ระฆังแห่งลางสังหรณ์ของโม่จ้านส่งเสียงดังลั่น
ิญญาของาาปีศาจดับสลายไปนานแล้ว ทว่าตนกลับยังสามารถฟังบทสนทนาของกลุ่มคนในสันตะสำนักรู้เื่ อีกทั้งิญญาของตนก็ถูกเคลื่อนย้ายไปแล้วเช่นกัน กลับยังเข้าใจสัญลักษณ์บนภาพวาดในโลกต่างมิติ โม่จ้านใช้นิ้วเขียนกลอน 《คิดคำนึงในคืนสงบ》หนึ่งรอบ พบว่าตนมิได้หลงลืมการเขียนและทักษะภาษาจีนแต่อย่างใด
เมื่อคิดไปคิดมาก็ยังคงคิดหาต้นสายปลายเหตุมิออก โม่จ้านกดข่มความรู้สึกว้าวุ่นใจเอาไว้ ตัดสินใจว่าจะเก็บซ่อนเื่นี้ไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองฟ้า แสงอาทิตย์อัสดงกำลังจะลาลับเส้นตรงของผืนดิน โม่จ้านตัดสินใจว่าวันนี้ตนจะไม่วิ่งวุ่นไปทั่วแล้ว ดวงิญญาตกอับของมนุษย์ต่างมิติยกเอาฝาโลงวางลงกับพื้น หยิบเอาใบไม้ที่เก็บมาโปรยลงจนหมดเพื่อปูรองพื้นเป็วงกว้างขนาดเล็ก ใช้ทำเป็เบาะรองนอนที่พอจะมีความยืดหยุ่นอยู่บ้าง
กระทั่งเอนตัวนอนลง้า เขาััได้ถึงแรงเสียดสีประหลาดบริเวณสะโพก โม่จ้านเพิ่งจะพบกับความเป็จริงอันน่าสังเวช— บนตัวของตนนั้นมิมีสิ่งใดปกปิดเลยแม้แต่น้อย วิ่งเต้นไปทั่วถึงครึ่งค่อนวันทั้งเช่นนี้ วันทั้งวันวิ่งซ้ายวิ่งขวาเพื่อหาทางเอาชีวิตรอดนึกมิถึงว่าตนจะมิได้สนใจเื่นี้แม้แต่น้อย
ถึงแม้ที่นี่จะมีโม่จ้านอยู่เพียงลำพัง ต่อให้เปลือยก็มิเป็อันใด ทว่าโม่จ้านก็ยังมิอาจทนต่อความละอายนี้ได้ จึงวิ่งออกไปหาใบไม้ใหญ่มิดชิดมาไม่กี่ใบแล้วใช้กิ่งไม้ร้อยเข้าด้วยกันอย่างงกๆ เงิ่นๆ ฝืนทำเป็ ‘กระโปรง’ หนึ่งตัวขึ้นมาเพื่อปกปิดความน่าอาย
ยามถูกขังในสันตะสำนักยังมีผ้าชิ้นหนึ่ง ต่อเมื่อมาอยู่ที่นี่กลับทำได้เพียงสวมผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ… โม่จ้านทิ้งตัวลงบนฝาโลงแล้วเริ่มเข้าสู่โหมดเงยหน้ามองฟ้าโทษเทวดาฟ้าดิน ทว่าโม่จ้านกลับนึกขึ้นมาได้ว่าธงโศกนาฏกรรมที่ตนเคยตั้งเอาไว้คล้ายจะเป็จริงหมดสิ้นแล้ว จึงทำได้เพียงหุบปากด้วยสีหน้าเหยเก
เฮ้อ เป็เช่นนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ดี ยังคงพอทำนาหาเลี้ยงตนเองหรืออันใดสักอย่างได้
โม่จ้านปิดเปลือกตายกยิ้มขมขื่น ต่างบอกว่าหลังรอดตายจากภัยครั้งใหญ่จะมีความสุขรออยู่ภายหลังมิใช่หรือ เมื่อเทียบกับตัวเขาในวันก่อนและชาติก่อน อย่างน้อยตอนนี้ตัวเขาก็มีจุดมุ่งหมายในชีวิต — นั่นคือมีชีวิตอยู่ต่อไป
…คล้ายกับตนจะเผลอตั้งธงโดยมิทันรู้ตัวอีกแล้วกระมัง
ช่างเถอะ อย่างน้อยคืนนี้ก็สามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจ —เดี๋ยวก่อน เหมือนตนจะมิได้ปิดประตูห้องเล็ก เอาโล่ทะลุนั่นห้อยไว้้าดีหรือไม่? หากมีผู้ใดมา อย่างน้อยเสียงโล่กระทบพื้นคงพอจะปลุกเขาให้ตื่นได้บ้าง….
