ดวงตาของหลินอวิ๋นเบิกกว้างในทันที หลังจากนั้นเขามองไปตามเสียงแล้วะโ “ไป้เอ๋อร์ถอยไป อย่าออกมา!”
อย่างไรก็ตาม เพียงกล่าวได้ครึ่งคำ ิญญาเ่าั้กลับถูกดึงดูดด้วยพลังงานในร่างกายของไป้เอ๋อร์ ราวกับชิ้นส่วนของเหล็กที่เชื่อมต่อกับแม่เหล็ก มันกระโจนเข้าไปหา ไป้เอ๋อร์เผยความหวาดกลัวพลางจ้องมองไปที่เงาดำที่พุ่งเข้าหาอย่างเหม่อลอย ถอยหลังไปสองก้าว...
“อา...” หลังจากกรีดร้องอย่างน่าสมเพช เหล่าิญญาต่างได้รับาเ็จากชั้นแสงสีแดงที่พุ่งออกมาจากร่างของไป้เอ๋อร์ ร่างนั้นหยุดนิ่ง จากนั้นถูกพันธนาการด้วยเชือกที่ไล่ตามมาอย่างแ่า
่เวลานี้ หลินอวิ๋นตามมาอยู่ด้านหน้าไป้เอ๋อร์อย่างทันท่วงทีแล้วตบที่ท้ายทอยของศิษย์ตัวน้อยเบาๆ อย่างโกรธเคือง “ไอ้เด็กตัวเหม็น! ไม่้าชีวิตแล้วหรือไร? ไม่เห็นเขตอาคมที่อาจารย์วาดไว้หรือ? อาจารย์เคยบอกเ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เ้ามัวทำอะไรอยู่?”
ไป้เอ๋อร์ตระหนักถึงความผิดของตน เขาพูดเสียงแ่ “หลังเห็นเขตอาคมของท่านอาจารย์ ห้ามออกห่างจากมัน...”
“รู้ว่าผิดแต่ก็ยังทำอย่างนั้นหรือ?!”
“ท่านอาจารย์...ศิษย์ ศิษย์ได้ยินเสียงดังจากข้างนอกมากเกินไป...จึงเป็กังวล...”
หลินอวิ๋นกล่าว “เ้าออกมาตอนนี้แล้วจะช่วยอะไรอาจารย์ได้? รังแต่จะเพิ่มความโกลาหล!”
ไป้เอ๋อร์ก้มหน้าด้วยความละอายใจ “ท่านอาจารย์... ข้าผิดไปแล้ว”
หลินอวิ๋นหันศีรษะไม่มองอีกต่อไป ขณะที่ร่ายคาถาเพื่อเก็บกวาดิญญาที่เหลือยังกำชับไป้เอ๋อร์ต่อ “อยู่ตรงนั้นอย่าขยับ! หากไม่ใช่เพราะหยกคู่เพลิงสุวรรณบนตัวเ้า เ้าตายไปไม่รู้กี่รอบแล้วรู้หรือไม่?”
“ขอรับ...ศิษย์ผิดไปแล้ว...”
เป็ระยะเวลานาน ในที่สุดหลินอวิ๋นก็ปราบผีทั้งหมดในลานได้อย่างหมดจด ส่วนที่เหลือที่ไม่กล้าออกมา ไปหลบอยู่ที่หินประดับใต้ชายคา เขาสูดหายใจลึกยกแขนเสื้อขึ้นมาพัดให้ตนเอง ชำเลืองมองเหล่าผีที่ซ่อนตัวอยู่อย่างเหนือกว่า ถามด้วยรอยยิ้ม “หากยังคิดจะขึ้นมาก็รีบหน่อย ทางนี้อยากรีบกลับไปนอนต่อแล้ว...”
เหล่าภูตผีพลันสั่นสะท้าน
หลินอวิ๋นเหยียบยันต์สีเหลืองที่ผนึกผีอยู่บนพื้นค่อยๆ เดินขึ้นไปหาผีร้ายระดับสูงที่มัดไว้เป็บ๊ะจ่าง แล้วหยุดยืน
ผีตนนั้นดิ้นพล่านไปมาอยู่บนพื้น ปากก็สาปแช่ง “นักพรตตัวเหม็น กล้าทำร้ายข้าหรือ?! รู้ไหมว่าเ้านายของข้าเป็ใคร? หากพูดไปเ้าคงใแทบตาย!”
