาบ้าง
อีกด้าน หวงอี้ซานกำลังเจรจากับหัวหน้าโจรป่าที่ด้านหน้า
ขบวนรถด้านหลังของพวกเขาก็ถูกโจรป่ากลุ่มหนึ่งล้อมไว้หมดแล้ว
เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นเงาคนโผล่ออกมาจากป่าสองข้างทางก็ใหนังศีรษะชาดิก
จบเห่แล้ว โจรป่ามากมายเพียงนั้น พวกเขาจะสู้ไหวได้อย่างไร
คนที่ร่วมเดินทางมาพร้อมกับพวกเขาต่างหวาดผวาจนหน้าซีด
"เสี่ยวหรั่น เดี๋ยวถ้าเกิดการต่อสู้ ให้เ้าไปหลบข้างทาง อย่าทะเล่อทะล่าออกมาเป็อันขาด" ถ้อยคำของเหลียนเซวียนฉายแวววิตก
เขากุมลูกดอกซัวเปียวไว้ในมือ แต่ยังไม่อาจซัดออกไปได้ตอนนี้
เซวียเสี่ยวหรั่นขบริมฝีปาก ไม่ยอมรับปาก
"เสี่ยวหรั่น อย่าเอาแต่ใจ" เสียงของเหลียนเซวียนเข้มขึ้น