ท้องฟ้ากว้างใหญ่ ดวงดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้า ดวงจันทร์ส่องแสงเป็ยองใย
แสงไฟส่องสว่างจนเกิดเป็เงาเหยียดยาวออกไป เส้นทางในวังทอดยาวลึก
วิ่งผ่านเส้นทางในวังหลวง ผ่านสวนดอกไม้ เลี้ยวไปตามทางเดิน เลี้ยวผ่านศาลา...
มู่หรงอวี้จับมือเล็กของนางแทบจะวิ่งผ่านไปทั้งวังหลวงอยู่นาน ในที่สุดก็ถึงที่พักของฉางชิง
มู่หรงฉือหอบหายใจอย่างรุนแรง ดวงหน้าเล็กแดงก่ำ ขาทั้งสองข้างอ่อนเปลี้ย พูดไม่ออกสักครึ่งคำ
“ยังไหวหรือไม่?”
เห็นท่าทางของนางเขาก็ตำหนิตัวเองเล็กน้อย ด้วยความร้อนใจชั่ววูบเขาถึงกับลืมไปว่าร่างกายของเตี้ยนเซี่ยจะเทียบกับตนได้อย่างไร
นางโบกมือ ลำคอแห้งผากจนรู้สึกทรมาน รู้สึกร้อนจนเหงื่อเปียกชื้นไปทั้งตัว
หากเป็แต่ก่อน วิ่งเร็วขนาดนี้จะคณามือนางหรือ? แต่ว่าวันนี้นางไม่ปกติ นางได้รับาเ็
ขาทั้งสองข้างของนางอ่อนไปหมด ทำไมตนเองถึงได้อ่อนแอขนาดนี้?
มู่หรงอวี้มือไวพยุงตัวนางจนเหมือบโอบนางอยู่กลายๆ ก่อนจะแตะโดนร่างหอมกรุ่น จิตใจที่มั่นคงของเขาพลันสั่นไหวอีกครั้ง
ครั้งนี้ ด้านหน้าเรือนมีคนมากมายมารวมตัวกัน ชายหญิงมากมายพูดคุยซุบซิบกันเื่การตายของฉางชิง
ดวงตาของทุกคนมองมา นางจึงรีบสะบัดตัวออก รู้สึกว่าเนื้อตัวร้อนขึ้นกว่าเดิม “เปิ่นกงไม่เป็อะไร”
หลิวอันออกมาจากด้านในห้อง พอเห็นพวกเขาก็รีบสาวเท้าเข้ามาทำความเคารพ “หนูฉายถวายบังคมเตี้ยนเซี่ย ท่านอ๋อง”
มู่หรงอวี้โบกมือให้เขาลุกขึ้น “เปิ่นหวางจะเข้าไปดู” เขาพูดกับมู่หรงฉือเสียงเบา “เตี้ยนเซี่ยพักก่อนดีกว่าหรือไม่?”
มู่หรงฉือรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว จึงเดินไปด้านหน้า
ทั้งเรือนนี้เป็ที่พักของบรรดาข้าหลวง มีเรือนพักรวมและเรือนพักเดี่ยว ที่พักที่ฉางชิงอยู่นั้นเป็ที่พักสำหรับสองคน คืนนี้ฉางชิ่งที่เป็เพื่อนร่วมห้องของเขาเข้าเวร ดังนั้นตอนนี้จึงไม่อยู่ในเรือน
มู่หรงอวี้เดินตามหลังนางเข้ามา ภายในห้องสะอาดเรียบร้อย ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ฉางชิงนอนตัวแข็งอยู่บนเตียง ท่าทางจากไปอย่างสงบ ราวกับว่าเขาเพียงแค่หลับไปเฉยๆ เท่านั้น ทว่าใบหน้าของเขาปรากฏเส้นเืเขียว ริมฝีปากเป็สีม่วงดำ มุมปากมีเืสีดำไหลออกมา นิ้วทั้งสองของเขาก็เริ่มดำคล้ำ ดูแล้วคาดว่าคงจะโดนพิษ
มู่หรงอวี้หยิบถ้วยชาขึ้นมาวางบนโต๊ะ แล้วเอามาดมที่จมูก “เป็สารหนู”
“ตอนที่ฉางชิงตายไปไม่มีการต่อสู้ดิ้นรนเ็ป ดูแล้วสงบนิ่งมาก จากรูปการณ์แล้ว น่าจะกินยาพิษตาย” มู่หรงฉือสรุป แต่ว่าก็ยังต้องให้เสิ่นจือเหยียนมาตรวจสอบใหม่ในวันพรุ่งนี้ถึงจะตัดสินคดีได้
“เขาคงจะดื่มยาฆ่าตัวตายด้วยตนเอง” มู่หรงอวี้วางถ้วยชาลง สายตาเ็ากวาดมองไปทุกที่บนตัวของศพ
“เหตุใดฉางชิงถึงได้กินยาฆ่าตัวตาย? หรือเขาเดาได้ว่าไม่ช้าก็เร็วพวกเราจะพบว่าเสี่ยวยินไม่ได้ตัดองคชาต?”