หลินอวิ๋นตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนบังเกิดความสนใจขึ้นมา ถามด้วยรอยยิ้ม “พูดมาให้ข้าฟัง ลองดูสิว่ามันจะทำให้ข้าใจนตายได้หรือไม่?”
ผีตนนั้นพูดอย่างยโส “ฟังข้าให้ดีล่ะ เ้านายของข้าคือฉิงชางจวิน าาผีผู้เป็เ้าเมืองอี้หลีแห่งแดนเหนือ หนึ่งในสองผู้ยิ่งใหญ่แห่งปรโลก!”
หลินอวิ๋นขมวดคิ้วด้วยท่วงท่าที่สง่างามอย่างหาที่เปรียบมิได้ ผ่านไปเป็เวลานาน เขาถามผีตนนั้น “เ้าบอกว่า...ใครนะ?”
ผีตนนั้นกล่าว “ฉิงชางจวิน าาผีแห่งแดนเหนือ! เคยได้ยินหรือไม่?”
หลินอวิ๋นยังคงนิ่งเงียบ...หลิวเฟิงไม่ได้โกหกตนเอง ‘ตัวเขา’ ถูกลากเข้ามาพัวพันด้วยจริงหรือ?
ใบหน้าของเขาซีดขาว ไป้เอ๋อร์กระตุกแขนเสื้ออย่างเป็กังวลอยู่ด้านหลัง หลินอวิ๋นยืดตัวขึ้นแล้วกล่าวอย่างเ็า “เป็เช่นนี้เองหรือ?” หลังจากเงียบไปจึงถามอีกครั้ง “เ้าจะอาศัยอะไรมาพิสูจน์ว่าเ้านายของเ้าคือฉิง...”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ ผีตนนั้นกลับดิ้นไปมา ใช้เวลาอยู่นานกระทั่งเผยให้เห็นแขน บนข้อมือซ้ายมีเครื่องหมายสีแดงสดซึ่งดูเหมือนนกหรือสัตว์ร้าย จากนั้นเชิดคางขึ้นมองหลินอวิ๋น บอกอย่างพึงพอใจ “เห็นหรือไม่?”
หลินอวิ๋น “...”
ผีตนนั้น “เครื่องหมายนี้เป็สัญลักษณ์ของฉิงชางจวิน ผู้ที่มีเครื่องหมายนี้เป็ผู้ใต้บังคับบัญชาของฉิงชางจวิน!”
หลินอวิ๋นจ้องมองผีตนนั้นอยู่นาน ยิ้มอย่างเ็าแล้วพูดกับตนเอง “เครื่องหมายนี้...เป็สัญลักษณ์ของฉิงชางจวินอย่างนั้นหรือ?” หลังจากหยุดไปชั่วครู่ เขาพูดกับผีตนนั้นอีกครา “ข้าน้อยได้ยินว่าฉิงชางจวินสองผู้ยิ่งใหญ่แห่งปรโลกถูก์ลงทัณฑ์ปะาเมื่อสองร้อยปีก่อนเนื่องจากทรยศและละเมิดกฎของ์ ิญญาแหลกสลาย...อภัยให้ข้าด้วยที่ต้องกล่าวตามตรง การบ่มเพาะของใต้เท้าดูเหมือนจะไม่ถึงสองร้อยปี ถ้าเช่นนั้นฉิงชางจวินประทับเครื่องหมายนี้บนร่างของเ้าเมื่อไร ที่ไหน ได้อย่างไร ฉิงชางจวินมีสภาพเช่นไรในเวลานั้น? เขากลับมาบนโลกแล้วหรือ?”
ผีตนนั้นหัวเราะเยาะอย่างหยาบคาย “ต่อให้เ้าทำลายิญญาของข้า ก็อย่าหวังว่าข้าจะทำเื่ทรยศเ้านายเสีย!”
หลินอวิ๋นถูกเขาทำให้สำลัก พูดไม่ออกชั่วขณะ ราวกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อเห็นผีตนนั้นสบถด่าบรรพบุรุษของเขา พ่นคำหยาบคายอย่างเสียงดังโดยไม่รู้จบ เขาจึงหยิบยันต์ระดับสูงออกมาตบศีรษะอีกฝ่าย จัดการเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน
.............................
