ทางเดินในอุทยานบุปผาเงียบสงบ นางกำนัลสองคนติดตามอยู่ห่างๆ ด้านหลัง มีเพียงโม่เสวี่ยถงที่เดินตามองค์หญิงอย่างใกล้ชิด เสียงใบไม้แห้งกรอบแห่งสารทฤดูใต้ฝ่าเท้าที่ย่ำลงไปแต่ละก้าวเหมือนเหยียบลงไปในหัวใจ ท่ามกลางเสียงใบไม้ดังกรอบแกรบพลันเกิดเป็ความอ้างว้างเดียวดายอย่างน่าประหลาด องค์หญิงมิได้เอ่ยถ้อยคำใด เพียงแค่ย่างเท้าไปอย่างช้าๆ เท่านั้น
อุทยานบุปผาหลวงยังคงงดงามตระการตาด้วยมวลบุปผาบานสะพรั่ง มิได้ถูกแต้มระบายด้วยกลิ่นอายความอ้างว้างแห่งปลายสารทฤดู แต่ก็น่าประหลาดที่โม่เสวี่ยถงััได้ถึงความโศกาอาดูรที่แผ่ออกมาจากพระวรกายขององค์หญิง ทั้งที่ยังทรงเป็สาวรุ่นแต่กลับให้ความรู้สึกคล้ายไม้ใกล้ฝั่ง เป็ความแปลกที่ไม่อาจหาถ้อยคำมาบรรยาย แต่กลับรู้สึกได้อย่างลึกซึ้ง
มวลบุปผาและพฤกษานานาพรรณไม่อาจกลบความอ้างว่างที่อยู่ภายใต้ก้นบึ้งดวงตา อำนาจกดดันที่แสดงออกมาเมื่อครู่ไม่มีหลงเหลืออยู่เลย
“ต้นไม้ต้นนี้ข้ากับมารดาของเ้าช่วยกันปลูกมันขึ้นมา ตอนนั้นมารดาของเ้ายังกล่าวว่า อีกยี่สิบปีให้หลัง หากมีวาสนา นางจะพาลูกของตนเอาดินมาเสริมให้ต้นไม้ต้นนี้” องค์หญิงยืนนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ต้นไม้ต้นนี้คือต้นเฟิงที่เห็นได้ทั่วไป ไม่สูงใหญ่มาก โม่เสวี่ยถงขอบตาร้อนผ่าว มองไปที่โคนต้นซึ่งเพิ่งถมดินมาใหม่ๆ ไม่มีวัชพืชแม้แต่ต้นเดียว เห็นได้ชัดว่าได้รับการดูแลเอาใส่ใจอย่างดียิ่ง
“ท่านแม่เคยเอ่ยถึงองค์หญิงกับหม่อมฉัน ว่าองค์หญิงทรงปราดเปรียว สดใสมีชีวิตชีวา...” โม่เสวี่ยถงรับสมอ้าง แท้จริงแล้วมารดาของนางไม่เคยเอ่ยถึงองค์หญิงพระขนิษฐาผู้นี้ หากมิใช่องค์หญิงเล่าขึ้นมาก่อน นางก็ยังไม่ทราบว่ามารดากับองค์หญิงเคยมีความหลังด้วยกันมาเช่นนี้
แต่ในชาติภพก่อนจนกระทั่งตายไป นางก็ไม่เคยได้พบกับองค์หญิงจริงๆ
องค์หญิงไม่ได้ติดใจถามเื่เดิมต่อ ดวงตาเหม่อมองต้นเฟิงที่อยู่เบื้องหน้า แล้วเอ่ยถามเรียบๆ “มารดาของเ้าจากไปได้อย่างไร”
“ท่านแม่ล้มป่วยเสียชีวิตเพคะ สุขภาพของนางไม่แข็งแรงมาโดยตลอด เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ในที่สุดก็หมดทางเยียวยา...” โม่เสวี่ยถงขอบตาแดง ขบริมฝีปากพยายามข่มความโศกเศร้าที่ปรากฏขึ้นในเบื้องลึกของดวงตา
ยามนั้นเห็นนางยังดีๆ อยู่ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงมีสีหน้าขาวซีดดูอิดโรยเยี่ยงนั้น ตนเองยังเคยกระเซ้าลั่วเสียให้พาออกไปเที่ยวบ้าง ยามนี้เมื่อมานึกถึงก็อยู่กันคนละภพเสียแล้ว
“แม้ว่ามารดาของเ้าจะสิ้นแล้ว แต่อย่างน้อยบิดาของเ้าก็ยังคิดถึงนางอยู่ ชีวิตนี้... แม้ว่าจะสั้นแต่ก็ไม่ถึงกับโดดเดี่ยวมากนัก” องค์หญิงยังคงมองไปที่ต้นไม้ มิได้หันศีรษะกลับมา แต่โม่เสวี่ยถงก็ยังคงััถึงประกายวูบไหวที่หางตาของนางได้
ท่านแม่กับองค์หญิงสนิทสนมคุ้นเคยกันจริงๆ หรือ ไฉนเมื่อชาติภพก่อนจึงไม่เคยมีใครพูดถึงเื่นี้กับนางเลย?
