เฟิงเจวี๋ยหร่านลุกขึ้นจากที่นั่ง อาภรณ์ไหมสีม่วงปักดิ้นทองเป็ประกายระยิบระยับ หันไปยิ้มกล่าวกับขันทีสองประโยคก่อนจะหมุนกายแล้วสาวเท้าก้าวใหญ่ไปอีกทางหนึ่ง แต่ขันทีสองคนกลับถอยไปอีกทาง ซึ่งหากมองให้ดีๆ ก็คือทางเดียวกับที่โม่เสวี่ยิ่เดินไปก่อนหน้านี้
วันนี้โม่เสวี่ยิ่ได้ยืนมองฉู่อ๋องผู้งามสง่าอย่างใกล้ชิดเป็ครั้งแรก
ดวงตาดำขลับวับวาวเผยแววยิ้มบางๆ ให้ความรู้สึกราวกับสายลมวสันต์โชยมา ดูเป็คนเข้าถึงง่าย เมื่อครู่โม่เสวี่ยิ่รู้สึกได้ว่าฉู่อ๋องมองตนเองแตกต่างจากผู้อื่น ดวงตาคมหล่อเหลาคู่นั้นกวาดมองผ่านกระถางดอกไม้ที่วางอยู่บนระแนงที่กั้นอยู่บ่อยครั้ง แม้จะดูเหมือนมิได้ตั้งใจ แต่สายตาก็ทิ้งอยู่ที่ตัวนางเป็เวลานาน
สิ่งนี้ทำให้โม่เสวี่ยิ่รู้สึกปลื้มปีติอย่างยิ่ง ใบหน้าร้อนวูบวาบหัวใจเต้นระรัว ผู้ที่นั่งอยู่ที่นั่นก็มีเพียงนางที่เป็หญิงงามโดดเด่น ฉู่อ๋องพึงใจตนเอง คนผู้นั้นมิได้โกหกนางแน่ เมื่อได้รับรู้เื่นี้แล้วนางก็นั่งแทบไม่ติด ั้แ่หลังจากที่โม่เสวี่ยถงลุกไปจากตรงนั้น ยิ่งรู้สึกว่าสายตาของฉู่อ๋องเฟิงเจวี๋ยเสวียนคล้ายมีวาจานับหมื่นพัน้าพูดคุยกับตนเอง
ยามนี้ไม่รู้ว่านางเอาโหยวเยวี่ยเฉิงไปทิ้งไว้ไหนแล้ว ิกั๋วกงหรือจะสูงส่งเทียมฉู่อ๋องได้
วาสนาช่างมาเร็วและยิ่งใหญ่นัก บัดนี้แม้กระทั่งแผนการเล่นงานโม่เสวี่ยถงนางก็ไม่สนใจแล้ว รีบพาโม่จิ่นเดินไปทางศาลาอย่างเร่งร้อน ฉู่อ๋องเฟิงเจวี๋ยเสวียนมีขันทีน้อยติดตามเพียงคนเดียว ข้างกายไม่มีใครอื่น นี่เป็โอกาสดีที่หาได้ยากยิ่ง โม่เสวี่ยิ่จะปล่อยไปได้อย่างไร
นางมั่นใจในรูปโฉมของตนเองตลอดมา ั้แ่มาอยู่เมืองหลวงได้ปีกว่า รูปโฉมของนางจัดว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของเหล่าคุณหนูตระกูลผู้ดีทั้งหลาย
จนใจที่สถานะต้อยต่ำ อย่าว่าแต่เป็เพียงบุตรอนุเลย ต่อให้นางเป็ธิดาภรรยาเอก ก็เป็เพียงธิดาภรรยาเอกของขุนนางขั้นห้าเท่านั้น สถานะแตกต่างราวฟ้ากับดิน ถึงมีโอกาสได้พบเหล่าองค์ชายสองสามพระองค์ แม้อยากเข้าไปทำความรู้จักก็ไม่มีทางทำได้ ในบรรดาคุณชายตระกูลสูงก็มีเพียงโหยวเยวี่ยเฉิงที่หน้าตาหล่อเหลาและฐานะสูงส่ง ทั้งดูเหมือนจะมีใจให้นางอยู่ ดังนั้นโม่เสวี่ยิ่จึงหมายตาเขาไว้
แต่แน่นอนว่าเฟิงเจวี๋ยเสวียนมิใช่คนที่ควรจะนำิกั๋วกงยกขึ้นมาเปรียบ ซือหม่าหลิงอวิ๋นยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง เทียบไม่ได้แม้แต่ฉลองพระบาทของฉู่อ๋องด้วยซ้ำ