หลังจากโต้เถียงตลอดทั้งคืน ่เวลารุ่งสางหลินอวิ๋นเห็นคนที่ไม่คาดคิดอยู่ไกลๆ บริเวณประตู
ขอทานผู้ใจดีก่อนหน้านี้กำลังมองสวนฟางชิ่งจากอีกฟากถนน เมื่ออีกฝ่ายเห็นหลินอวิ๋นเปิดประตูออกมา ดวงตาพลันเบิกกว้างด้วยความใ
หลินอวิ๋นเดินออกไปด้วยใบหน้าขบขัน มองเห็นอีกฝ่ายยืนอยู่ตรงนั้นอย่างโดดเดี่ยวก็โบกมือตรงหน้าก่อนพูด “พี่ชาย...เป็อะไรไป?”
ขอทานคนนั้นตกตะลึง “เ้าๆๆ...เ้าเป็คนหรือผี? เ้ายังมีชีวิตอยู่หรือ?”
หลินอวิ๋นมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่สว่างไสวยามรุ่งสาง เขาเห็นพระอาทิตย์ส่องสว่างจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านเห็นผีตนไหนยืนอยู่บนถนนตอนกลางวันแสกๆ แล้วพูดคุยกับท่านหรือไม่กัน? พี่ชาย อย่าดูถูกข้าเกินไป...ข้าบอกไปแล้วว่าข้าคือนักพรต การจับผีปราบปีศาจเป็เพียงงานของข้าเท่านั้น”
ขอทานกลืนน้ำลาย มองเขาด้วยความเคารพ “โอ้...เป็ข้าที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียแล้ว!”
หลินอวิ๋นกล่าว “เฮ้ พี่ชาย ขอบอกเลยว่าข้างในนั้นกว้างขวางมากนัก หากท่านไม่อยากอยู่ที่ซากวัดตอนกลางคืนก็มาอยู่กับเราที่นี่เถิด มีหลายห้องให้ท่านเลือกเชียวล่ะ!”
“อา ไม่ๆๆ…” ขอทานรีบส่ายหน้าจนเสียงสั่น
ทั้งสองกำลังฉุดกระชากกัน ทันใดนั้นกลับมีคนกลุ่มหนึ่งเหินดาบมาถึง หยุดอยู่ที่ประตูทางเข้าของสวนฟางชิ่น ผู้ที่นำหน้าเป็คนคุ้นเคยกัน หรือก็คืออี้จื่ออีนั่นเอง เมื่อเขาเห็นหลินอวิ๋นก็เบิกตาขึ้นด้วยความประหลาดใจพร้อมระบายยิ้ม “พี่หลิน?!”
หลินอวิ๋นปล่อยมือจากขอทาน มองดูเขาพลางส่งยิ้ม “คุณชายอี้ เ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”
อี้จื่ออียังคงยิ้มตอบกลับ “เรียกข้าว่าเสี่ยวอี้ก็ได้...พี่หลิน เป็ท่านนี่เอง! ระฆังสะกดิญญาที่ท่านให้พ่อบ้านหลิวนำกลับไปนั้น เขาได้มอบให้กับไป๋เจ๋อจวิน ยามนั้นคนทั้งสำนักกับไป๋เจ๋อจวินต่างอยู่ที่โถงประชุม หนีรั่วหลีจากสำนักจงหลีซานผู้นั้นยามเห็นก็ตาแข็งค้างไปเลยเชียว จึงให้ศิษย์จากสำนักจงหลีซานมาหาท่าน...ข้าอยู่ด้านข้างหลังอาจารย์ลุงสวี บังเอิญได้ยินว่าพ่อบ้านหลิวอธิบายถึงรูปลักษณ์และการแต่งกายของท่านอย่างละเอียด ข้าจึงเดาว่าอาจเป็ท่าน จึงเสนอตัวจัดการงานนี้...คิดไม่ถึงว่าว่าจะใช่ท่านจริง!!! แล้วระฆังสะกดิญญามันเป็สิ่งของทรงพลังแบบใดกัน? พี่หลิน...มันช่างซ่อนเร้นอย่างลึกซึ้งนัก!”