“บิดาของเ้าเฝ้ามารดาของเ้าอยู่สามปี นี่เป็เื่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในแผ่นดินต้าฉิน แม้ว่ามารดาของเ้า... แต่ก็นับว่านางได้คู่ครองที่ดี ถือเป็การชดเชยอย่างหนึ่งแล้ว” องค์หญิงกล่าวเสียงแ่เบา น้ำเสียงที่ลดลงต่ำทำให้โม่เสวี่ยถงไม่แน่ใจว่าองค์หญิงกำลังพูดกับนางหรือรำพึงกับตัวเองกันแน่
“ตอนนั้นท่านพ่ออยู่ที่เรือนของอนุฟาง มิได้เฝ้าอยู่ข้างกายท่านแม่เพคะ” โม่เสวี่ยถงพลั้งปากออกไปอย่างลืมตัว
“อะไรนะ” ร่างขององค์หญิงชะงัก เอี้ยวศีรษะหันกลับมาทันที มือข้างหนึ่งจับโม่เสวี่ยถงไว้ แววตาเย็นเยียบในฉับพลัน “บิดาของเ้ามิได้เฝ้าอยู่ข้างกายภรรยา แต่กลับไปขลุกอยู่กับอนุงั้นหรือ”
ใบหน้าสงบราบเรียบจนแทบจะอยู่เหนืออารมณ์พลันแปรเปลี่ยน ความโกรธเกรี้ยวประทุออกมา ยามนี้นางจึงััได้ถึงความหนักอึ้งในหัวใจของโม่เสวี่ยถง
แววตาของโม่เสวี่ยถงอ้างว้าง ขนตายาวกะพริบถี่ซ่อนความเศร้าสลดไว้ใต้ก้นบึ้งดวงตา นี่คือปมในใจนางตลอดมา นางไม่เคยกล่าวกับผู้ใดแม้แต่กับแม่นมสวี่ก็ไม่เคยสังเกตเห็น แต่วันนี้กลับบอกเล่าให้ผู้ที่พบกันครั้งแรกเช่นองค์หญิงพระขนิษฐา ยามนี้จึงพยักหน้าตอบรับไปตามหัวใจรู้สึก “เพคะ”
“องค์หญิง!” เมื่อเห็นแววตาขององค์หญิงดำทะมึนและแข็งกร้าว ไป๋หลิงนางกำนัลประจำกายก็ร้องเรียกอย่างร้อนใจ
เสียงนี้ดูเหมือนจะทำให้องค์หญิงรู้สึกพระองค์ มือที่คว้าแขนของโม่เสวี่ยถงเอาไว้ค่อยๆ คลายลง หมุนตัวกลับไปช้าๆ มองไปยังต้นเฟิงต้นนั้นอีกครั้ง สายลมโชยพลิ้วจนอาภรณ์ไหวปลิว แต่กลับรู้สึกได้ว่านางกำลังพยายามข่มกลั้นโทสะภายใน
“ยามนี้ฮองเฮาคงได้พบกับทุกคนแล้ว เ้าก็กลับไปได้แล้วล่ะ ไป๋หลิงให้คนพาคุณหนูสามโม่กลับไป” ทันใดนั้นนางก็ออกคำสั่งเสียงเย็น
“เพคะ” นางกำนัลไป๋หลิงรับบัญชาเสียงเบา นางกำนัลน้อยที่อยู่ด้านหลังคนหนึ่งก้าวเข้ามา โม่เสวี่ยถงหันไปหาองค์หญิง ยอบกายทูลลาแล้วหมุนตัวเดินตามนางกำนัลผู้นั้นไป เดินมาได้่หนึ่งก็เหลียวมองกลับไป องค์หญิงยังคงยืนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นเดิมไม่ขยับ