“ที่ฉางชิงฆ่าตัวตายมีความเป็ไปได้อยู่สองอย่าง หนึ่งเขารู้ว่าตนเองหนีไม่พ้น คดีลอบฆ่าของเสี่ยวยินเขาสลัดไม่หลุด สอง เขาตายไปแล้ว ความลับที่เก็บซ่อนเอาไว้หลายสิบปีก็จะไม่ถูกเปิดเผยออกมา”
“ความลับที่เขาเก็บรักษาเอาไว้เกี่ยวข้องกับเสี่ยวยิน เป็ความลับอะไรกันแน่?” มู่หรงฉือครุ่นคิด
ตอนนี้เอง ฉางชิ่งที่เป็เพื่อนร่วมห้องของฉางชิงก็ถูกคนของหลิวอันพากลับมา
มู่หรงอวี้สอบถามเขาสองสามคำถาม เขาก็ใจนตัวสั่น หวาดกลัวขนาดหนัก เช็ดเหงื่อกาฬไม่หยุด ตอบคำถามก็ติดๆ ขัดๆ
ถึงแม้เขาจะเป็เพื่อนร่วมห้องกับฉางชิง แต่ก็คงจะไม่รู้เื่ของฉางชิงแม้แต่น้อย ไม่ได้พูดโกหกแต่อย่างใด
มู่หรงฉือสั่งองค์รักษ์สองคน “ยกศพไปที่ตำหนักบูรพา เก็บเอาไว้กับศพของเสี่ยวยิน ใช้น้ำแข็งเก็บรักษาเอาไว้”
รักษาศพเอาไว้เพื่อสะดวกให้เสิ่นจือเหยียนมาตรวจสอบในวันพรุ่งนี้
หลิวอันสะบัดแส้ขนสั้นในมือเพื่อไล่ข้าหลวงที่มาล้อมดูออกไป ก่อนจะปิดผนึกบ้านของคนตายเอาไว้
ั์ตาของมู่หรงอวี้เข้มขึ้น เขาเอ่ยปากถาม “ผู้ดูแลหลิว อายุของฉางชิงน้อยกว่าเ้า เขาเข้าวังมาตอนไหน ทำงานในวังเป็อย่างไรบ้าง เ้าคงจะรู้ดีสินะ”
“ท่านอ๋องถามได้ถูกคนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลิวอันถือแส้ขนปัดฝุ่นในมือ ใบหน้าขาวซีดภายใต้เงาสีแดงดำสลัวดูมืดมนเป็พิเศษ “หนูฉายเป็คนเลือกเขาให้เข้าวังมาเอง ตอนนั้นเขาเพิ่งจะอายุได้สิบเจ็ดสิบแปดปี”
“เช่นนั้นเขาก็อยู่ในวังมาได้ยี่สิบสามสิบปีแล้ว บ้านเกิดของฉางชิงอยู่ที่ใด? ในบ้านยังมีคนในครอบครัวอยู่หรือไม่?” มู่หรงฉือถาม
“บ้านเกิดของฉางชิงคือ...ชิ่งโจว ใช่แล้ว ชิ่งโจว” สีหน้าหลิวอันดีใจ เหมือนจู่ๆ ก็คิดอะไรขึ้นมาได้อีก “ใช่แล้ว หนูฉายนึกออกแล้ว ในกลุ่มของฉางชิงพวกนั้น ตอนที่หนูฉายเลือกคน รุ่ยหวางเองก็บังเอิญอยู่ด้วย เขาบอกว่าฉางชิงฝีมือไม่เลว ทั้งยังฉลาด หนูฉายถึงเลือกเขาพ่ะย่ะค่ะ”
ั์ตาของมู่หรงอวี้มีแสงวาบผ่าน ไม่อาจรู้ได้ว่าเขาคิดสิ่งใด
หลิวอันเหมือนกับรู้ตัวว่าตนเองพูดผิดไปก็ใร้อนรนทำตัวไม่ถูก “หนูฉายพูดผิดไปพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องทรงอย่างกริ้วเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
มุมปากของมู่หรงฉือยกยิ้ม รุ่ยหวางคือพี่ชายของนาง แต่ว่าั้แ่นางเกิดมาก็ไม่ได้เจอเขาแล้ว
รุ่ยหวางกับจิงหวางเป็เื่ต้องห้ามในวังและราชสำนัก ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามพูดถึง
ในปีที่นางยังไม่เกิดมา ฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนมู่หรงเฉิงยังไม่แต่งตั้งองค์รัชทายาท องค์ชายทั้งเจ็ดต่อสู้กันทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผย เพื่อแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทจึงเกิดการโจมตีกันและกัน จนกระทั่งอีกฝ่ายตายจากไป หนึ่งในนั้นมีรุ่ยหวางที่เป็องค์ชายสามกับจิงหวางองค์ชายหกที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดที่สุด ราชสำนักเองก็แบ่งเป็สองฝ่าย รุ่ยหวางกับจิงหวาง
เมื่อสิบเก้าปีก่อน รุ่ยหวางกับจิงหวางใช้ฐานะพระโอรสนำทหารบุกวังหลวง แล้วยิงธนูสังหารกันตายอยู่ตรงนั้น
องค์ชายที่เหลือต่างหมดสภาพ สิ่งที่องค์ชายทั้งเจ็ดก่อขึ้นทำให้มู่หรงเฉิงเ็ปใจและสิ้นหวัง เขาจึงไล่องค์ชายที่ยังไม่ตายออกจากวัง อีกทั้งยังออกคำสั่งไม่ให้เข้าวังตลอดชีวิต หลังจากนั้น รุ่ยหวางกับจิงหวางก็ถูกติดชื่อว่าเป็เื่ต้องห้ามของพระราชวังและราชสำนัก
มู่หรงฉือคิดไม่ถึงว่าฉางชิงจะเกี่ยวข้องกับรุ่ยหวางที่ตายไปแล้วคนนั้น
“กรมข้าหลวงมีบันทึกของฉางชิง จะให้หนูฉายส่งคนไปเอามาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” หลิวอันเสนอความคิดขึ้นมาอย่างคนมีชนักติดหลัง
“ไม่จำเป็ เปิ่นหวางจะไปที่กรมข้าหลวงเอง” มู่หรงอวี้มองไปทางเตี้ยนเซี่ย แล้วส่งสายตา
“ผู้ดูแลหลิว เื่ที่นี่ให้เ้าจัดการก็แล้วกัน” มู่หรงฉือเดินนำไปก่อน
“น้อมส่งองค์รัชทายาทและท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” หลิวอันโค้งตัวก่อนจะเงยหน้าขึ้นช้าๆ ใบหน้าขาวซีดภายใต้ความมืดนั้นเย็นเยียบแปลกๆ
ครั้นสองผู้มีอำนาจเดินทางมาถึง ข้าหลวงที่กรมก็พากันใจนหน้าถอดสี เกือบจะวุ่นวายกันไปทั้งหมด
ยังดีที่อวี้หวางกับองค์รัชทายาทไม่ได้มาที่นี่เพื่อจับคน แค่มาเอาบันทึกเอกสาร
กรมไม่กล้าชักช้า หลายคนพากันไปช่วยหา เพียงครู่เดียวก็หาบันทึกเกี่ยวกับฉางชิงเจอ
มู่หรงอวี้กับมู่หรงฉืออ่านโดยคร่าวหนึ่งรอบ ก่อนจะนำสมุดเล่มนั้นกลับไปยังตำหนักบูรพา ถึงแม้สิ่งที่บันทึกในสมุดจะเป็ข้อมูลที่ไม่มากนักทั้งยังเป็เนื้อหาที่พวกเขารู้ๆ กันอยู่แล้วก็ตาม
ตอนกลางดึกเงียบสงัด แสงไฟในวังค่อยๆ ดับมอดลง องครักษ์เดินลาดตระเวนอยู่บ่อยครั้ง
พวกเขาค่อยๆ เดินอยู่ใต้แสงดาว แสงจันทร์ราวกับผ้าบางพลิ้วไหว
มู่หรงอวี้จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “เตี้ยนเซี่ยคิดว่า มีความเป็ไปได้ที่ฉางชิงจะถูกสังหารหรือไม่?”