เมื่อเดินมาถึงประตูโค้งวงพระจันทร์ โม่จิ่นเกิดตื่นเต้นขึ้นมา หันศีรษะไปมอง ดึงโม่เสวี่ยิ่ไว้แล้วถามอย่างไม่ค่อยสบายใจ
“คุณหนู ข้างหน้าก็ถึงแล้วเ้าค่ะ พวกเราจะเข้าไปกันจริงๆ หรือ”
“กลัวอะไร ไปเถอะ” โม่เสวี่ยิ่ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
เมื่อถูกโม่เสวี่ยิ่หันมาดุด้วยสายตา โม่จิ่นก็ใจนตัวสั่นไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดอีก รีบก้มหน้าก้มตาก้าวเข้าไปอย่างเร่งรีบเพื่อหลบเร้นจากสายตาเย็นเยียบของคุณหนูใหญ่
เมื่อพ้นประตูเข้าไปแล้ว ที่ใต้ต้นกุ้ยฮวาซึ่งอยู่ไม่ไกล มีชายหนุ่มสวมอาภรณ์ตัวยาวสีน้ำเงินเข้มปักลายันั่งคอพับเอามือเท้าศีรษะอยู่ตรงนั้น ดูเหมือนว่าจะดื่มมาหนัก แขนเสื้อปิดใบหน้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ท่าทางเหมือนกำลังงีบหลับ เมื่อมองไปจากด้านนี้เห็นได้ชัดเจนว่าเป็ฉู่อ๋องเฟิงเจวี๋ยเสวียน ขันทีน้อยที่เฝ้าอยู่ข้างกายก็ไม่รู้ว่าวิ่งไปไหนแล้ว มีเพียงเขานั่งสัปหงกอยู่ตรงนั้นผู้เดียว
โอกาสอยู่ตรงหน้าแล้ว... หัวใจของโม่เสวี่ยิ่เต้นดังโครมครามอยู่ในอก
“เอ๊ะ... สตรีที่ผู้ตรงนั้นใช่คุณหนูใหญ่บ้านเ้าหรือเปล่า คุณหนูสามโม่ ดูท่าคงจะเจอคนที่ถูกใจเข้าแล้วสินะ เช่นนั้นก็ดี จะได้ขอให้ฮองเฮาพระราชทานสมรสให้เสียเลย”
คุณหนูสองสามคนเดินห้อมล้อมพาโม่เสวี่ยถงผ่านประตูโค้งวงพระจันทร์มา ก็เห็นเงาร่างของโม่เสวี่ยิ่อยู่กับบุรุษในชุดอาภรณ์ไหมหรูหราในศาลา จึงกล่าวเสียดสีอย่างไม่เกรงใจ
บุตรอนุภรรยาคนหนึ่งจะอาศัยสิ่งใดไปขอสมรสพระราชทานจากฮองเฮา
โม่เสวี่ยิ่ทะนงตนมาั้แ่ไหนแต่ไร มั่นใจว่าตนเองมีรูปโฉมงดงาม ความสามารถสูงส่ง จะต้องแต่งเข้าตระกูลสูงส่งเท่านั้น จึงชอบประจบประแจงเอาอกเอาใจคุณหนูจากตระกูลที่มีอำนาจบารมีสูงส่งเ่าั้ แต่กลับไม่สนใจเหล่าคุณหนูที่มีชาติตระกูลพอๆ กับตนเอง วันนี้ตำแหน่งที่นั่งย่อมกำหนดตามศักดิ์ฐานะของบิดา โม่เสวี่ยิ่เป็บุตรสาวของโม่ฮว่าเหวินที่มีตำแหน่งขั้นขุนนางไม่สูงมากนัก ปรกติพวกนางก็เห็นโม่เสวี่ยิ่ก็รู้สึกขัดลูกหูลูกตาอยู่แล้ว ตอนนี้มีโอกาสย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไป
“สกุลโม่ช่างอบรมสั่งสอนได้ดีเหลือเกิน เป็สาวเป็นางกลับนัดพบปะบุรุษเป็การส่วนตัว ยังดีที่งานเลี้ยงชมบุปผานี้ฮองเฮาเป็ผู้จัด หากเป็งานที่จัดข้างนอกล่ะก็...”
