นักดนตรีที่เรียงรายอยู่สองฝั่งต่างเข้าใจว่านี่คือนางรำที่กุ้ยเฟยจัดเตรียมมาถวายให้หวงตี้เป็พิเศษจึงยังคงบรรเลงบทเพลงสอดคล้องไปตามจังหวะการย่างก้าวของหญิงสาว นางพลิ้วกายเข้ามาร่ายรำอยู่ข้างกายเย่หงอี้ยกเท้าหยกเปลือยเปล่าวาดผ่านแผงอกของชายหนุ่มอย่างกล้าหาญชาญชัย สร้างรู้สึกความลึกลับซับซ้อนจุดอารมณ์ปรารถนาในส่วนลึกของเย่หงอี้ให้ลุกโชน
เมื่อเห็นเพลิงราคะแผดเผาอยู่ในแววตาของอีกฝ่ายมุมปากของเหยาโม่หว่านหยักโค้งขึ้นน้อย ๆ กระหวัดเรียวขาโอบรอบเอวของเย่หงอี้ ก่อนเอนกายไปด้านหลังเด็ดผลองุ่นที่แลดูฉ่ำน้ำมาคาบไว้บนริมฝีปากอิ่ม แพรพรรณบางเบาที่พลิ้วสะบัดไปตามการเคลื่อนไหวรวมถึงเรือนร่างทรงเสน่ห์ของเหยาโม่หว่านทำให้โลหิตในกายของเย่หงอี้เริ่มเดือดพล่าน
ยามนี้นางทรงตัวด้วยเท้าเพียงข้างเดียวส่วนอีกข้างที่เกี่ยวอยู่ที่บั้นเอวของเย่หงอี้ค่อย ๆ ลดระดับลง ส่งผลองุ่นมาถึงหน้าของหวงตี้หนุ่ม
เพียงชั่วพริบตาเดียวเย่หงอี้ก็เอื้อมมือมาดึงแขน รั้งร่างอรชรเข้ามาแนบชิดในอ้อมอก ก่อนใช้ปลายนิ้วปลดผ้าแพรผืนบางออกจากดวงหน้าค่อยก้มศีรษะลงมาใช้ลิ้นกระหวัดผลองุ่นหวานล้ำจากริมฝีปากอิ่มกลืนลงท้อง ั์ตาสีนิลทอประกายคมกล้าประหนึ่งหมาป่าที่ค้นพบแกะน้อย
“ฝ่าา...”ขณะที่น้ำเสียงฉอเลาะผ่านริมฝีปาก ภายในท้องของนางกลับปั่นป่วน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับบุรุษที่ตนเองทุ่มเทหัวใจให้มาตลอดเจ็ดปีเต็มจู่ ๆ นางก็รู้สึกคลื่นเหียนอยากอาเจียนกะทันหัน ความเกลียดชังสุดขั้วหัวใจแผ่กำจายออกมาจากทุกรูขุมขน
“คนงามเ้ามีนามว่าอันใด?” เย่หงอี้ไล้ท้องนิ้วจากลำคอขาวกระจ่างปานหิมะไล่ต่ำลงไปจนถึงเนินอกอิ่มซึ่งอยู่ภายใต้เสื้อคลุมสีม่วงอ่อนลมหายใจของเขาเริ่มติดขัดและหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ
“ข้าชื่อเหยาโม่หว่านหว่านที่หมายถึงความอบอุ่นอ่อนโยน ฝ่าาชอบหรือไม่?” ดวงตาคู่งามราวกับปีกผีเสื้อกะพริบปริบๆ แววตาใสซื่อแลดูไร้เดียงสา
คิ้วดาบพลันขมวดย่นเข้าหากันเบื้องลึกดวงตาทอประกายเยียบเย็นขึ้นเล็กน้อย
“น้องสาวร่วมสายโลหิตของหวงโฮ่ว?เหอะ! วันเซ่นไหว้ดวงิญญาของพี่สาวตนเองแท้ ๆ เ้าไม่โศกเศร้าสักนิดเลยรึ?” เพลิงปรารถนาในหัวใจของเย่หงอี้เหมือนถูกน้ำเย็นสาดจนมอดดับไปเสียครึ่งหนึ่ง
