ภายใต้แสงอัสดงอันแผดเผา แสงสว่างที่ได้จากกองไฟมิเด่นชัดมากนัก มิต้องกังวลว่าจะชักนำสัตว์ป่าอันใดเข้าหา โม่จ้านนำน้ำราดกองไฟหลังขยับแก้มเคี้ยวอย่างรวดเร็ว เขาทั้งเรอและเดินสำรวจด้านล่างของลำธารต่อ หลังข้ามเนินเขาที่ไม่รู้จักหลายเนิน โม่จ้านก็พบเข้ากับทางสายหนึ่งและรอยเท้ามนุษย์สองแถวด้วยความประหลาดใจ
ยังมิทันให้โม่จ้านได้ตามสำรวจรอยเท้าอย่างละเอียด ความประหลาดใจพลันแปรเปลี่ยนเป็ความใ ระยะห่างระหว่างรอยเท้าด้านหน้ากับด้านหลังห่างกันอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าเป็การวิ่งหนีสุดชีวิต นอกจากนั้นระยะห่างระหว่างรอยเท้ายังห่างกันขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดรอยเท้าทั้งสองแถวแยกจากกันโดยสิ้นเชิง—มีรอยเท้าของสัตว์ร้ายขนาดใหญ่โผล่ออกมาจากป่า กระโจนเข้าหาพวกเขาทั้งสองคน ด้วยสถานการณ์ที่ต้องรีบร้อนหนีจนมิอาจเลือกหนทาง คนทั้งสองจึงเลือกที่จะแยกกันหนี รอยเท้าของสัตว์ป่าไล่ตามหนึ่งในนั้นไป รอยเท้าของสัตว์ร้ายกับคนปะปนกัน บนพื้นเกิดรอยกลิ้งไถลไปไกลสิบกว่าหมี่่ บนใบหญ้ารอบข้างยังมีรอยเืสีดำประดับอยู่
เศษเสื้อเกราะสกปรกไม่กี่ชิ้นถูกดินทับถมไว้ในพุ่มหญ้า ผู้ถูกจู่โจมคงเป็อัศวินนายหนึ่ง
โม่จ้านเริ่มกระวนกระวายใจ รอยเท้าของสัตว์ร้ายมีขนาดประมาณโล่ป้องกัน นอกจากนั้นยังหลงเหลือรอยเล็บอยู่อย่างชัดเจน มีความเป็ไปได้สูงว่าจะเป็สัตว์กินเนื้อที่ล่าเหยื่อเมื่อพบคนผ่านทาง สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือรอยเท้าออกมาจากในป่า ซึ่งก็หมายความว่าในป่านั้นอาจจะมีสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่อยู่
…เลิกคิดจะปลูกผักหญ้าเลี้ยงปากท้องในป่าไปได้เลย ควรคิดก่อนว่าทำอย่างไรจึงจะมิถูกสัตว์ป่าคาบไปยัดซอกฟัน
เมื่อมีเงามืดในใจเนื่องจาก ‘สถานที่เกิดเหตุฆาตกรรม’ ยามโม่จ้านเดินย้อนกลับจึงได้ระมัดระวังตัวเป็อย่างยิ่ง ตามองหกทางหูฟังแปดทิศ หลังวิ่งเหยาะๆ กลับมาถึงวิหาร มิใช่เื่ง่ายกว่าโม่จ้านจะได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อที่นั่นมีคนผ่านทาง แสดงว่าถนนสายเล็กนั้นจะต้องเชื่อมต่อกับแหล่งชุมนุมของมนุษย์ หากโชคดี บางทีอาจจะมิเจอกับสัตว์ป่าขนาดใหญ่…กระมัง?
…เหตุใดมิว่าจะอยู่ในโลกไหน เพียงอยากจะเป็ปลาเค็ม [1] สักตัวถึงได้ยากเย็นแสนเข็ญเพียงนี้?