“หากฉางชิงถูกคนวางยา เขาไม่มีทางนอนบนเตียงได้อย่างสงบเช่นนั้น เสื้อผ้าของเขาไม่มีทางเรียบร้อยแบบนั้น” มู่หรงฉือย้อนกลับไปคิดถึงภาพเมื่อตอนนั้นอย่างละเอียด
“คนร้ายไม่ได้บังคับฉางชิง แล้วก็ไม่ได้วางยาเขา คนร้ายแค่ไปหาฉางชิง พูดคุยกับเขาเล็กน้อย วางสารหนูเอาไว้ จากนั้นก็จากไป เปิ่นหวางคิดว่าแบบนี้ก็มีความเป็ไปได้” เสียงอันอบอุ่นและนุ่มนวลของเขาดังอยู่ในค่ำคืนอันมืดมิด เต็มไปด้วยเสน่ห์ที่แตกต่างออกไป “ที่ฉางชิงยินยอมที่จะดื่มยาฆ่าตัวตาย บางทีอาจเป็เพราะฆาตกรเป็ผู้มีพระคุณของฉางชิง หรือฉางชิงอยากจะปกป้องฆาตกร หรือฉางชิงรู้ความลับของฆาตกร มีเพียงความตายเท่านั้นถึงจะสามารถรักษาความลับนี้ได้”
นางอดนับถือการคาดเดาของเขาไม่ได้ ข้อสันนิษฐานนี้ไม่ใช่ว่าจะเป็ไปไม่ได้
ความจริงมีเพียงฉางชิงเท่านั้นที่รู้
นางถอนหายใจ “เบาะแสนี้ก็ขาดไปอีกแล้ว”
มู่หรงอวี้เดินอย่างเชื่องช้า ั์ตาสีเข้มเฉียบคมอย่างยิ่งในความมืดยามค่ำคืน “บางทีพวกเรายังสามารถเอาเบาะแสเหล่านี้มาคาดเดาความจริงบางอย่างออก ตอนนั้นฉางชิงอายุสิบเจ็ดสิบแปด ตอนที่หลิวอันเลือกคนได้เจอกับรุ่ยหวางโดยบังเอิญ หลิวอันที่ได้รับความเชื่อถือจากฮ่องเต้ กลับเห็นดีเห็นงามในตัวเด็กต่ำต้อยคนหนึ่ง แบบนี้มันไม่แปลกมากหรอกหรือ?”
มู่หรงฉือใ เหตุใดนางถึงคิดไม่ได้กัน?
“ฉางชิงเป็หูตาที่รุ่ยหวางส่งเข้ามาอยู่ในวัง” นางพูดวิเคราะห์ออกมา
“มีความเป็ไปได้อย่างยิ่ง ตอนนั้นรุ่ยหวางกับจิงหวางถูกสังหาร ฮ่องเต้ออกคำสั่งตรวจสอบเข้มงวด เอาข้าหลวงออกมาตรวจสอบอย่างชัดเจน ข้าหลวงอีกครึ่งหนึ่งหากไม่ถูกสังหารก็ถูกขับออกจากวัง แต่ว่าจะต้องมีปลาสักตัวสองตัวที่หลุดรอดไป ฉางชิงมีความเป็ไปได้ที่จะเป็ปลาที่หลุดรอดไปเ่าั้”
“ฉางชิงรับเลี้ยงเสี่ยวยิน ส่วนชาติกำเนิดของเสี่ยวยินเป็ปริศนา เช่นนั้นเสี่ยวยินจะเกี่ยวข้องกับรุ่ยหวางหรือไม่?”