“โม่หว่านเป็คนเขลาคนเขลาย่อมโศกเศร้าไม่เป็หรอกเพคะ” เหยาโม่หว่านยกสองแขนขึ้นไปโอบรอบลำคอของเย่หงอี้ก่อนเอ่ยวาจาหนักแน่น
“หืม?”เบื้องลึกดวงตาของเย่หงอี้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง เขาเคยได้ยินเหยาโม่ซินกล่าวถึงน้องสาวผู้โง่เขลาคนนี้อยู่บ้างเพียงแต่ไม่เคยพบตัวจริงมาก่อน
“เมื่อถูกนำมาเปรียบเทียบกับพี่สาวโม่หว่านเลยกลายเป็คนโง่งมมาั้แ่เล็ก ๆ นางมีชีวิตอยู่หนึ่งวัน โม่หว่านก็กลายเป็คนเขลาหนึ่งวันเมื่อพี่สาวจากไปแล้ว ในที่สุดโม่หว่านก็หลุดพ้นเสียที ฝ่าาทรงคิดว่าโม่หว่านโง่เขลาหรือไม่?”ริมฝีปากรูปผลอิงเถาขมุบขมิบขึ้น ๆ ลง ๆ แววตาสุกใสทอประกายวับวาว
วาจาของเหยาโม่หว่านทำให้เย่หงอี้รู้สึกราวกับค้นพบผู้ร่วมชะตากรรมไม่ผิด...ตราบใดที่เหยาโม่ซินยังอยู่ ตนเองก็เป็เพียงคนโง่ เป็สวะไร้ค่าในสายตาของผู้คนทั่วใต้หล้าบัดนี้สตรีผู้นั้นตายไปแล้ว เขาเองย่อมหลุดพ้นเช่นเดียวกัน!
“จะทำอย่างไรดีเจิ้นกลับชอบคนเขลาเสียด้วยสิ?” เมื่อเห็นเหยาโม่หว่านอิงแอบแนบชิดจนแทบจะฝังในอ้อมอกของตนเองอยู่แล้วอารมณ์ปรารถนาในคราแรกพลันโหมกระพือขึ้นมาอีกครั้ง มือของเย่หงอี้ค่อย ๆ ลูบไล้ไปตามเรียวขาสูงขึ้นมาเรื่อยๆ ก่อนล้วงเข้าไปภายใต้กระโปรงยาว
“เช่นนั้น...โม่หว่านยอมเป็คนเขลาก็ได้เพคะ”น้ำเสียงนุ่มนวลกระซิบแ่ชวนให้เคลิบเคลิ้มลุ่มหลง เย่หงอี้อุ้มเหยาโม่หว่าน เดินตรงเข้าไปในห้องนอนทันที
เหล่านักดนตรีในห้องโถงต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนพากันถอยออกไปจากเรือนเหมยเหออย่างรวดเร็ว
เหยาโม่หว่านนอนบิดร่างระทดระทวยอยู่บนเตียงด้วยท่วงท่างดงามมีเสน่ห์ราวกับนางจิ้งจอกที่กำลังเริงร่าอยู่ท่ามกลางป่าเขาแววตาหวานหยาดเยิ้มมิห่างไปจากร่างของชายหนุ่มที่ตนเองเกลียดชัง
เย่หงอี้หากไม่เพราะสติปัญญาความสามารถของข้า คนอย่างเ้าหรือจะได้แผ่นดินนี้มา แต่เ้ากลับใช้อุบายชั้นต่ำส่งข้าสู่นรกขุมที่สิบแปดในเมื่อชอบคนเขลานักล่ะก็ ข้าก็จะใช้ความเขลานี่แหละ ทำลายแผ่นดินที่เ้ารัก จากนั้นค่อยบดขยี้ร่างของเ้าให้แหลกเหลวเป็ผุยผงไม่ได้ผุดได้เกิดอีกเลยชั่วกัลปาวสาน