โม่จ้านถอนหายใจ เขาเริ่มนึกย้อนถึงแผนที่ที่อยู่ในหัวและลองวิเคราะห์ตำแหน่งที่อยู่ของตน ด้วยการแต่งตัวเช่นนี้ หากพบคนผ่านทาง เกรงว่าคงจะใกลัวจนวิ่งหนีไปเสียก่อน ต่อให้มิถูกมองเป็คนบ้าชอบโชว์ ทว่าหากเผ่ามารที่ผู้คนร้องจะฆ่าจะแกงมาปรากฏตัวอย่างโจ่งแจ้งต่อหน้าฝูงชน เช่นนั้นมิเท่ากับว่ารนหาที่ตายหรอกหรือ
ดวงตาสีแดงเข้มมิถือว่าแปลกประหลาดสักเท่าใด ยามถูกมุงดูในจัตุรัสยังพบเห็นอยู่หลายคน ปัญหาใหญ่ที่สุดคงจะเป็เขาทั้งสองข้างบนหัวที่ดูโดดเด่นจนเกินไป
โม่จ้านลูบกระดูกที่งอกเป็เขาอย่างคนคิดสิ่งใดมิออก เ้าของเล่นชิ้นนี้มิมีเส้นประสาททั้งยังไส้ตัน สังเกตจากยามที่ใช้มันงัดฝาโลงฝังดินก็รู้แล้วว่ามันแข็งแรงมากเพียงใด เลิกคิดที่จะหาสิ่งใดมาทุบให้แตกไปได้เลย มิต้องพูดถึงเื่อันตรายจากการกระทบกระเทือนถึงสมอง หากเหลือก้อนเล็กๆ ทรงกระบอกทั้งสองไว้บนหัว คนผ่านทางคงมิมีทางคิดว่าเขามีงานอดิเรกเป็การคอสเพลย์เฮลล์บอยฮีโร่พันธุ์นรกหรอก
การเลื่อยหรือตัดมันออกให้แนบสนิทกับหน้าผากนับเป็ความคิดที่ดี ทว่า…
โม่จ้านมอง ‘แผ่นเหล็ก’ ที่มิได้ลับคมด้ามนั้นครู่หนึ่ง จากนั้นผินหน้าหนีไปอีกด้านด้วยความสิ้นหวัง
เพราะมิอาจเผชิญหน้ากับผู้คน ดังนั้นจึงมิมีเครื่องมือ เพราะมิมีเครื่องมือ ดังนั้นจึงมิอาจออกไปเผชิญหน้ากับผู้คน สวัสดีวังวนไร้ที่สิ้นสุด และลาก่อนวังวนไร้ที่สิ้นสุด
โม่จ้านเค้นสมองสุดความสามารถ ท้ายที่สุดทำได้เพียงดึงความคิดแหวกแนวกลับไปทางเดิม ขอเพียงมีอุปกรณ์ที่แหลมคมพอก็สามารถตัดเขาส่วนใหญ่ออกได้มากพอ อย่างมากก็เพียงเอาผ้าโพกหัวเร่งเดินทาง รอกระทั่งไปถึงแหล่งรวมตัวของผู้คน ของจำพวกเลื่อยอันใดนั่นก็นับเป็เื่ง่ายกว่าเดิมมาก
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า หนทางเดียวที่ตนจะได้อาวุธมาก็คือการขอยืมจากคนผ่านทาง เช่นนั้นปัญหาก็วนกลับมาอีกครา— มีสิ่งใดที่พอจะปกปิดร่างกายนี้ได้บ้าง ทั้งยังจะมิถูกคนผ่านทางนึกสงสัย
เมื่อนึกถึงอัศวินโชคร้ายผู้นั้น ดวงตาของโม่จ้านเป็ประกายโดยพลัน คล้ายกับจะมีแล้วจริงๆ แม้จะยังมิรู้ว่าจะใช้การได้หรือไม่ก็ตาม
……
“เ้าตัดสินใจแล้วจริงๆ หรือ บุตรแห่งข้า?”