… เหตุใดมาถึงโลกต่างมิติก็ยังแก้นิสัยห่วงหน้าพะวงหลังมิได้ โม่จ้านถอนหายใจ จากนั้นลากสังขารอันเหนื่อยล้าไปปิดประตู
……
แสงตะวันอันเจิดจ้าลอยสูง ความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ลอดผ่านรูโหว่ของกำแพงส่องกระทบก้นของโม่จ้าน
ถึงแม้จะมิมีเสียงนกหรือกลิ่นหอมของมวลดอกไม้ กระนั้นโม่จ้านที่เหนื่อยล้าทั้งกายใจเพิ่งจะได้ัักับการนอนหลับจนกระทั่งตื่นเองโดยธรรมชาติภายใต้แสงตะวันเป็ครั้งแรก
…หือ หากจะพูดให้ถูกคือหิวจนตื่นต่างหาก
โม่จ้านพบว่าตนสามารถกินหมูเข้าไปได้ทั้งตัว เมื่อวานได้กินเพียงผลไม้ลูกเล็กๆ ไม่กี่ลูกนั่น มิอาจต้านทานการบีบรัดภายในกระเพาะอาหารได้สักนิด
ขณะขยี้ตาอย่างสะลึมสะลือ โม่จ้านค่อยๆ ก้าวเดินไปทางลำธาร ถึงแม้น้ำในลำธารจะใสสะอาด ทว่าลำธารสายเล็กนั้นน้ำไหลเร็วจนเกินไป มิน่าจะมีปลา รอบข้างก็ยังมิพบเห็ดหรือผลไม้ที่ตนรู้จัก ดังนั้นโม่จ้านจึงตัดสินใจว่าจะเดินลงไปตามลำธาร คิดอยากจะหวังพึ่งชะตาฟ้าลิขิต
หลังเดินไปประมาณหนึ่งชั่วยาม สายธารเริ่มกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็แม่น้ำ กระนั้นตนก็ยังมิเห็นร่องรอยของสิ่งมีชีวิต เพียงแต่โม่จ้านมินึกท้อใจมากนัก — เนื่องจากภายในใบไม้ที่พาดเกี่ยวกันไปมา ตนมองเห็นสิ่งที่ค่อนข้างคุ้นตาแล้ว
ใบไม้ที่สั่นไหวภายใต้แสงตะวันของต้นไม้ที่สูงประมาณตึกห้าถึงหกชั้น ผลไม้ทรงรีอวบอิ่มสะท้อนแสงเล็กน้อย อีกทั้งยังคล้ายจะได้กลิ่นหอมจางๆ ออกมา
อย่างไรก็ตาม โม่จ้านที่ท้องว่างเปล่าเช็ดน้ำลาย ทว่ากลับมิยอมขยับเขยื้อนเสียที เอาแต่เงยหน้ามองขึ้นไป้าด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง ส่วนสาเหตุนั้น คงเป็เพราะ ‘อาการศูนย์เล็ง’ ในหัวของสหายโม่ทำพิษเสียแล้ว
ตลอดหลายปีที่อยู่ในโรงเรียนนายร้อย โม่จ้านอาศัยศักยภาพที่แท้จริงของร่างกายและพร์ด้านการต่อสู้ที่เก่งกาจจนน่าสะพรึงโค่นคนทั้งโรงเรียน คว้ารางวัลน้อยใหญ่มาจนนับมิถ้วน ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับหน่วยรบพิเศษที่เชี่ยวชาญด้านนี้ก็ยังสามารถเอาชนะด้วยคะแนนหกต่อสี่
ทว่าถึงอย่างไรก็ตาม คะแนนการยิงปืนของโม่จ้านกลับทำให้ผู้อื่นโกรธเป็ฟืนเป็ไฟ— ยิงเข้าเป้าสองในห้านัดก็นับว่าต้องขอบคุณฟ้าขอบคุณดินแล้ว ในการสอบยิงปืนยังเกิดเหตุการณ์สี่ในห้านัดทิ้ง ‘ร่องรอย’ ไว้บนรองเท้าของผู้อื่น ทำเอาบรรดาครูผู้สอนใจนตาแทบจะหล่นลงพื้น หากมิใช่เพราะใน่ท้ายของการสอบมีโชคช่วย แตะเส้นขอบจนเกือบจะมิผ่าน เกรงว่ากระทั่งเรียนให้จบยังจะเป็ปัญหา
