"ชีหลางจวิน" หวงอี้ซานในอาภรณ์เข้ารูปจนเห็นมัดกล้ามเนื้อเดินก้าวใหญ่เข้ามา
แววตาของเหลียนชีผุดประกายวาบ ก่อนหันมาด้านข้าง "ผู้คุ้มกันหวง"
"ชีหลางจวิน การเดินทางยากลำบาก ผู้สกุลหวงเตรียมสุรามาด้วย มิทราบว่าท่านจะให้เกียรติสักจอกได้หรือไม่" หวงอี้ซานประสานมือเอ่ยคำเชื้อเชิญ
แม้ไม่แน่ชัดเื่สถานะของเหลียนชีผู้นี้ แต่หวงอี้ซานจะปล่อยโอกาสผูกมิตรกับคนที่เมิ่งเฉิงเจ๋อให้ความสำคัญไปได้อย่างไร
"ขอบคุณผู้คุ้มกันหวง เพียงแต่ผู้น้อยมีโรคแฝงเร้น ไม่สะดวกดื่มสุรา จำต้องผิดต่อความปรารถนาดีของท่านแล้ว"
เหลียนเซวียนปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม
หวงอี้ซานย่อมมองออกว่าเขามีโรคติดกาย แต่พอได้ยินเขาเอ่ยออกมาเองโดยตรง ก็อดตกตะลึงไม่ได้
เหลียนชีผู้นี้ไว้วางใจเขามาก หรือเพราะมีอกดั่งต้นสน เชื่อมั่นในตนเองเกินไป?
"เช่นนี้ก็น่าเสียดายนัก ผู้สกุลหวงทำงานคุ้มกันมาหลายปี มิเคยพานพบบุคคลที่สง่าผ่าเผยดั่งจันทร์กระจ่างหลังฝนเช่นท่านชีมาก่อน จึงบังเกิดความรู้สึกอยากชิดใกล้ทำความรู้จัก"
หวงอี้ซานเห็นความน่ายำเกรงอันมีมาแต่กำเนิดกำจายอยู่รอบตัวเขา ประกายั์ตาวูบไหว เดินเข้ามาใกล้อย่างไร้สุ้มเสียง
"กล่าวชมเกินไปแล้ว ผู้คุ้มกันหวงทำมาหากินบนเส้นทางนี้มาหลายปี ย่อมเป็ผู้มีบรรพตอยู่ในอก [1]"
เหลียนเซวียนยิ้มบางๆ
ทั้งสองต่างยืนอยู่ริมแม่น้ำ สนทนากันอย่างมีมารยาท
"ท่านชีจะผ่านเข้าเมืองยงหนิง ก็ต้องเตรียมหนังสือผ่านทางให้พร้อม ่นี้แคว้นฉีค่อนข้างครึกครื้น ด่านตรวจชายแดนเข้มงวดมาก"
แม้ดูเหมือนว่าหวงอี้ซานจะกล่าวเตือนด้วยความหวังดี แต่แท้จริงแล้วเป็การหยั่งเชิงเบื้องลึกของอีกฝ่าย
"ขอบคุณผู้คุ้มกันหวงที่เตือนสติ ผู้น้อยไม่ได้กลับบ้านนานแล้ว ไม่ทราบว่า่นี้แคว้นฉีมีเหตุอันใดถึงได้ครึกครื้นนัก"
สีหน้าของเหลียนเซวียนสงบนิ่ง ไม่ตอบคำถาม แต่กลับย้อนถามถึงสถานการณ์แคว้นฉี
หวงอี้ซานหาใช่คนชอบเซ้าซี้ผู้อื่น จึงเล่าสถานการณ์ของแคว้นฉีให้เขาฟัง
"ใกล้จะถึงวันคล้ายวันประสูติของหวงกุ้ยเฟย [2] ในฮ่องเต้อู่เซวียนตี้ของพวกท่าน ได้ยินว่าหวงกุ้ยเฟยทรงตรอมตรมพระทัยที่องค์ชายเจ็ดหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เพื่อหนึ่งรอยยิ้มของโฉมสะคราญอู่เซวียนตี้ทรงวางแผนจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ เหล่าทูตานุทูตจากต่างแคว้นจึงเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อถวายพระพร ดังนั้นด่านตรวจแนวชายแดนย่อมจะเข้มงวดเป็พิเศษ"
ตรอมตรมพระทัย? มุมปากของเหลียนชีเหยียดยิ้มฉายแววเยาะ
คงกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะหาศพของเขาไม่พบต่างหาก
"จะว่าไปแล้ว หวงกุ้ยเฟยแห่งแคว้นฉีก็ได้รับความโปรดปรานมายี่สิบกว่าปี มิมีเสื่อมคลาย ไม่เสียแรงที่เป็โฉมสะคราญอันดับหนึ่งแห่งซีฉี ได้ยินมาว่าเพียงพระนางแย้มยิ้มบางๆ อู่เซวียนตี้ก็แทบจะย้ายเมืองหลวงไปอยู่ใกล้กับซีฉี เพื่อให้พระนางได้รู้สึกว่าได้อยู่ใกล้กับบ้านเกิดเมืองนอน"