“บุตรสาวอนุภรรยาก็เป็อย่างนี้เอง ไม่รู้จักเจียมตัว คิดหรือว่าฮองเฮาจะทรงยอมจับคู่ให้” สตรีที่อยู่ด้านขวามือกล่าวประชดประชัน คนอื่นๆ ต่างก็พากันร้องรับเห็นด้วยเป็ทิวแถว
แม้ว่าฮองเฮาจะตรัสว่าขอเพียงทั้งสองฝ่ายมีใจให้กันก็จะพระราชทานสมรสให้ แต่การจับคู่ก่อนหน้านี้ล้วนแล้วแต่เป็ธิดาภรรยาเอก แขกที่ได้รับเชิญมางานเลี้ยงชมบุปผาก็เป็บุตรธิดาภรรยาเอกทั้งสิ้น การที่โม่เสวี่ยิ่มาปรากฏตัวในงานถือเป็การแหกกฎอยู่แล้ว หรือยังคิดจะเผยตัวออกไปให้ใครๆ รู้ว่าฮองเฮาก็ไม่ทรงเคร่งครัดในกฎระเบียบ
นี่เป็เสมือนการวิ่งออกไปตบพระพักตร์ของฮองเฮาเชียวนะ!
เมื่อคิดได้ถึงจุดนี้ เหล่าคุณหนูสองสามคนนั้นก็ยิ่งกระหยิ่มใจที่จะได้เห็นหายนะของผู้อื่น การถากถาง เยาะหยัน จิกกัด เสียดสี พวกนางมีครบเตรียมรอไว้แล้ว...
เื่นี้หากเป็เื่ขึ้นมาก็จะพาเสียหน้าไปทั้งสกุลโม่ ไม่ว่าจะเป็คุณหนูใหญ่ คุณหนูสามหรือธิดาคนอื่นๆ ของจวนโม่ ชื่อเสียงต่อจากนี้ก็นับว่าถูกทำลายแล้ว แม้ว่าคุณหนูสามโม่จะยังไม่เปิดเผยตัวตนทั้งหมด แต่ก็มีใบหน้างดงามล้ำเลิศ ยิ่งคิดถึงใบหน้าสะสวยของคุณหนูใหญ่โม่ พวกนางก็ยิ่งอิจฉาริษยาจนแทบลุกเป็ไฟ แล้วจะพลาดโอกาสทุ่มหินลงบ่อแบบนี้ไปได้อย่างไร
“นั่นก็ไม่แน่หรอก ได้ยินมาว่าอี๋เหนียงผู้เป็มารดาของคุณหนูใหญ่ใกล้จะได้เลื่อนฐานะขึ้นมาเป็ภรรยาเอกแล้วนี่ ถึงเวลาคุณหนูใหญ่ก็จะกลายเป็บุตรสาวภรรยาเอกคนโตไปเองแหละ”
“ถึงเวลา? ถึงเวลาอะไร? ได้ยินมาว่าอีกหนึ่งปี คุณหนูใหญ่จึงจะออกจากการไว้ทุกข์ได้มิใช่หรือ ถึงตอนนั้นนางก็อายุสิบเจ็ดกลายเป็สาวเทื้อไปแล้ว เื่การออกเรือนคงไม่อาจรอให้ถึงเวลานั้นได้หรอกกระมัง”
“ไม่เห็นจะเป็อันใด ขอเพียงแค่คนเขายินยอมพร้อมใจก็พอแล้ว หากบุรุษผู้นั้นรอได้ ก็ยิ่งสมใจคุณหนูใหญ่ไม่ใช่หรือไร ทั้งสองฝ่ายต่างพึงใจกันและกัน รออีกหนึ่งปีหรือสองปีก็คงไม่เป็ไรกระมัง คอยดูไปสิ...”