ขณะที่โม่เสวี่ยถงกลับไปที่งานเลี้ยง เหล่าคุณหนูที่ฮองเฮาเรียกไปเข้าเฝ้าก็เพิ่งกลับมาถึงและกลับเข้าไปนั่งในที่ของตนเอง โม่เสวี่ยิ่แสร้งถามด้วยความห่วงใย “น้องสาม ฮองเฮาเรียกไปเข้าเฝ้ามีเื่อันใดหรือ ตอนที่เ้าเข้าไป ข้าอยู่ที่นี่ก็นึกกังวลอยู่ตลอด”
“เกรงว่าพี่หญิงคงต้องผิดหวังแล้ว ข้ามิได้ไปเข้าเฝ้าฮองเฮา แต่ได้เข้าเฝ้าองค์หญิงพระขนิษฐาแทน” โม่เสวี่ยถงเอ่ยวาจาแฝงนัยประชดประชัน
“เ้าไม่ไปเข้าเฝ้าฮองเฮาได้อย่างไร!” โม่เสวี่ยิ่ใจนเกือบจะลุกขึ้นยืน ใบหน้าหุบยิ้มลงทันที โอกาสดีงามถูกโม่เสวี่ยถงเหยียบย่ำจนจมมิด หากพลาดไปก็ไม่มีอีก แล้วนางจะยิ้มออกได้อย่างไร
“ไฉนพี่หญิงจึงดูประหลาดใจเช่นนี้ หรือแม้แต่เื่ภายในวังหลวงพี่หญิงก็อยากเข้าไปเ้ากี้เ้าการ จะเข้าเฝ้าฮองเฮาหรือพระขนิษฐา ล้วนไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะจัดการเองได้”
โม่เสวี่ยิ่ถูกตอกกลับจนพูดไม่ออก
ความหมายบ่งชัดว่าทราบเื่ราวภายใน แต่โม่เสวี่ยิ่รู้เื่ของฮองเฮาในวังหลวงได้อย่างไร ต่อให้เป็บุตรภรรยาเอกก็ยังยาก ดังนั้นไม่ต้องเอ่ยถึงบุตรอนุภรรยา แล้วนางรู้ข่าวสารภายในวังหลวงได้อย่างไร อีกทั้งยังสามารถเข้าวังได้โดยไม่มีเทียบเชิญ โม่เสวี่ยถงเกิดความระแวงขึ้นในใจสายหนึ่ง
โม่เสวี่ยิ่มีการติดต่อกับคนบางกลุ่มในวังหลวง ความคิดนี้ทำให้นางสะท้านเยือกไปถึงหัวใจ คนผู้นี้จะต้องมีอำนาจอย่างแท้จริง มิเช่นนั้นโม่เสวี่ยิ่ไม่มีทางเข้าวังมาได้อย่างง่ายดายเพียงนี้
“ไฉนจึงกล่าวเช่นนี้เล่า ข้าก็แค่เป็ห่วง...” เสียงชะงักไป โม่เสวี่ยิ่เพิ่งจะสงบจิตใจได้ กล่าวด้วยสีหน้าไม่ดีนัก “หากน้องสามรู้สึกว่าพี่สาวจุ้นจ้าน ต่อไปข้าจะไม่ถามอีก จะได้ไม่ทำให้เ้าขุ่นเคืองใจและคิดว่าข้ามีแผนร้ายอะไรอีก”
“ข้าจะไปกล้ามีปัญหากับพี่หญิงได้อย่างไร พี่หญิงเ้ากี้เ้าการกับข้า ข้าย่อมไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว แต่ในวังหลวงแห่งนี้ไม่ว่าใครก็มีฐานะสูงกว่าพวกเราทั้งสิ้น หากพี่หญิงไปล่วงเกินใครเข้า ไม่แน่ว่าแม้แต่จวนโม่ทั้งจวนก็พลอยลำบากไปด้วย ดังนั้นเกี่ยวข้องให้น้อยเข้าไว้จะดีกว่า ยิ่งเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากก็ยิ่งจะชักนำหายนะมาให้” โม่เสวี่ยถงกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แม้ว่าคุณหนูสองสามคนด้านข้างจะไม่ได้ยินว่าพวกนางคุยอะไรกัน แต่กลับเห็นสีหน้าของโม่เสวี่ยถงละม้ายคนที่ได้รับความไม่ยุติธรรมอย่างชัดเจน