เมื่อเอ่ยถึงหวงกุ้ยเฟยผู้มีความงามล้ำเลิศเหนือผู้ใดในหกตำหนัก หวงอี้ซานก็อดเก็บงำหัวข้อนี้ไม่ได้
ตอนนั้นอู่เซวียนตี้ยังเป็เพียงองค์ชาย รับหน้าที่พิทักษ์รักษาชายแดน ด้วยเป็ยอดฝีมือและมีจิตใจทะนงองอาจ จึงลอบเข้าไปเมืองหลวงของแคว้นซีฉี ได้พบกับองค์หญิงหกต้วนเฟยเหยียนผู้เป็ยอดหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งซีฉีในขณะนั้น ก็ตกตะลึงหลงใหลในความงามราวกับนางฟ้านาง์ของนาง
แคว้นฉีกับซีฉีเป็เหมือนน้ำกับไฟตลอดมา ชายแดนไม่เคยสงบสุข อู่เซวียนตี้ฉวยโอกาสทำารุกไล่จนใกล้จะถึงเมืองหลวง เรียกได้ว่าแทบจะล่มแผ่นดินซีฉีก็ว่าได้ ต่อมาฮ่องเต้ของซีฉีในขณะนั้นก็ส่งต้วนเฟยเหยียนมาเป็บรรณาการแทนคำขอขมา และขอให้ยุติา
อู่เซวียนตี้ได้โอบกอดโฉมงามสมดังใจ ถึงมีคำสั่งถอนทัพ แล้วพาโฉมสะคราญกลับแคว้นฉีอย่างฮึกเหิม หลังจากอดีตฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ อู่เซวียนตี้ก็สังหารเหล่าองค์ชายที่เป็เสี้ยนหนามทั้งหมด แล้วขึ้นครองบัลลังก์อย่างราบรื่น
ั้แ่นั้นเป็ต้นมาซีฉีก็วางตัวสงบเสงี่ยมในฐานะรัฐบรรณาการมานานนับสิบปี
จนกระทั่งเมื่อห้าปีก่อน เกิดการล้มล้างราชวงศ์ผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ในซีฉี ราชวงศ์ใหม่เริ่มกระด้างกระเดื่องไม่ยอมรับข้อตกลงของราชวงศ์ก่อน
ทั้งสองแคว้นจึงเริ่มเปิดศึกกันอีกครา
สองปีก่อนองค์ชายเจ็ดรับพระบัญชาให้ปกปักรักษาชายแดน สามารถเอาชนะศึกห้าครั้งต่อเนื่องกัน ตบหน้าราชวงศ์ปัจจุบันของซีฉีที่อกไหม้ไส้ขมไปฉาดใหญ่ จำต้องส่งหนังสือขอสงบศึก และยอมปฏิบัติตามกฎข้อตกลงในฐานะรัฐบรรณาการของราชวงศ์เดิม
"ไพร่ฟ้าประชาชนของพวกท่านต่างกล่าวว่า องค์ชายเจ็ดทรงเป็ผู้เยี่ยมยุทธ์เหนือสามัญเฉกเช่นอู่เซวียนตี้ในปีนั้น พระอัจฉริยภาพในการทำศึกยิ่ง เป็ดั่งสีครามที่กำเนิดจากสีน้ำเงิน [3]"
หวงอี้ซานพูดแล้วติดลม เอ่ยปากไม่หยุดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
เหลียนเซวียนหลุบสายตากึ่งหนึ่ง วางท่าดุจกำลังรับฟัง แต่สายตากลับตกไปอยู่ที่ต้นหญ้าน้อยๆ ข้างเท้าที่โอนอ่อนไปตามแรงลม
ยามสายลมจากแม่น้ำพัดมามันก็ไหวเอนลู่ลม แต่ยามลมสงบมันก็กลับมาตั้งตรงอย่างผ่อนคลาย
เหลียนเซวียนนึกถึงถ้อยคำของแม่นางผู้นั้น ปู่ของนางอยากให้นางเป็ดั่งต้นหญ้าเล็กๆ ที่ทานทนต่อการเคี่ยวกรำของพายุฝน
ที่แท้วัชพืชเล็กๆ ต้นหนึ่งก็มีด้านกร้าวแกร่งไม่ระย่อต่ออุปสรรค
หุบเขาน้ำแข็งในแววตาของเขาค่อยๆ ละลายกลายเป็สายน้ำแห่งวสันตฤดู
"หลังจากองค์ชายเจ็ดทรงหายตัวไป อู่เซวียนตี้ทรงกริ้วจัด สั่งให้องครักษ์ปิดเมืองหลวงค้นหาเจ็ดวันเจ็ดคืนแต่ก็ไร้ผล หวงกุ้ยเฟยประชวรไม่ฟื้น ่นั้นทั่วทั้งเมืองหลวงตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ผู้คนต่างหวาดผวาหวั่นภัยจะมาถึงตัว แต่หนึ่งปีผ่านไป ก็ยังไร้วี่แวว เฮ่อ... เกรงว่าจะเป็ข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี"
หวงอี้ซานถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ผู้ใช้วรยุทธ์ทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างเขาย่อมชื่นชมเลื่อมใสยอดบุรุษผู้กล้าที่มีความสามารถอย่างล้ำลึก