โม่จ้านผู้มีปมในใจต่อการยิงปืนลังเลอยู่ครึ่งค่อนวัน คิดในใจว่า ‘ผลไม้มีตั้งมากมายเพียงนั้น เขามิเชื่อว่าจะยิงไม่ถูกสักลูก’ โม่จ้านหยิบเศษหินขึ้นมาไม่กี่ก้อนแล้วโยนออกไป ผลลัพธ์คือเครื่องพิสูจน์ สิ่งที่หากไม่มีวาสนาก็อย่าฝืนร้องขอ มิได้เปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมและร่างกายแต่อย่างใด— มิเพียงแต่ผลไม้ไม่หล่นลงบนพื้น เศษหินยังลอยเฉียงไปกระทบหนอนขนที่ทั้งตัวใหญ่และอวบอ้วนไม่กี่ตัวด้วย
ในใจโม่จ้านเกิดเป็ความรู้สึกหงุดหงิด เขายังเก็บเศษหินอีกไม่กี่ก้อนขึ้นมาแล้วโยนออกไป ผลลัพธ์กลับน่าสมเพชยิ่งกว่าเดิม นอกจากใบไม้เปื่อยยุ่ยบนกิ่งไม้แห้ง ครานี้กระทั่งหนอนก็ยังมิมี
อาหารอยู่ตรงหน้าแต่มิอาจเอาเข้าปาก นี่ถึงจะเป็เื่สิ้นหวังที่แท้จริง โม่จ้านที่หิวจนคลุ้มคลั่งเตรียมตัว ‘ตายเพื่ออาหาร’ เขาพ่นน้ำลายใส่มือสองครั้ง ก่อนเตรียมตัวปีนต้นไม้
ทันใดนั้นกลับมีสัตว์เล็กที่มิรู้ว่าปรากฏตัวั้แ่เมื่อใดดึงดูดความสนใจของโม่จ้าน— สัตว์ตัวหนึ่งที่คล้ายกับแมวป่ากำลังหมอบอยู่บนต้นไม้และจดจ้องตน
ที่บอกว่ามัน ‘คล้ายแมวป่า’ เพราะในความทรงจำของโม่จ้าน เขามิเคยเห็นแมวป่าขนดำลายจุดสีขาวมาก่อน นอกจากนั้นเ้าตัวเล็กยังสูงเพียงประมาณแปดชุ่น หากมิใช่เพราะหูและขนอันเป็เอกลักษณ์ โม่จ้านคงจะนึกว่ามันเป็แมวไปแล้ว
หนึ่งคนหนึ่งสัตว์สบตากันอยู่ครึ่งค่อนวัน ท้ายที่สุดโม่จ้านยังคงเลือกที่จะลั่นระฆังถอยทัพ โบราณกล่าวเอาไว้ได้ถูกต้อง แมวมีสัญชาตญาณของเสือ หากมนุษย์เจอแมวป่าที่ตัวใหญ่สักหน่อยต่างก็พากันปอดแหกทั้งนั้น แมวป่าที่คล้ายกับเสือเลี่ยเป้า [1] หากมิยั่วโทสะได้ย่อมดีกว่า มิต้องพูดถึงเื่ที่โลกนี้มีโรคพิษสุนัขบ้าหรือไม่ หากไปแหย่แมวตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งจนเรียกคนให้แห่เข้ามากลุ่มใหญ่ ในป่ารกร้างเช่นนี้ก็เพียงพอจะทำให้เขาเหลืออดเหลือทนแล้ว
โม่จ้านพยายามมิมองสบตาแมวป่า (ปลอม) ตรงหน้าตรงๆ อย่างสุดความสามารถ เท้าค่อยๆ เคลื่อนย้ายไปทางด้านหลัง พยายามแสดงออกว่าตนมิได้มีเจตนาจะล่วงเกินแต่อย่างใด เพียงแต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมิได้ใส่ใจตัวเขาเลยแม้แต่น้อย เ้าแมวป่าตัวน้อยลุกขึ้นเลียขาตนเอง ‘ถูๆ ไถๆ ’ อยู่มิกี่ครั้งก่อนปีนขึ้นไปยังยอดต้นไม้
แสงอาทิตย์ยามเที่ยงวันลอดผ่านใบไม้ถี่ โม่จ้านหรี่ตาพลางใช้มือบังเหนือคิ้ว พอจะมองเห็นว่าเ้าแมวป่าตัวน้อยนั่นมุดเข้าออกแมกไม้ ไม่นานหลังจากหยุดลงในแต่ละครั้งล้วนมีผลสาเกที่ถูกกัดจนขาดหล่นลงพื้นเสียงดัง ‘ตุ้บ’
โม่จ้านพยายามฝืนควบคุมความบุ่มบ่ามจะเป็โจรของตน กัดฟันมองผลไม้ขนาดเท่าลูกสมอกลิ้งมาหยุดตรงข้างเท้าของตนหลังตกลงพื้น
หากมันสามารถฟังภาษาคนรู้เื่ โม่จ้านก็อยากจะบอกให้มันเหลือไว้ให้สักสองสามลูกจริงๆ..