สายตาคุณหนูสองสามคนนั้นมองมาที่โม่เสวี่ยิ่อย่างเคลือบแคลง ทำให้โม่เสวี่ยิ่แค้นใจจนแทบอยากจะเข้าไปฉีกปากน้อยๆ ของโม่เสวี่ยถงให้ขาดวิ่น
สีหน้าพลันเย็นเยียบ ยามนี้ไม่อาจแสร้งปั้นหน้าได้อีก กล่าวด้วยโทสะ “น้องสาม เ้าพูดเกินไปแล้ว หรือเ้าคิดโบ้ยความผิดมาที่ข้า ้าให้พี่สาวคนนี้รับโทษแทนเ้าหรืออย่างไร”
“พี่หญิงใหญ่กล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร พวกเราล้วนเป็บุตรสาวของสกุลโม่ ไม่ว่าใครจะเกิดเื่ในวังหลวงแห่งนี้ ล้วนนำพาเภทภัยมาสู่จวนโม่ได้ทั้งสิ้น พี่หญิงใหญ่พูดมาน้องสาวอย่างข้าก็รับฟังทุกอย่าง แต่พอข้าพูดบ้างกลับกลายเป็ไม่มีเหตุผล หรือว่าพี่สาวบุตรอนุพูดให้ฟังได้ฝ่ายเดียว แต่บุตรภรรยาเอกเช่นข้ากลับพูดไม่ได้”
เื่การแบ่งแยกฐานะบุตรภรรยาบุตรอนุเป็เื่ะเืใจของโม่เสวี่ยิ่มากที่สุด เมื่อถูกโม่เสวี่ยถงสะกิดถูกจุด อารมณ์โกรธที่อัดแน่นในอกก็พุ่งปรี๊ด ริมฝีปากเผยรอยยิ้มเยาะหยัน ผุดลุกขึ้นทันที ขณะที่กำลังจะเถียงกลับอย่างหมดความเกรงใจ โม่จิ่นสาวใช้ประจำตัวก็รีบเดินฝ่ากลุ่มคนเข้ามา
เมื่อเดินมาถึงข้างกายโม่เสวี่ยิ่ ก็กระชิบเสียงเบาที่ข้างหูสองประโยค ใบหน้าของโม่เสวี่ยิ่พลันปรากฏรอยยิ้ม แล้วพยักหน้าเล็กน้อยจนแทบไม่สังเกตเห็น
นางสูดหายใจยาว ก่อนจะหันมากล่าวกับโม่เสวี่ยถงด้วยสีหน้ายิ้มตามปรกติ “เ้าอยากจะไปผลัดอาภรณ์[1]ด้วยกันหรือไม่” นางทำราวกับเมื่อครู่มิได้เกิดเหตุการณ์ปะทะคารมระหว่างพวกนางเยี่ยงนั้น
งานเลี้ยงใกล้สิ้นสุดลงแล้ว เห็นคุณหนูบางคนพาสาวใช้ของตนเดินออกไปจากประตูรอง
“พี่หญิงไปเถิด ข้ายังไม่อยากไป” โม่เสวี่ยถงดวงตาทอประกายวูบ ริมฝีปากทอยิ้มตอบกลับ แสร้งทำเหมือนไม่มีเื่อะไรเกิดขึ้นเช่นกัน
“เช่นนั้นข้าไปก่อน รอข้ากลับพร้อมกันด้วยเล่า” ครานี้โม่เสวี่ยิ่ไม่รบเร้า เชิดหน้าขึ้นอย่างลำพองใจ ไม่รอให้โม่เสวี่ยถงตอบรับก็หมุนตัวเดินออกไป