โม่เสวี่ยถงซึ่งถูกเหล่าคุณหนูดึงตัวมาด้วย พอได้ยินถ้อยคำเสียดสีของพวกนางลอยมาเข้าหู ความสนใจจึงเลื่อนไปที่ด้านข้างของโม่เสวี่ยิ่ ดวงตานิ่งลึกจ้องมองคนทั้งสองคนที่อยู่ในศาลา
ท่าทางของทั้งสองคนขณะนี้ชวนให้ผู้อื่นแคลงใจอย่างยิ่ง มองไปจากตรงนี้ เห็นโม่เสวี่ยิ่คออ่อนพับนั่งพิงร่างอยู่ข้างต้นเสา บุรุษผู้นั้นยืนอยู่ด้านข้างโน้มตัวลงมาเล็กน้อย ดูเหมือนอยากจะมองนางให้ชัดเจน มือหนึ่งไพล่อยู่ด้านหลัง อีกมือหนึ่งกลับยื่นไปด้านหน้า
เมื่อมองจากมุมนี้ดูเหมือนจะใกล้ชิดกันอย่างยิ่ง
แต่พอพวกนางย่างเท้าเข้าไปใกล้ ท่าทางที่ดูใกล้ชิดสนิทสนมก็พลันเปลี่ยนไป
เหล่าคุณหนูสองสามคนที่กำลังพูดจ้อถากถางผู้อื่นอย่างคะนองปาก เมื่อสังเกตเห็นบางอย่างที่ไม่ควรจะเป็ ก็พากันปิดปากสีหน้าตื่นตะลึง ชุดหรูหราปักลายัมิใช่อาภรณ์ที่ใครๆ ก็มีคุณสมบัติสวมใส่ได้ เหล่าองค์ชายสองสามพระองค์ที่อยู่ในงานเลี้ยงคือเป้าหมายสายตาของคุณหนูทุกคนที่มาร่วมงาน ผู้ที่อยู่ในตระกูลทรงอำนาจอย่างแท้จริงย่อมทราบดีกว่างานเลี้ยงที่จัดขึ้นในครานี้แตกต่างจากครั้งก่อนๆ
ได้ยินว่าอีกประเดี๋ยวจะมีงานเลี้ยงต่อใน่ค่ำ แต่มิใช่ว่าคุณหนูทุกคนจะเข้าร่วมได้ ถึงเวลาฮองเฮาจะส่งเทียบเชิญมาเอง มีเพียงคุณหนูที่องค์ชายหมายตาเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ต่อได้ ได้ยินมาว่าเป้าหมายสำคัญในงานเลี้ยงชมบุปผาในครั้งนี้คือการคัดเลือกชายาเอก ชายารองที่เหมาะสมให้กับเหล่าองค์ชาย เื่ใหญ่แบบนี้จะไม่ให้คุณหนูผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายจับตามององค์ชายทั้งสามพระองค์อย่างหมายมั่นได้อย่างไร
อาภรณ์แบบนี้ เงาร่างแบบนี้ รูปร่างผึ่งผายสง่างามแบบนี้คือฉู่อ๋อง เฟิงเจวี๋ยเสวียนชัดๆ
ที่แท้โม่เสวี่ยิ่คิดจะจับฉู่อ๋อง?