น้ำลายของโม่จ้านจวนจะไหลออกมาอยู่รอมร่อ ทว่ากลับทำเพียงมองแมวป่าปีนลงจากต้นไม้อย่างคล่องแคล่วหลังจากเก็บอาหารเสร็จเรียบร้อย มันคาบก้านลูกสาเกทั้งหมดไว้ในปากแล้วลากออกไปไกล
อาจเป็เพราะสายตาเปี่ยมความหวังทางด้านหลังนั้นร้อนแรงจนเกินไป แมวป่าจึงชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับมามองโม่จ้านอย่างเข้าใจความ้าของมนุษย์ ภายใต้สายตากึ่งคาดหวังกึ่งวิงวอนของโม่จ้าน แมวป่าใช้เท้าหน้าเขี่ยผลสาเกสองลูกให้หล่นลง ถีบเท้าหลังหนึ่งครั้งเพื่อเตะผลสาเกมาตรงหน้าโม่จ้าน ทุกการกระทำล้วนเอาก้นเผชิญหน้ากับโม่จ้าน ไม่แม้แต่จะหันหน้ามาสักนิด ในหัวของโม่จ้านที่มุมปากกระตุกถึงขั้นเดาสีหน้าและน้ำเสียงรังเกียจเดียดฉันท์ของอีกฝ่ายได้— ‘จิ๊! มากิน!’
....ดูเหมือนว่าตนจะถูกสัตว์ทำทานเข้าให้เสียแล้ว ที่สำคัญตนยังรู้สึกยินดีปรีดาเหลือเกินด้วย
โม่จ้านค้อมเอวลงเก็บผลไม้สีเขียวปนเหลืองขึ้นมาก่อนจะเดินไปทางลำธารด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
ขณะวักน้ำขึ้นล้างผลไม้ โม่จ้านเพิ่งจะได้เห็นหน้าตนเองเป็ครั้งแรก หากจะให้ใช้หนึ่งคำบรรยาย คงจะเป็คำว่า “‘น่าเวทนาเกินกว่าจะทนดู’ บนใบหน้ามีทั้งสีดำจากดิน มีสีเทาจากฝุ่น มีสีเขียวจากยางใบไม้ ล้วนแล้วแต่เป็ลักษณะของผู้ลี้ภัยที่หนีเข้าป่า
เพียงแต่หลังจากล้างหน้าจนสะอาด อารมณ์ของโม่จ้านก็เปลี่ยนจากอึมครึมเป็แจ่มใสในทันที บนผิวน้ำ ใบหน้าของเด็กหนุ่มผมเงินร่างกายดูแข็งแรง โหนกคิ้วนูนเบ้าตาลึก หางตาเชิดขึ้นเล็กน้อยเจือความก้าวร้าว ทว่ามิถึงขั้นแลดูโอ้อวดจนเกินไป กอปรกับสันจมูกสูงโด่งและผิวสีข้าวสาลีดูสุขภาพดี ทำให้ทั่วทั้งร่างของเด็กหนุ่มผู้นี้เผยกลิ่นอายแข็งกร้าว ต่อเมื่ออ้าปากยังมองเห็นเขี้ยวเล็กๆ ที่แฝงความขี้เล่นเช่นคนหนุ่มสาวเอาไว้อยู่
ใบหน้าเผยกลิ่นอายบุรุษห้าวหาญทำให้โม่จ้านรู้สึกพอใจเป็อย่างยิ่ง จำต้องรู้ไว้ว่าใบหน้าละอ่อนเมื่อชาติก่อนกับหางตาตกแลดูใสซื่อนั้นทำให้เขาเป็ที่สะดุดตาในโรงเรียนตำรวจที่เต็มไปด้วยชายฉกรรจ์ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้โม่จ้านที่ชอบเก็บตัวเงียบๆ ปวดหัวเป็อย่างยิ่ง ถึงแม้จะเรียนจบมาแล้ว