งานเลี้ยงสิ้นสุดลงแล้ว แต่ยังมิใช่เวลาที่ควรจะกลับ เวลาที่เหลือเป็่ที่ทุกคนต่างเข้าใจความหมายกันดี ยามนี้เป็่เวลาที่จะมองหาผู้มีจิตใจตรงกัน เพียงแค่มองหน้าหรือพูดคุยกันประโยคสองประโยคก็ได้ งานเลี้ยงพบปะสังสรรค์ในวังหลวงนั้นบุปผาที่บานสะพรั่งหาใช่เป้าหมาย แต่เป็อุบาย!
หากคนสองคนมีใจให้กัน สองตระกูลต่างเห็นด้วย ฮองเฮาก็สามารถพระราชทานสมรสให้ได้ทันที เทียบกับการที่พวกเขาส่งเทียบเชิญกันเองสามครั้งสี่ครั้ง การมางานเลี้ยงแบบนี้ให้ผลเร็วกว่ามาก
แต่แน่นอนว่าก็มีตระกูลใหญ่บางตระกูลที่ไม่พอใจฮองเฮาที่เข้ามาเ้ากี้เ้าการเื่การแต่งงาน การเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตระกูลควรเป็สิ่งที่คนในตระกูลเห็นพ้องกัน การที่ราชวงศ์เห็นสมควรก็ไม่แน่ว่าคนในตระกูลจะรู้สึกว่าเป็ทางเลือกที่ดีที่สุด ไม่แน่ว่าสองตระกูลอาจเป็ปฏิปักษ์กันอยู่ก็ได้ เคยมีคู่รักคู่หนึ่งทางบ้านเป็ศัตรูกันทางการเมือง แต่ทั้งสองพบกันครั้งแรกก็ตกหลุมรักซึ่งกันและกัน ทั้งสองครอบครัวต่างไม่เห็นด้วย แต่ในที่สุดพวกเขากลับมาขอให้ฮองเฮาพระราชทานสมรสให้ในงานเลี้ยงชมบุปผา คิดไม่ถึงว่าฮองเฮาจะทรงเห็นด้วยแล้วพระราชทานสมรสให้
เื่นี้หากลองมาตรองดูให้ละเอียด มิได้เป็เพียงการต่อสู้ของสองตระกูลแล้ว!
การแต่งงานกันระหว่างสองขั้วอำนาจใหญ่เป็วิถีการถ่วงดุลอำนาจของราชวงศ์ บางครั้งศัตรูทางการเมืองก็ถูกใช้เป็เครื่องมือถ่วงดุลอำนาจของราชวงศ์ แต่ตระกูลใหญ่ทุกตระกูลล้วนไม่ชอบให้การแต่งงานถูกแทรกแซงโดยราชวงศ์เช่นนี้ แต่ก็เป็สิ่งที่ไม่อาจเลี่ยงได้
เบื้องหน้าตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจย่อมไม่กล้าขัดพระประสงค์ของราชวงศ์ แต่ในทางส่วนตัวก็ห้ามปรามบุตรหลานของตนไม่ให้ติดต่อคบหากันเป็การส่วนตัว การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็ความผิดร้ายแรง แม้จะเป็สมรสพระราชทานจากฮองเฮาก็สมควรเกิดจากความยินยอมพร้อมใจทั้งสองตระกูลด้วย
หากไม่มีการติดต่อคบหากันเป็การส่วนตัวจริง ราชวงศ์จะเข้ามาแทรกแซงการแต่งงานในหมู่ชนชั้นสูงโดยง่ายได้อย่างไร
มีบางเื่ที่ตระกูลใหญ่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าต้องรักษาสมดุล
ราชวงศ์ก็เป็เช่นนี้ ตระกูลทางฝ่ายฮองเฮาก็เป็เช่นนี้ สี่ตระกูลใหญ่ชั้นกงยิ่งสมควรจะเป็เช่นนี้!