หลินอวิ๋นบอกด้วยรอยยิ้ม “ข้าชักอยากรู้เกี่ยวกับการรวมตัวของสำนักเต๋าจริงเชียว...ข้าเป็ผู้ฝึกฝนธรรมดาๆ หากไม่นำสิ่งของที่โดดเด่นมาแสดงเสียหน่อย เกรงว่าจะเข้าแม้แต่ประตูจวนของอัครเสนาบดีไม่ได้ นี่ถึงกับเป็สิ่งล้ำค่าในก้นกล่องที่ได้ส่งมอบไปหรอก”
อี้จื่ออียิ้ม จากนั้นหันไปด้านข้าง พลางทำท่าทาง ‘เชื้อเชิญ’ กับหลินอวิ๋น “พี่หลิน...เช่นนั้นพวกเราไปกันเถิด ไป๋เจ๋อจวินและคนอื่นยังรออยู่”
หลินอวิ๋นพยักหน้า เขากลับไปที่สวนฟางชิ่นเพื่อแบกไป้เอ๋อร์ที่หลับสนิทอยู่ไปด้วย
.............................
เมื่อมาถึงจวนของอัครเสนาบดี เดิมทีหลินอวิ๋นคิดว่าจะได้เห็นภาพที่วุ่นวาย จวนจะต้องเต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน ทว่าไม่คาดคิดหลังมาถึงจวนนั้นกลับเงียบสงบยิ่งนัก ทุกอย่างเป็ไปตามครรลอง ไม่เห็นผู้คนจากสำนักเต๋ามากเท่าไร
หลังจากมองเห็นความประหลาดใจของหลินอวิ๋น อี้จื่ออีอธิบายให้เขาฟังอีกครา “แม้ว่าจะมีผู้คนมากมายจากสำนักเต๋ามาที่นี่ในครั้งนี้ แต่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่นอกจวน คนในจวนของอัครเสนาบดีได้จัดเตรียมที่พักอื่น วันธรรมดาหากไม่มีความจำเป็จะไม่ได้รับการเชิญ...ผู้ที่สามารถอยู่ในจวนของอัครเสนาบดีได้ต้องมีตำแหน่งสำคัญอย่างยิ่งในสำนักเต๋า อย่างไป๋เจ๋อจวินยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง ส่วนที่เหลือจะต้องเป็นักพรตในสำนักที่มีหน้ามีตาจำพวกนั้น และพวกที่ไม่ขึ้นกับสำนักใด...ลูกศิษย์ทั้งหมดที่พวกเขานำมาจะถูกส่งออกไปนอกจวน ซึ่งก็ยกเว้นเพียงไป๋เจ๋อจวิน...”
หลังจากกวาดสายตาไปสี่รอบเพื่อยืนยันว่าไม่มีใครอยู่ อี้จื่ออีลดเสียงลงกระซิบกับเขา “อัครเสนาบดีหลิวผู้นั้นปรากฏตัวก่อนที่ไป๋เจ๋อจวินจะมาถึงจวนเพียงครั้งเดียว แม้จะบอกกับภายนอกว่าป่วย แต่ข้าเห็นใบหน้าเขาแดงอิ่มเอิบ สีหน้าเป็ปกติยิ่ง ย่างก้าวมั่นคงแลดูสุขภาพดี ดูไม่ออกเลยว่าเป็โรคร้ายแรงถึงชีวิต คงยากที่จะคิด แต่เขากลับยังหลบซ่อนอยู่ในห้องไม่ออกไปไหน ล้มหมอนนอนเสื่อ...ชิ”
“โอ้?” หลินอวิ๋นเลิกคิ้วและยิ้ม ไม่รู้ว่าอัครเสนาบดีผู้นี้ต้องอาถรรพ์แบบใดกัน?
อี้จื่ออีซุบซิบกับเขาอีกครั้ง “แต่ข้าเห็นว่าห้องนอนของอัครเสนาบดีหลิวตั้งอยู่ที่มุมหนึ่งของสวน ผนึกเขตอาคมไว้อย่างแ่า ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ผลงานที่นักพรตธรรมดาทำได้...ข้าคิดว่าก่อนที่ไป๋เจ๋อจวินจะเข้าเมือง อัครเสนาบดีได้เชิญคนเ่าั้มาก่อนแล้ว ต้องมีเงื่อนงำบางอย่างเกี่ยวกับ ‘โรคร้าย’ นี้เป็แน่”
หลินอวิ๋นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่ามีเงื่อนงำแต่กลับไม่อาจแก้ไขได้ เห็นได้ชัดว่าเกินความสามารถของ ‘นักพรตผู้ไม่ธรรมดา’ เ่าั้ เช่นนี้จึง้าบุคคลอย่างไป๋เจ๋อจวินมาช่วยหรือ?”