กระนั้นความประทับใจแรกก็ยังคงต้องพึ่งพาหน้าตา---ตอนเพิ่งเข้าสำนักงานตำรวจ ผู้าุโจำนวนหนึ่งให้ความเอ็นดูเสมือนเขาเป็น้องชาย ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งใบหน้าเปี่ยมด้วยความเย้ยหยันเพราะคิดว่าเขาเป็ลูกข้าราชการ เป็พวกใช้เส้นสายเพื่อกินภาษีประชาชน กระทั่งโม่จ้านล้มโจรห้าคนด้วยตัวคนเดียวในคดีปล้นชิงทรัพย์ มิใช่เื่ง่ายกว่าจะสามารถเปลี่ยนภาพลักษณ์ในสายตาเพื่อนร่วมงานได้
แสงอาทิตย์แผดเผา คล้ายกับร่างกายจะเริ่มรู้สึกคันขึ้นมาเล็กน้อย ร่างกายนี้ของตัวเขาดูเหมือนจะยังอายุน้อยมากทีเดียว อีกทั้งยังมิรู้ถึงเวลาที่ฝังร่างเอาไว้ ถูกเก็บไว้ในโลงศพทว่ากลับยังมิมีเห็ดขึ้นก็นับว่าขอบคุณฟ้าดินแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นหลังจาก ‘ออกโลง’ ยังมีเศษดินกระเด็นมิน้อย ในยามที่ตนหลบหลังเสายังต้องเอาตัวถูไปมา นี่จึงนับเป็โอกาสอันดีที่จะอาบน้ำให้สาแก่ใจสักครา
โม่จ้านยันกายขึ้น ค่อยๆ ก้าวเดินลงในสายน้ำ ก่อนเริ่มขัดถูร่างกายและ ‘ทำความรู้จัก’ ตนเองใหม่อีกครั้ง
เขาโค้งงอกับดวงตาสีแดงเข้มบ่งบอกถึงสถานะของเผ่าปีศาจ ร่างกายกระชับมิมีเนื้อส่วนเกินแม้แต่น้อย กล้ามหน้าอกหนาและกล้ามหน้าท้องทั้งแปดก้อนแข็งแกร่งสวยงาม เรียกได้ว่ามีทุกอย่างที่ควรจะมี ทั้งไหล่กว้าง เอวสอบและต้นขาเรียวยาว หากมิมีรอยสักสีดำขนาดใหญ่บนหน้าอกที่คล้ายกับสัญลักษณ์ประจำเผ่า ด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้หากคิดจะไปเป็นายแบบก็มิเป็อุปสรรคแต่อย่างใด
ติดที่ความสูง...เฮ้อ ดูจะน้อยไปสักหน่อย? ช่างเถอะ ปีศาจผู้นี้ยังอายุน้อย ยังจะสูงได้อีก
โม่จ้านลูบเส้นกล้ามหน้าท้องที่เด่นชัดด้วยความรู้สึกซับซ้อน เมื่อชาติก่อนตนพยายามฝึกฝนร่างกายสุดชีวิตยังมีกล้ามหน้าท้องเพียงแค่หกก้อน ในที่นี้คงมีเพียงิญญาเท่านั้นที่รู้ว่าร่างกายนี้นอนอยู่ในโลงนานเท่าใดทว่ากลับยังมีร่างกายที่ได้สัดส่วนเช่นนี้ เกรงว่าคงมีเพียงคำว่า์ประทานมาเท่านั้นจึงจะสามารถอธิบายได้อย่างเหมาะสม
‘จ๊อกๆ—’
ความปั่นป่วนในกระเพาะทำให้โม่จ้านได้สติกลับมา เขารีบบิผลสาเกออกเป็สี่ชิ้นแล้วจึงเริ่มก่อไฟย่าง
เชิงอรรถ
[1] เสือเลี่ยเป้า 猎豹 คือเสือชีต้าห์