สิ่งที่พี่สาวน้องสาวสกุลโม่แสดงต่อกันเมื่อครู่ตกอยู่ในสายตาของผู้หวังดีประสงค์ร้ายบางคนแล้ว
โม่เสวี่ยิ่เพิ่งจะเดินจากไป คุณหนูผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่อีกด้านของโม่เสวี่ยถงก็อาศัยจังหวะนี้เดินเข้ามา คลี่ยิ้มหันไปมองมุมที่อยู่ลับตาคนแล้วเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “คุณหนูสามโม่ พี่หญิงของเ้าเวลานี้ไปไหนเสียแล้วล่ะ”
ทิศทางนั้นค่อนข้างเงียบสงบ เป็ทางเดียวกับที่คุณหนูส่วนใหญ่เดินไป โม่เสวี่ยิ่ยืนอยู่ที่นั่น มองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสังเกตนางก็เดินอ้อมต้นกุ้ยฮวาและชั้นวางกระถางบุปผาไปยังอีกด้าน เห็นได้ชัดว่ามีความลับบางอย่างซ่อนเร้นอยู่
เพราะคำถามของคุณหนูผู้นั้น คุณหนูสองสามคนที่อยู่ข้างกายโม่เสวี่ยถงซึ่งจับตามองอยู่จึงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดชัดเจน ในดวงตาพลันฉายแววคมกล้า
โม่เสวี่ยิ่มีสถานtเป็เพียงบุตรอนุภรรยา แต่กลับมีชื่อเสียงว่าเป็ผู้มีความสามารถ มีคุณธรรมสูงส่ง หน้าตาก็สะสวย เดิมทีก็เป็ที่ขวางหูขวางตาของเหล่าคุณหนูบุตรภรรยาเอกที่สู้นางไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่นางปฏิบัติตัวดีต่อทุกคน ปรกติก็ไม่มีสิ่งใดให้คนจับผิดได้ ดังนั้นคุณหนูเหล่านี้จึงได้แต่รู้สึกหงุดหงิดแต่ไม่สามารถเล่นงานอะไรนางได้
แต่วันนี้โม่เสวี่ยิ่กลับทำผิดพลาดหลายเื่ ทำให้พวกนางรู้สึกพึงพอใจ โดยเฉพาะจากสิ่งที่สองพี่น้องสกุลโม่คุยกัน เห็นได้ชัดว่าคุณหนูใหญ่ผู้อ่อนโยน มีคุณธรรมน้ำใจกว้างขวาง ก็มีด้านมืดอยู่เช่นกัน แต่ละคนจึงคิดอยากกระชากหน้ากากจอมปลอมของนางออกมา อย่างน้อยก็ให้เหล่าคุณชายทั้งหลายได้เห็น ว่าพวกนางต่างหากที่เป็สตรีจิตใจดีงามเพียบพร้อมอย่างแท้จริง ส่วนโม่เสวี่ยิ่ก็เป็เพียงบุตรอนุภรรยาจอมเสแสร้งคนหนึ่งเท่านั้น
คุณหนูเ่าั้สบตากันก่อนจะลุกขึ้น หมุนตัวไปยังมุมที่ลับตาคนแห่งนั้น...
แล้วให้คนไปล่อโม่เสวี่ยถงเข้ามา
..............................................................................................................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ไปผลัดอาภรณ์ ใช้ในความหมายแฝงว่าไปเข้าห้องน้ำได้