อี้จื่ออียักไหล่ตอบ “บางทีพวกเขาอาจมีเงื่อนงำบางอย่าง แต่ไม่อาจยืนยันได้กระมัง? มิเช่นนั้นพวกเขาสามารถเชิญไป๋เจ๋อจวินคนเดียวได้ เหตุใดต้องเชิญสำนักเต๋าเกือบทั้งหมดในใต้หล้า ้าชมการแสดงอย่างนั้นหรือ?”
ฉับพลัน หัวใจของหลินอวิ๋นสั่นไหว เขากระสับกระส่ายเล็กน้อยโดยไม่มีเหตุผล รู้สึกหวั่นใจจริงเชียว เขาไม่ได้ัักับอารมณ์เช่นนี้มาหลายปีแล้วจึงขมวดคิ้ว
ระหว่างที่สนทนา พวกเขาทั้งสองเดินไปที่ลานรับรองแขกของจวนอัครเสนาบดี ทันทีที่เดินเข้าประตูจึงเห็นนักพรตเต๋าจำนวนมากมารวมตัวกันในที่แห่งนี้ แต่งกายด้วยสีสันต่างๆ คนกลุ่มเล็กกําลังพูดคุยกันเกี่ยวกับบางสิ่ง เมื่อทั้งสองคนเข้ามา พวกเขากลับไม่สนใจอะไร ทว่าหลังจากที่เห็นชายหนุ่มรูปงามร่างสูงในชุดคลุมแม่น้ำรั่วเข้ามาประสานมือทำความเคารพทั้งสองคน ทั้งหมดกลับแสดงความประหลาดใจอยู่บ้าง จากนั้นจ้องมองมาอย่างแเี
หลังจากคิดว่าที่ลานนี้เต็มไปด้วยบทบาทของ ‘ประมุขสำนักเต๋าเลื่องชื่ออันมีความสำคัญ’ จากปากของอี้จื่ออี หลินอวิ๋นกลับรู้สึกมีหนามเล็กน้อยจากเื้ั
ชายหนุ่มในชุดคลุมแม่น้ำรั่วกล่าวกับหลินอวิ๋นด้วยรอยยิ้ม “คุณชายท่านนี้ต้องเป็ผู้วิเศษที่พ่อบ้านกล่าวถึงว่าได้พบบนถนนเมื่อวานนี้กระมัง? ข้าน้อยฉินเหล่ยซินจากหลิงเยว่เฟิง องครักษ์ของไป๋เจ๋อจวิน ไป๋เจ๋อจวินรออยู่นานแล้ว จึงสั่งให้ข้ามาต้อนรับคุณชาย ณ ที่นี้่”
ผู้คนรอบโดยรอบอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจมากขึ้นเมื่อได้ยิน
ฉินเหล่ยซินไม่ได้สนใจ เขาเดินมาอยู่ข้างกายเพื่อเปิดทาง “เชิญคุณชาย”
“เชิญ” หลินอวิ๋นยืดหลังให้ตรงภายใต้สายตาของทุกคน เดินตามฉินเหล่ยซินเข้าไป
มาถึงห้องเขาเห็นไป๋เจ๋อจวินที่ ‘รออยู่นานแล้ว’ อย่างที่คาดไว้ อีกฝ่ายนั่งอยู่ในที่นั่งแรก ยังคงแต่งกายด้วยชุดเดียวกับที่เขาเห็นเมื่อสองวันก่อน ชุดไป๋เจ๋อจวินช่างหรูหรางดงาม มีท่วงท่าสง่างามและรูปลักษณ์ที่ไม่ธรรมดา หลังจากเห็นหลินอวิ๋นก็พยักหน้าเล็กน้อย แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ยิ้ม ทว่าใบหน้ากลับดูนุ่มนวล ดวงตาที่สวยงามคู่นั้นแสดงความเมตตาออกมาหลายส่วน
หลินอวิ๋นประสานมือของเขาเพื่อแสดงความเคารพ จากนั้นมองไปรอบด้านจึงเห็นว่าไม่ใช่ไป๋เจ๋อจวินคนเดียวที่เฝ้ารอ ทางด้านซ้ายกับด้านขวาของไป๋เจ๋อจวินยังมีนักพรตที่ดูไม่ธรรรมดาอีกสามหรือห้าคน พร้อมกับสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป สายตาที่มองมายังหลินอวิ๋นต่างก็เต็มไปด้วยการสำรวจและดูถูก