ทันใดนั้นสายตาฉายแววริษยาทุกคู่ยิ่งเพิ่มความจงเกลียดจงชังอีกหลายส่วน จนอยากจะเข้าไปฉีกร่างโม่เสวี่ยิ่ให้แหลกเป็ชิ้นๆ เสียเดี๋ยวนั้น คิดไม่ถึงว่าบุตรอนุภรรยาเล็กๆ คนหนึ่งจะมาคว้าฉู่อ๋องไปจริงๆ นี่เป็การตบหน้าคุณหนูบุตรภรรยาเอกทั้งหมดอย่างจัง
“วานคุณหนูทุกท่านช่วยมาดูหน่อยเถิด ว่านี่คือคุณหนูของสกุลไหน เดินมาเป็ลมอยู่ที่นี่” เฟิงเจวี๋ยเสวียนได้ยินเสียงคนคุยกันจึงหยัดกายขึ้น หมุนตัวมาเอ่ยถามเหล่าคุณหนูที่เดินผ่านมาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
เมื่อเห็นว่าผู้อยู่เบื้องหน้าคือฉู่อ๋อง โม่เสวี่ยถงก็ถูกพวกนางเบียดไปอยู่ด้านหลัง
“ผู้น้อยถวายบังคมฉู่อ๋อง”
“หม่อมฉันถวายบังคมฉู่อ๋อง”
“ข้าบาทถวายบังคมฉู่อ๋อง”
…
ทุกคนต่างถวายบังคมต่อเฟิงเจวี๋ยเสวียนพร้อมกัน มีคุณหนูคนหนึ่งที่ใจกล้าหน่อยเดินเข้าไปมองโม่เสวี่ยิ่ที่เป็ลมอยู่ที่นั่น แล้วแสร้งร้องขึ้นอย่างตระหนกเหมือนเพิ่งรู้เื่เดี๋ยวนี้ “นี่คือคุณหนูใหญ่ที่เกิดแต่อนุภรรยามิใช่หรือ ไฉนจึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ” น้ำเสียงเน้นคำว่า 'เกิดแต่อนุภรรยา' อย่างหนักแน่น
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ก็ทำท่าเหมือนพลั้งเอ่ยสิ่งใดผิดไป ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาบดบังริมฝีปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเก้อเขิน
นี่คือาแใหญ่ของโม่เสวี่ยิ่ นางที่กำลังแสร้งเป็ลมอยู่แค้นใจยิ่งบดกรามจนแทบป่น แต่ตอนนี้ยังไม่อาจขยับตัวได้ แม้แต่โม่จิ่นนางก็ขับไล่ไปแล้ว เป้าหมายเพื่อสร้างสถานการณ์หญิงชายอยู่ด้วยกันเพียงลำพังกับฉู่อ๋อง ข่าวนี้หากแพร่งพรายออกไป ต่อให้ไม่อาจเป็ชายาเอก อย่างน้อยตำแหน่งชายารองก็คงไม่หลุดมือ ด้วยความสามารถของตนเองแล้ว ขอเพียงเข้าสู่จวนอ๋องได้ แม้จะมีชายาเอกแล้วอย่างไร ดังนั้นนางต้องอดทน ผู้ที่เอ่ยถ้อยคำนี้คือคุณหนูรองสกุลเหยียน นางได้ยินชัดเจน...
“มองผิดไปหรือเปล่า คุณหนูบุตรอนุภรรยาของขุนนางขั้นห้าคนหนึ่งจะมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร”
“ไม่ผิดแน่ ไม่เชื่อพวกเ้าก็มาดูเองสิ”
คุณหนูเ่าั้ไม่ละความพยายามที่จะเหยียบย่ำโม่เสวี่ยิ่สุดกำลัง
โม่เสวี่ยิ่คิดเกาะขึ้นเรือฉู่อ๋องปีนป่ายสู่ที่สูง โม่เสวี่ยถงย่อมรู้แจ้งชัด ยิ้มเยาะอยู่ในใจ ทุกคนต่างเล่นละครเก่งกันทั้งนั้น
ข้าก็เล่นเป็!
นางยกมือผลักทุกคนที่ขวางหน้าอยู่ออกไป แล้วรีบเดินขึ้นหน้าไปอย่างรีบร้อน ไม่เอ่ยวาจาใดๆ กับเฟิงเจวี๋ยเสวียนที่ยืนอยู่ตรงนั้นแม้แต่คำเดียว ตรงเข้าไปคุกเข่าลงข้างโม่เสวี่ยิ่ที่ล้มพับอยู่แล้วจับมือของนางไว้ “พี่หญิงใหญ่ เป็อย่างไรบ้างเ้าคะ” อารามร้อนใจ น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาจึงสั่นเครือ
“เป็พี่สาวคนโตของบ้านเ้าเองหรือ เป็แค่บุตรสาวอนุภรรยาไฉนมาอยู่ที่นี่ได้”
“สกุลโม่ช่างหน้าใหญ่เหลือเกิน นี่คืองานเลี้ยงชมบุปผานะ ผู้มาล้วนมีแต่ธิดาภรรยาเอก...”