พอเห็นคนข้างกายไม่เปล่งเสียงเลยั้แ่ต้น เขาก็เริ่มจะสงบปากสงบคำ เลื่อนสายตาไปยังใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึกของเหลียนเซวียน
สีหน้าของเขาวูบไหวเล็กน้อย หลังจากพิจารณาอยู่สองสามรอบไม่เห็นความผิดปรกติ ก็เลื่อนสายตาไป
คำลือกล่าวว่า องค์ชายเจ็ดมีความคล้ายคลึงกับเซวียนอู่ตี้ หน้าตาหล่อเหลาเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ชวนให้ตกตะลึงแต่แรกพบ
เขาชนะศึกใหญ่กลับมาเมื่อสองปีก่อนตามพระบัญชา ไพร่ฟ้าทั่วเมืองหลวงต่างเข้าแถวมารอต้อนรับ ตอนนั้นมีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ให้แก่องค์ชายเจ็ดผู้เก่งกล้าทั้งบุ๋นและบู๊
บุรุษตรงหน้าผู้นี้แม้จะมีสง่าราศีเหนือสามัญ แต่ใบหน้ากลับมีแผลเป็จางๆ หนวดเคราเฟิ้มเต็มหน้า มองอย่างไรก็ไม่ใกล้เคียงกับคำว่าหล่อเหลาเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา
หลังหวงอี้ซานไปแล้ว เหลียนเซวียนก็ยกมือขึ้นลูบหนวดเคราบนใบหน้า มุมปากยิ้มเหยียดหยัน แล้วค่อยๆ เดินกลับไป
เซวียเสี่ยวหรั่นกับอูหลันฮวาต้มน้ำเสร็จ มื้อกลางวันเป็ซาลาเปากับขนม
บนรถม้า เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นเหลียนเซวียนหน้านิ่งราวกับท่อนไม้ ก็ทำตาปริบๆ
เมื่อเช้าเขาก็ยังดีๆ อยู่ เหตุไฉนหลังลงจากรถ อารมณ์ถึงได้เปลี่ยนเป็ย่ำแย่แบบนี้
รังสีกดดันที่กำจายออกมารอบตัวเขาทำให้หัวใจเธอเต้นแรง หวา... น่ากลัวจังเลย
เธอลอบมองเขาอย่างระมัดระวัง ในที่สุดก็กลอกตาเล็กน้อย ก่อนเขยิบเข้าใกล้ ชี้นิ้วมาที่ติ่งหูของตนเอง "เหลียนเซวียน ท่านช่วยดูให้ข้าหน่อยว่าเืหยุดไหลหรือยัง ข้าเริ่มรู้สึกเจ็บนิดหน่อย"
เหลียนเซวียนช้อนตาขึ้น มองติ่งหูแดงเล็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าอย่างงุนงง
นาง... นี่นางจะทำอะไร?
"ยังมีเืออกหรือไม่ จะอักเสบหรือเปล่าเนี่ย ต้องซื้อยามากินไหม?" เซวียเสี่ยวหรั่นลอบมองปฏิกิริยาของเขา ดูจากสีหน้าเหมือนว่าจะไม่อยากเอ่ยปาก เธอจึงเม้มริมฝีปาก ก่อนเอ่ยว่า "หรือไม่ให้ข้าถอดต่างหูออกดีหรือไม่"
พูดจบก็ทำท่าจะถอดต่างหูดอกติงเซียงออก
เหลียนเซวียนย่อมมองเห็นลูกไม้เล็กๆ ของนาง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด อารมณ์ขุ่นมัวในหัวใจพลันสลายไปจนหมดสิ้น
"ไม่อนุญาต" น้ำเสียงแ่เบากลับเจือไปด้วยความรู้สึกที่มิอาจต้านทาน และห้ามกังขา
ในที่สุดก็ยอมเอ่ยปากแล้ว หินก้อนใหญ่ในใจของเซวียเสี่ยวหรั่นค่อยปล่อยวางลง
...
[1] เป็ถ้อยคำอุปมาเปรียบกับคนที่มีความคิดล้ำลึก มองเหตุการณ์ทะลุปรุโปร่ง
[2] เป็ตำแหน่งพระสนมขั้นสูง มีฐานะรองจากฮองเฮา ซึ่งเป็พระมเหสีตามกฎหมาย กรณีที่ไม่มีการแต่งตั้งฮองเฮา หวงกุ้ยเฟยถือว่ามีตำแหน่งสูงสุด สามารถดูแลหกตำหนักได้
[3] มาจากสำนวนที่ว่า สีครามเกิดจากสีน้ำเงิน แต่คร้ามเข้มยิ่งกว่า เป็ถ้อยคำชื่นชม หมายถึงศิษย์ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากครูบาอาจารย์ แต่กลับเก่งยิ่งกว่าผู้ให้วิชาความรู้