สมเด็จพระสันตะปาปาเอ่ยถามอัศวินแห่งพระวิหารที่กำลังนั่งคุกเข่าเพียงข้างเดียว หว่างคิ้วเจือความเป็ห่วงคล้ายกับบิดาที่เพิ่งจะเคยส่งเด็กวัยเยาว์ออกเดินทางไกลเป็ครั้งแรก
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ สมเด็จพระสันตะปาปา หวังว่าท่านจะทรงอนุญาตพ่ะย่ะค่ะ”
อัศวินชุดเครื่องแบบเต็มยศก้มหน้าลง น้ำเสียงหนักแน่น คล้ายกับตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
“าาปีศาจถูกลงทัณฑ์สิ้น เผ่ามารที่เหลืออยู่ล้วนเป็เศษกองกำลังกระจัดกระจาย เพียงผู้บัญชาการกองอัศวินผู้เดียวก็สามารถรับมือได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ยามนี้หน้าที่กวาดล้างเผ่ามารยังคงดำเนินต่อไป ที่นี่ขาดแคลนกำลังคนอย่างมาก ที่สำคัญพวกเรากำลังพยายามคิดหาหนทาง…”
สมเด็จพระสันตะปาปายังคงพยายามรั้งเอาไว้เป็ครั้งสุดท้าย ครั้นอัศวินได้ฟังจึงเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตาไร้แววทั้งสองข้างเต็มไปด้วยเส้นเืฝอย กอปรกับรอยแผลเป็น่าเกลียดที่พาดผ่านใบหน้าครึ่งซีก ทำให้สมเด็จพระสันตะปาปาที่พบเห็นคนเจ็บจนเคยชินอดเบนสายตาออกห่างมิได้
“…สมเด็จพระสันตะปาปา ได้โปรดอภัยในความผิดพลาดที่ผ่านมาของกระหม่อม ด้วยสถานการณ์ในยามนี้ของเจียเอ่อลั่ว ไร้หนทางจะปรนนิบัติรับใช้ท่านและเทพแห่งแสงสว่างจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าปวดใจเหลือเกิน แม้ว่าสันตะสำนักจะมีเวทแห่งแสงที่แข็งแกร่งมากที่สุด กระนั้นกลับไร้หนทางขับไล่ตราประทับที่เผ่ามารอันชั่วร้ายทิ้งไว้บนใบหน้าของเ้า…”
สมเด็จพระสันตะปาปาถอนหายใจ ใช้นิ้วแตะลงบนหมวกของอัศวินแ่เบา ก่อนกุมข้อมือของอัศวินแล้วดึงให้ลุกขึ้น
“เ้าทุ่มเทเพื่อสันตะสำนักมานานปี หวังว่าการเดินทางจะสามารถเยียวยาจิติญญาของเ้า ข้าเองก็จะช่วยให้การสนับสนุนเ้าอย่างสุดความสามารถ ขอท่านเทพแห่งแสงคุ้มครองเ้า บุตรแห่งข้า”
อัศวินหยัดกายลุกขึ้น พยักหน้าอย่างเงียบเชียบ หลังค้อมกายต่ำทำความเคารพสมเด็จพระสันตะปาปา เขาจึงเดินออกไปด้านนอกพร้อมกับเสียงเสียดสีของเสื้อเกราะด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า
“ที่แท้หลังจากท่านเจียเอ่อลั่วถูกเผ่ามารทำให้าเ็สาหัส ความรู้สึกมิยินยอมภายในใจก็เข้มข้นถึงเพียงนี้เชียว…”
อัศวินคุ้มกันที่เฝ้าหน้าประตูเอ่ยกับตนเองเสียงเบาขณะมองฝีเท้าเบาหวิวของรองผู้บัญชาการกองอัศวินด้วยความเป็ห่วง ส่งแผ่นหลังของเจียเอ่อลั่วหายลับหลังระเบียงทางเดินไกลๆ ด้วยสายตา
“ผ่านมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว นึกมิถึงว่าจะยังยึดติดถึงเพียงนี้—อ่ะ! สมเด็จพระสันตะปาปา ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ!!”
ครั้นพบว่าสมเด็จพระสันตะปาปาปรากฏตัวข้างกายตนเองอย่างกะทันหัน อัศวินคุ้มกันใจนสะดุ้งโหยง เหงื่อเย็นถึงกับผุดออกมาทันใด— ภายในโถงหารือห้ามผู้มิมีส่วนเกี่ยวข้องเอ่ยอันใด นี่ถือเป็หนึ่งในกฎเหล็กที่สันตะสำนักยอมรับโดยนัย
สมเด็จพระสันตะปาปาใบหน้าเปี่ยมเมตตาคลี่ยิ้มพลางส่ายหน้า สื่อกับอัศวินคุ้มกันหนุ่มว่ามิเป็ไร สายตาทอดมองไปตามทางที่เจียเอ่อลั่วหายลับไป
“ปมในใจของเขา มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะแก้ได้ รอกระทั่งเจียเอ่อลั่วคิดได้กระจ่างแล้ว เขาจะต้องกลับมาคุ้มกันสันตะสำนักอีกคราอย่างแน่นอน”
……
“…ผู้ที่จะไปคือข้า เหตุใดเ้าจึงเก็บข้าวของกัน?”