เนื่องจากเขาเกือบนั่งอย่างเทียบเท่ากับไป๋เจ๋อจวิน หลายท่านในที่แห่งนี้เกรงว่าคงเป็ ‘ประมุขสำนักเต๋าเลื่องชื่ออันมีความสำคัญ’ มากกว่าผู้ที่อยู่ด้านนอกมากโข
ทันใดนั้น หลินอวิ๋นเกิดภาพลวงตาว่าตนกำลังถูกสอบสวนจากสามศาล
หลังจากเสร็จสิ้นการทักทายอย่างสุภาพ ไม่ใช่ไป๋เจ๋อจวินที่เอ่ยก่อน ทว่าเป็ชายในชุดสีครามที่อยู่ด้านซ้าย รูปลักษณ์ดูอายุราวสามสิบกว่าปี หน้าเหลี่ยม ปากกว้าง มีใบหน้าเที่ยงธรรม อีกทั้งการแสดงออกค่อนข้างตื่นเต้น อีกฝ่ายถือระฆังสะกดิญญาสีเงินไว้ในมือ รีบถาม “ท่านผู้นี้...” เขาไม่รู้ว่าจะเรียกอย่างไรดี จึงเผชิญหน้าแล้วเอ่ยนามด้วยความเป็มิตรอย่างยิ่ง
“แซ่ของข้าคือหลิน ส่วนชื่อเพียงตัวอักษรเดียวคือ ‘อวิ๋น’ ”
“นักพรตหลิน สิ่งนี้เป็อาวุธวิเศษของไป๋เจ๋อจวินรุ่นก่อนซึ่งเป็อาจารย์ของข้า ปรมาจารย์อิ้งเยว่ นามหนีเสวียนเฮ่อ อาจารย์ออกท่องโลกหล้าหลายสิบปีที่แล้ว ผู้คนทั้งหมดไม่รู้ว่าเขาไปที่สถานที่ใด นักพรตหลินได้รับอาวุธวิเศษนี้มาเมื่อไร ที่ใดและอย่างไร? หรือได้พบกับอาจารย์ของข้ากัน?”
หลินอวิ๋นคาดเดาตัวตนของบุคคลนี้ได้ทันที เขาคือหนีรั่วหลี ศิษย์เอกของสำนักจงหลีซานที่อี้จื่ออีกล่าวถึงก่อนหน้านี้
หลินอวิ๋นไม่สามารถโกหกได้ เขาบอกว่าหลังหนีเสวียนเฮ่อจากมาจึงได้พบกับตน อย่างไรก็ตาม เขาซ่อนตัวจากโลกมานานกว่าร้อยปี เพิ่งออกมาจากูเา่ครึ่งเดือนที่ผ่านมา หากถามเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับสำนักเต๋าทั่วหล้าเมื่อหลายสิบปีก่อน เกรงว่าจะไม่อาจตอบได้ หากโกหกคงจะแพ้ภัยตนเอง จึงพูดอย่างซื่อสัตย์ “สิ่งนี้คือสิ่งที่ปรมาจารย์เสวียนเฮ่อมอบให้เมื่อร้อยกว่าปีก่อน”
ทุกคนตกอยู่ในความโกลาหล
ทางด้านขวาของไป๋เจ๋อจววิน ชายชราในชุดคลุมสีดำมีเครากับเส้นผมสีขาวถามอย่างรวดเร็ว “ขอบังอาจถามนักพรตท่านนี้ได้หรือไม่...ท่านมาจากสำนักใด?” การแต่งกายของชายชราผู้นั้นคล้ายกับอี้จื่ออีเป็อย่างยิ่ง อี้จื่ออียังกล่าวด้วยว่าเมื่อพ่อบ้านหลิวมอบระฆังสะกดิญญาให้กับไป๋เจ๋อจวิน อีกฝ่ายอยู่ด้านหลัง ‘อาจารย์ลุงสวี’ ดังนั้นจึงคาดเดาได้ว่าท่านนี้คืออาจารย์ลุงที่อี้จื่ออีกล่าวถึง
หลินอวิ๋นหันไปหา เขาประสานมืออย่างสุภาพตอบกลับ”ข้าน้อยเป็ผู้ฝึกฝนธรรมดา ไม่มีสำนัก”
ทุกคนได้ยินคำพูดนั้น ต่างมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง
นักพรตหลินที่อยู่เบื้องหน้าท่านนี้ดูเยาว์วัยเป็อย่างมาก รูปลักษณ์เหมือนเด็กอายุสิบห้าหรือสิบหกปี มีรูปร่างผอมบาง ทว่าที่เขากล่าวว่าเมื่อร้อยกว่าปีก่อน จึงแสดงให้เห็นอย่างน้อยสองประเด็น ประการแรก เขาต้องทะลวงผ่านปราณเมฆาถึงขั้นปราณทองเมื่อเยาว์วัย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็ผู้มีพร์ ประการที่สอง อายุที่แท้จริงนั้นอย่างน้อยคงหนึ่งร้อยกว่าปี ผ่านการบ่มเพาะ บุคคลเช่นนี้มักจะมีบทบาทที่ถูกจัดอยู่ในอันดับที่หาได้ยากยิ่งในสำนักเต๋าอันยิ่งใหญ่ ทว่าเขากลับเป็ผู้ฝึกฝนธรรมดาอย่างนั้นหรือ?
ผู้คนทั้งหมดต่างประหลาดใจ แน่นอนว่านี่อยู่ในความคาดหมายของหลินอวิ๋น เขาเตรียมที่จะอธิบาย ฉับพลันกลับมีดาบเย็นเยียบทิ่มแทงมาที่หน้าประตูโดยไม่ทักทาย หลินอวิ๋นตกตะลึง เขาหลบได้อย่างหวุดหวิดยังไม่ทันได้ประหลาดใจต่อ เ้าของเงาดาบเรียกคืนดาบกลับไป ยังคงถือดาบสังหารจ่ออยู่ต่อหน้าเขา
โถงประชุมของจวนอัครเสนาบดีเป็พื้นที่โล่งกว้าง ทั้งสองคนต่างเริ่มพลิกคว่ำกันหลายตลบ หลินอวิ๋นเพิ่งเห็นอย่างชัดเจนว่าเป็หนีรั่วหลี ศิษย์เอกผู้นั้น ซึ่งจู่โจมเขาอย่างกะทันหันด้วยความโกรธเคือง ฝ่ายตรงข้ามคู่ควรที่จะเป็หนึ่งในบุคคลชั้นนำในสำนักเต๋า การเคลื่อนไหวรวดเร็วและเต็มไปด้วยพลังทางจิติญญา โเี้ไม่มีช่องว่างแม้แต่น้อย
หลินอวิ๋นรู้ว่านี่เป็การหยั่งเชิงตนจึงไม่อาจหลบหนีได้ ทำได้เพียงหันศีรษะเพื่อหลบการโจมตี ใช้พลังิญญารับฝ่ามืออย่างเต็มกำลัง ส่งผลให้หนีรั่วหลีใถอยหลังไปสองสามก้าว หน้าอกเต็มไปด้วยโลหิตที่ไหลทะลัก อีกฝ่ายไอเบาๆ สองสามครั้ง ใบหน้าซีดเซียว
ทุกคนตกตะลึง ในห้องโถงไร้ซึ่งเสียง
หลินอวิ๋นมีสีหน้าไม่ดีเท่าไร เขาเอามือไพล่หลัง ฝ่ามือซ่อนไว้ในแขนเสื้อ ยันต์สีทองยืมิญญาที่ระหว่างปลายนิ้วถูกเผาด้วยพลังิญญาเลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“นักพรตหนี ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรหรือ?” เขาจ้องมองหนีรั่วหลีด้วยสีหน้าย่ำแย่ เผยความไม่พอใจออกมา
หนีรั่วหลีกลืนความขมขื่นในลำคอเล็กน้อย จากนั้นหันไปทางไป๋เจ๋อจวินฉวีซูซึ่งนั่งที่หัวโต๊ะในห้องโถง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเ็าพร้อมกล่าว “ปราณพิสุทธิ์ขั้นปลาย ใกล้ขอบเขตเซียน”
ห้องโถงตกอยู่ในความโกลาหลอีกครั้ง มีการถกเถียงกันมากมายจากทุกผู้คน
------------------------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้