การคาดเดาตั้งสมมุติฐานนี้กล้าหาญมาก แม้กระทั่งนางเองก็ยังสูดหายใจเข้าลึก
มู่หรงอวี้กล่าว “เสี่ยวยินจัดฉากหยกตกจากฟ้าที่ตำหนักเฟิ่งเทียนก่อน จากนั้นก็หอบความคิดที่จะตายมาลอบสังหารเ้า ต่อมาก็กินยาฆ่าตัวตาย บางทีเขาอาจจะฆ่าตัวตายเพื่อปกป้องเพื่อนที่สมรู้ร่วมคิดด้วยกัน มีความเป็ไปได้ที่จะปกป้องคนที่อยู่เื้ั”
มู่หรงฉือได้ยินก็ใ บรรยากาศเย็นๆ โอบล้อมอยู่รอบด้าน มือเท้าเย็นลงไปหลายส่วน
จับจุดเริ่มต้นเล็กๆ ได้ ก็สามารถสาวออกมาได้อีกมาก
มีความเป็ไปได้ที่เสี่ยวยินจะเกี่ยวข้องกับรุ่ยหวาง เช่นนั้นคนเื้ัที่เขาปกป้องมีความเป็ไปได้ที่จะเป็คนที่รุ่ยหวางทิ้งเอาไว้?
คนที่รุ่ยหวางทิ้งเอาไว้ซ่อนตัวอยู่ที่ไหน? มีเจตนาอะไรกันแน่?
ทั้งการจัดฉากต่างชี้ไปที่อวี้หวางมู่หรงอวี้ ทำไมคนที่รุ่ยหวางทิ้งเอาไว้ถึงชี้ไปที่เขากัน?
คิดถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกว่าเหงื่อออกเต็มแผ่นหลัง
คืนนี้ มู่หรงอวี้อยู่ที่ตำหนักบูรพาไม่ยอมไปไหน พานางไปที่พักของเสี่ยวยิน ต่อมาก็เกิดเื่มากมายขนาดนี้ พวกเขาวิ่งพล่านไปด้วยกันในวังหลวงกว่าครึ่ง ใช้เวลาค่อนคืนมาไขข้อสงสัยมากมายในคดี สร้างสมมติฐานและการคาดเดาอันกล้าหาญ...นางเคยสงสัยความตั้งใจและเจตนาของเขามาก่อน คิดว่าเขาจะตัดเื่แปลกๆ ที่เกิดขึ้น่นี้ออกจากตัวไปอย่างหมดจด
ตอนนี้ การคาดเดาของเขาเบนเข็มไปทางคนที่รุ่ยหวางทิ้งเอาไว้ ทำให้นางยิ่งมั่นใจว่าเขามีเจตนาแอบซ่อนอยู่
แต่ว่า การคาดเดาที่กล้าหาญของเขาก็ใช่ว่าจะเป็ไปไม่ได้
“นี่เป็เพียงการคาดเดาของเปิ่นหวางเท่านั้น พรุ่งนี้ค่อยมาดูผลการชันสูตรศพของเสิ่นจือเหยียนกัน”
ั์ตาดำของมู่หรงอวี้หรี่ลง แสงดาวส่องกระทบตาของเขาราวกับจะส่องแสงระยิบระยับออกมาจากเหวลึกอันแสนลึกลับจนสามารถกลืนกินคนได้
มู่หรงฉือแอบหันไปมองเขา บังเอิญที่เขาเองก็หันมามอง ดวงตาสองคู่สบกัน หัวใจของนางพลันตื่นตระหนกเล็กน้อย ก่อนจะรีบเบือนหน้ากลับไป
ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ ตรงหน้าก็มืดลง ไม่เห็นแสงดาวแม้แต่น้อย แสงไฟเองก็ไม่เห็นแล้ว...โลกหมุน เวียนหัว....
ตอนที่เขารู้สึกถึงความผิดปกติ นางก็เกือบจะล้มลงไปกับพื้นแล้ว
ลำแขนแข็งแกร่งรวบตัวนางขึ้นมา โอบนางเข้าไปในอ้อมกอด เขาเรียกเสียงทุ้ม “เตี้ยนเซี่ย... เตี้ยนเซี่ย...”
นางตัวพับตัวอ่อนพิงเขา ตาทั้งสองข้างปิดสนิท ภายใต้แสงดาวที่ส่องลงมาดวงหน้าของนางซีดขาวราวกับกระดาษ ริมฝีปากซีดเซียวปราศจากเื
แขนขวาที่มีผ้าพันเอาไว้มีเืไหลออกมาย้อมเสื้อจนเป็สีแดงไปหมด ดูแล้วเืคงไหลออกมาไม่น้อย นางถึงได้เป็ลมล้มพับไป
มู่หรงอวี้อุ้มนางขึ้นแล้วสาวเท้าเดินไปยังตำหนักบูรพาอย่างรวดเร็ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้