เจียเอ่อลั่วขมวดคิ้ว มองไปทางอัศวินผมน้ำเงินที่เอาเสื้อผ้ากองหนึ่งยัดใส่ห่อผ้าด้วยความสงสัย
“…ท่านลืมแล้วหรือ ข้าคืออัศวินฝึกหัดที่สถาบันอัศวินแห่งพระวิหารส่งมาฝึกฝนกับท่าน จะต้องผ่านการประเมินผลจากท่านเป็เวลาหนึ่งปีจึงจะกลายเป็อัศวินอย่างเป็ทางการ”
อัศวินผมน้ำเงินใช้เชือกมัดห่อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะเงยใบหน้าเศร้าสร้อยขึ้น ยามสันตะสำนักกับเผ่ามารเพิ่งจะเริ่มทำากัน ตอนตนเพิ่งจะเริ่มเป็อัศวินฝึกหัด ถูกส่งไปร่วมรบทั้งๆ ที่รู้ว่ามิอาจทำได้หลายต่อหลายครั้ง หนำซ้ำยังได้รับาเ็กลับมามิน้อย มิใช่เื่ง่ายกว่าาจะจบลง ยังคิดว่าจะได้พักผ่อนสักระยะ มิคาดอัศวินผู้ให้การชี้แนะของตนยังจะออกเดินทางอีก
“…อ้อ ขอโทษ ข้าลืมไปแล้ว”
น้ำเสียงของเจียเอ่อลั่วเรียบเฉยเหลือเกิน ราวกับตอบคำถามสภาพดินฟ้าอากาศตามปกติ อัศวินผมน้ำเงินถึงกับเืคั่งขึ้นมากระจุกอยู่ในคอหอย แต่เมื่อนึกถึงท่าทางเลื่อนลอยในยามนี้ของรองผู้บัญชาการ ตนก็มิอาจโกรธลง
ก่อนทำศึกกับาาปีศาจพร้อมฝ่าฟันและฮึกเหิม หลังจากทำศึกกับาาปีศาจกลับมีเื่หนักอึ้งในใจและเซื่องซึม สภาพจิตใจของท่านเจียเอ่อลั่วต่างออกไปราวกับเป็คนละคน แรงกดดันยิ่งมาก แรงขับเคลื่อนก็ยิ่งต่ำ สภาพที่เผยออกมาก็จะยิ่งได้รับผลกระทบ หากมิมีหนทางระบายอารมณ์ที่มิดีเช่นนี้ออกไป ท่านเจียเอ่อลั่วก็อาจจะทรุดลงอย่างไร้หนทางหวนกลับ สันตะสำนักก็จะสูญเสียเสาหลักไปเช่นกัน
ท่านเจียเอ่อลั่วและสมเด็จพระสันตะปาปาต่างเล็งเห็นปัญหานี้ ให้ท่านเจียเอ่อลั่วออกไปปฏิบัติภารกิจข้างนอก อาจจะเป็การทำให้สภาพจิตใจที่ตึงเครียดของเขาผ่อนคลายลงบ้าง เพียงแต่ต้องลำบากตน ทั้งๆ ที่เป็ ‘อัศวินแห่งพระวิหารฝึกหัด’ กลับเหมือนมิเคยได้อยู่ในพระวิหารเต็มวันสักครา
“เช่นนั้นเ้าก็อยู่ที่นี่เถิด รอกระทั่งข้ากลับมาก็เท่ากับเ้าผ่านการประเมินแล้ว”
น้ำเสียงของเจียเอ่อลั่วไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ คำพูดที่ออกมาแทบจะทำให้เืที่คั่งในคอหอยของอัศวินผมน้ำเงินกระอักออกมา
“…ท่านเอาจริงหรือ?”
อัศวินผมน้ำเงินมองเจียเอ่อลั่วที่กำลังเก็บข้าวของอย่างเงียบเชียบด้วยสายตาสับสน มิรู้ว่าตนควรจะยินดีที่ถูก ‘รับรองให้เรียนจบ’ หรือควรจะพูดแขวะเพราะคาดมิถึงว่าอัศวินผู้ชี้แนะท่านนี้จะเอ่ยวาจาไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้ออกมา
“แน่นอน เ้ามิยินดี?”
ยากนักจะได้เห็นเจียเอ่อลั่วเผยสายตาฉายแววรำคาญ อัศวินผมน้ำเงินอ้าปากเล็กน้อย ก่อนเบนสายตาค่อนข้างประหม่าไปอีกทาง
เชิงอรรถ
[1] ปลาเค็ม咸鱼 มาจากสำนวน 咸鱼翻身แปลตรงตัวว่า ปลาเค็มพลิกตัว เปรียบเปรยถึงคนที่เคยตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากและเจอจุดเปลี่ยนให้ชีวิตดีขึ้น