“ถึงขั้นมารบกวนฉู่อ๋อง ช่างไม่สมควรจริงๆ”
เดิมทีพวกนางก็คิดจะมาทุ่มหินลงบ่ออยู่แล้ว แม้ว่ายามนี้สถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปจากที่คาดไว้ กลับไม่ยอมละทิ้งโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณหนูสองคนที่เห็นฉู่อ๋องมองโม่เสวี่ยถงอย่างลืมตัว ก็ยิ่งไม่ไว้หน้า ขณะที่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มมองนางอยู่ แต่คำพูดกลับมิได้ลดราแม้แต่น้อย
“ก็นั่นน่ะสิ ไม่รู้ว่าสกุลโม่อบรมมาอย่างไร กิริยาชม้ายชายตาให้บุรุษ ไม่ควรจะยกขึ้นมาออกหน้าออกตาเช่นนี้จริงๆ”
“ไม่รู้ว่าขึ้นชื่อว่าเป็สกุลที่มีคุณธรรมดีงามได้อย่างไร เห็นคุณหนูใหญ่โม่ขลุกอยู่กับเหล่าคุณชายผู้สูงศักดิ์ทั้งวัน ไม่รู้จักรักนวลสงวนตัว คุณหนูสามโม่ชื่อเสียงก็ไม่ดีงาม เข้าเมืองมาถึงก็วางท่าใหญ่โต หยาบคายไร้มารยาท ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน การอบรมเลี้ยงดูบุตรธิดาของสกุลโม่ล้วนเสื่อมทรามทั้งสิ้น”
“มาจากที่คับแคบ พอเห็นโลกกว้างเข้าหน่อยก็เป็อย่างนี้เอง ไม่แปลกหรอก”
ยิ่งพูดก็ยิ่งเลอะเทอะเกินกว่าจะเชื่อได้ ทุกถ้อยคำล้วนมีเป้าหมายเหยียบย่ำชื่อเสียงธิดาสกุลโม่ให้จมดิน
“คุณหนูทุกท่านโปรดใช้วาจาสุภาพด้วย สกุลโม่เราไม่เคยมีเื่บาดหมางกับพวกคุณหนู พี่หญิงใหญ่ก็มาเป็ลมอยู่ที่นี่ไม่รู้เื่ราว ข้าไม่มีแก่ใจจะมาโต้เถียงด้วย ขอเชิญทุกท่านขยับถอยออกไป อย่ามายืนห้อมล้อมอยู่แบบนี้ พี่สาวข้าจะได้หายใจสะดวกขึ้นหน่อย”
โม่เสวี่ยถงเงยหน้าขึ้น ใบหน้าพริ้มเพราดูอ่อนแอน่าสงสาร ดวงตาที่ทอประกายสดใสดั่งถูกคลุมด้วยไอหมอก หยาดน้ำที่ปริ่มมาคลอเบ้าร่วงเผาะลงมา หมอกม่านหม่นมัวฟุ้งกระจายอยู่บนวงพักตร์เพริศพริ้ง เห็นได้ชัดว่าถูกข่มเหงรังแก แต่กลับเห็นแก่ส่วนรวมมองภาพใหญ่จึงไม่คิดโต้แย้ง
ดวงตากวาดมองไปที่เฟิงเจวี๋ยเสวียนที่ยืนจ้องนางเขม็งอยู่ตลอดั้แ่มาถึง แม้ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเขาจึงมีสีหน้าเหมือนตื่นตะลึงระคนยินดี แต่ในเวลานี้นางรู้ว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่จะช่วยคลี่คลายปัญหาเฉพาะหน้าให้นางได้
โม่เสวี่ยิ่มาแสร้งเป็ลมที่นี่ก็เพื่อฉู่อ๋องไม่ผิดแน่...
โม่เสวี่ยิ่เป็พวกกระหายในอำนาจ แต่ความรักที่มีต่อครอบครัวเบาบางยิ่ง นางคิดแต่จะใช้สิ่งที่เกิดขึ้นผูกมัดฉู่อ๋อง แต่กลับไม่คิดว่าหากเื่ที่นางอยู่กับฉู่อ๋องสองต่อสองถูกจับพิรุธได้ขึ้นมาจริงๆ ชื่อเสียงของธิดาสกุลโม่ทั้งหมดก็จะถูกทำลายไปพร้อมกับการกระทำที่ผิดจรรยาของนางในวันนี้ แม้แต่บิดาก็จะถูกโยงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย