บนชั้นสองของโรงน้ำชาิเซียง ภายในห้องพิเศษ
ั้แ่ทรุดกายนั่งลงในที่แห่งนี้ ไป๋หยุนเฟยก็ยังกระสับกระส่ายอยู่บ้างเมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงสาวทั้งสองคน มันใช้มือทั้งคู่ประคองถ้วยชาพลางยกขึ้นดื่มไม่หยุดยั้ง กระทั่งดื่มใบชาลงไปก็ยังไม่รู้สึกตัว
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของไป๋หยุนเฟย เสี่ยวหนิงก็อดไม่ได้ต้องหลุดเสียงหัวเราะดัง‘คิก’ออกมา แต่ขณะที่จะะเิเสียงหัวร่อก็ถูกหลิวเมิ่งห้ามปรามไว้ก่อน
ได้เห็นท่าทางของชายหนุ่มตรงหน้า หลิวเมิ่งก็ต้องกลั้นหัวเราะเช่นกัน หญิงสาวรินชาเติมให้แก่ไป๋หยุนเฟยอย่างสุภาพอีกคราพลางกล่าวว่า “คราครั้งนี้ข้าพลันเจ็บป่วยกะทันหันจนกลายเป็ไร้ประโยชน์ โชคดีที่คุณชายยื่นมือเข้าช่วยเหลือ นับเป็บุญคุณใหญ่หลวงนัก”
ไป๋หยุนเฟยวางถ้วยชาในมือลง พยายามระงับความพลุ่งพล่านที่เกินอธิบายในใจลง ก่อนจะกล่าวพลางโบกมือปฏิเสธ “ท่านอย่าได้มากพิธีเช่นนี้เลยแม่นาง การได้ช่วยเหลือผู้คนเป็บ่อเกิดแห่งความสุ... เอ่อ ข้าหมายถึง เมื่อพบเื่อยุติธรรมย่อมสมควรยื่นมือช่วยเหลือ อีกอย่างนี่ก็ไม่ได้สร้างความลำบากอันใดแก่ข้า ดังนั้นท่านไม่ต้องจดจำใส่ใจ”
“แต่นี่ไม่ได้สร้างความลำบากแก่ท่านเพียงเล็กน้อย...” หลิวเมิ่งกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ยามนั้นมีผู้คนอยู่มากมาย แต่มีเพียงท่านที่กล้ายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ คุณชายรองหลงผู้นั้นมีชื่อเสียงอื้อฉาวไปทั้งเมืองชุ่ยหลิว มันอาศัยอิทธิพลของตระกูลกระทำเื่ต่ำช้าทุกประเภท ครานี้ข้าออกจากบ้านมาเพียงลำพังเพื่อท่องเที่ยวคลายความเบื่อหน่ายคาดไม่ถึงว่ากลับต้องมาถูกมันตามพัวพัน”
“ตระกูลหลงนับว่ามีอิทธิพลในเมืองชุ่ยหลิวไม่น้อย แม้แต่สำนักหลิวขจียังย้องอ่อนข้อให้ แต่ท่านกลับกลับยินยอมล่วงเกินนายน้อยที่สองแห่งตระกูลหลงเพื่อข้า ข้ากลับเป็เหตุให้ท่านเข้ามายุ่งเกี่ยว...”
“ที่จริง ด้วยพลังฝึกปรือในฐานะผู้ฝึกปรือิญญาเช่นข้า ย่อมไม่เกรงกลัวคุณชายไม่เอาไหนเช่นนี้ แต่ยามนั้นข้าพลันเจ็บป่วยกะทันหัน ความเ็ปนั้นแสนสาหัสจนทำให้ข้าไม่อาจป้องกันตนเองได้ มันจึงมีโอกาสล่วงเกินข้า...”
ได้ยินคำพูดประโยคแรกไป๋หยุนเฟยจึงลอบถอนใจ “สำนักหลิวขจีอยู่ที่นี่จริงๆ!”
แต่เมื่อรับฟังถึง่ท้าย มันก็ตื่นตะลึงจนซึมเซาไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวอย่างประหลาดใจ “โอ? ท่านว่าท่านก็เป็ผู้ฝึกปรือิญญาเช่นกัน?”
หลิวเมิ่งพยักหน้ากล่าวอย่างยิ้มแย้ม “นับว่าเป็ที่น่าละอายแล้ว แต่ทว่าข้าเป็ผู้ฝึกปรือิญญาจริงๆ... โอ ท่านบอกว่า‘เช่นกัน’? หรือท่านก็เป็ผู้ฝึกปรือิญญา?”
เห็นไป๋หยุนเฟยพยักหน้า เสี่ยวหนิงที่อยู่ด้านข้างก็อดไม่ได้ต้องกระซิบถาม “โอ! คุณชายท่านกลับเป็ผู้ฝึกปรือิญญา! มิน่าเล่าจึงขับไล่คนเลวเ่าั้ไปอย่างง่ายดาย!”
เมื่อพบเห็นว่าแววตาหลิวเมิ่งราวกับแปรเปลี่ยนไป ไป๋หยุนเฟยจึงรู้สึกกระสับกระส่ายอีกครา “ฮ่า ฮ่า นี่ไม่ใช่เื่สลักสำคัญอันใด ข้าเป็เพียงผู้ฝึกปรือิญญาฝีมือต่ำต้อยเท่านั้น แม่นางท่าน...”
“ข้านามว่าหลิวเมิ่ง คุณชายท่านจะเรียกข้าว่าเมิ่งเอ๋อร์ก็ได้” ได้ยินไป๋หยุนเฟยเรียกหานางเป็‘แม่นาง’อยู่ตลอดเวลา หลิวเมิ่งจึงแย้มยิ้มกล่าวเสียงค่อย ไม่ทราบว่าไป๋หยุนเฟยตาฝาดหรือไม่แต่มันราวกับเห็นใบหน้าหญิงสาวตรงหน้าแดงซ่านเล็กน้อยขณะกล่าววาจา
“คุณชายข้าขอทราบนามท่านได้หรือไม่?” หลังจากหยุดชั่วครู่หลิวเมิ่งจึงเอ่ยปากถามต่อ
ไป๋หยุนเฟยกลับคาดไม่ถึงว่านางจะยินยอมให้เรียกหาอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ จึงตะลึงงันไปชั่วขณะ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยปากตะกุกตะกัก “แม่นาง... เอ่อ เมิ่ง เมิ่งเอ๋อร์... ท่านเรียกข้าว่าหยุนเฟยเถอะ...”
“หยุนเฟย? ฮ่า ฮ่า ฟังดูช่างเปี่ยมด้วยความรู้สึกอันเสรีนัก”
ไป๋หยุนเฟยดื่มน้ำชาลงไปอีกอึกราวกับทำเช่นนี้จะช่วยละลายความรู้สึกประหม่าที่ยากจะอธิบายในใจได้ จากนั้นจึงวางถ้วยชาลงด้วยท่าทีราวกับครุ่นคิดบางอย่างก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย “จริงสิ เมิ่ง... เมิ่งเอ๋อร์... ในเมื่อท่านเป็ผู้ฝึกปรือิญญา แล้วไฉนจึงพลันป่วยไข้อย่างกะทันหันเช่นนั้นได้?”
สำหรับผู้ฝึกปรือิญญาทั้งหลาย ต่อให้ฝีมือต่ำต้อยเพียงใดก็ยังมีร่างกายที่แข็งแรงกว่าคนธรรมดามากนัก ดังนั้นอาการเจ็บป่วยทั่วไปย่อมไม่อาจทำอย่างไรได้ จึงเป็สาเหตุที่ไป๋หยุนเฟยเอ่ยปากถาม
ทันทีที่ถามจบคำ หลิวเมิ่งที่ตรงหน้าพลันเงียบงันไป กระทั่งผ่านไปเนิ่นนานจึงถอนหายใจแ่เบาก่อนจะเอ่ยปากบอก
“ข้าทุกข์ทนกับร่างกายที่อ่อนแอและอาการป่วยั้แ่เด็ก แทบจะเรียกได้ว่าเติบโตมาด้วยหม้อยา ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ไม่อาจเยียวยาได้ มิหนำซ้ำถึงกับยิ่งมายิ่งย่ำแย่ ข้ามักจะเ็ปไปทั้งร่างอย่างกะทันหันราวกับมีตะปูนับไม่ถ้วนทะลวงผ่านทั่วร่าง นับเป็ความเ็ปแสนสาหัสนัก แม้แต่หมอที่รักษายังกล่าวว่าข้าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินสิบขวบ...”
“ภายหลัง เมื่อข้าอายุแปดขวบจึงได้พบพานผู้าุโพเนจรท่านหนึ่ง ด้วยความสงสารไม่เพียงแต่ช่วยปลุกพลังิญญายังชี้แนะเคล็ดฝึกปรือิญญาแก่ข้า ช่วยให้ข้ากลายเป็ผู้ฝึกปรือิญญา จากนั้นนางจึงออกเดินทางต่อ ก่อนไปยังทิ้งเทียบยาไว้ให้ ทั้งบ่งบอกว่าหากข้าใช้ยาพร้อมกับฝึกปรืออย่างต่อเนื่องจะรักษาอาการป่วยให้หายได้”
“เมื่อข้าฝีมือสูงล้ำขึ้นร่างกายก็แข็งแรงขึ้น ยามนี้ข้าแทบจะไม่ปรากฏอาการป่วยขึ้นอีก หากว่าสามารถทะลวงผ่านด่านภูติิญญาคาดว่าเมื่อร่างข้าซึมซับพลังธาตุธรรมชาติก็จะหายจากอาการป่วยกลับเป็ปกติได้...”
“วันนี้ข้ารับประทานยาั้แ่เช้า แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดอาการป่วยกลับกำเริบขึ้น ยามนั้นทั้งร่างข้าเ็ปแสนสาหัสกระทั่งจิตใจยังว้าวุ่นสับสนมิหนำซ้ำยังเผชิญกับกลุ่มคนต่ำช้านั้นอีก หากท่านไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยอาจบางทีข้าจะสิ้นลมหายใจไปแล้วก็ได้ ครั้งนี้นับว่าข้าติดค้างบุญคุณช่วยชีวิตต่อท่าน...”
ไป๋หยุนเฟยเอนกาย เดิมทีมันคร่ำเคร่งรับฟังคำพูดหลิวเมิ่ง แต่เมื่อพลันได้ยินคำพูด‘ติดค้างบุญคุณช่วยชีวิตต่อท่าน’ ก็แทบสำลักน้ำชาพลางเอ่ยปากพร้อมกับสั่นศีรษะไม่หยุด “เอ่อ... เมิ่งเอ๋อร์ท่านยึดถือเป็จริงเป็จังเกินไปแล้ว ที่ข้ากระทำไม่ใช่เื่สลักสำคัญอันใด ข้าก็ไม่ได้ช่วยชีวิตท่าน ท่านไม่จำเป็ต้อง...”
เคราะห์ดีที่ไป๋หยุนเฟยหยุดปากกล้ำกลืนคำ‘ทดแทนด้วยร่างกาย’ลงคอได้ทันท่วงที มันรีบสำรวจตนเองในใจอีกคำรบหนึ่ง
“จำเป็ต้องทำอันใด?” ถึงกระนั้น หลิวเมิ่งที่ตรงหน้ากลับเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย
“เหอะ เหอะ ไม่มีใด ไม่มีอันใดจริงๆ อย่าได้พูดถึงเื่นี้อีกเลยเมิ่งเอ๋อร์ ไม่เช่นนั้นข้าคงอับอายแล้ว...”
เสี่ยวหนิงที่ด้านข้างไม่อาจทนดูได้อีกจึงกล่าวสอดคำ “คุณชายท่านเป็ชายชาตรี ไฉนจึงแสดงท่าทีขวยเขินยิ่งกว่าคุณหนูข้าอีก? วีรบุรุษที่โอ่อ่าผ่าเผยยามขับไล่คนเลวเมื่อคราก่อนไปที่ใดแล้ว?”
“แค่ก แค่ก แค่ก!!” ได้ยินคำพูดเสี่ยวหนิง ยิ่งทำให้ไป๋หยุนเฟยอับอายทั้งกระแอมไอไม่หยุดยั้ง
……
เมื่อคนทั้งสามเดินออกจากโรงน้ำชามาก็เป็เวลาพลบค่ำ ก่อนจะแยกทางกันหลิวเมิ่งราวกับพลันนึกเื่บางอย่างออกจึงถามไป๋หยุนเฟยอย่างยิ้มแย้ม “จริงสิ หยุนเฟยพรุ่งนี้ไปท่องชมูเาชิงฉวนที่นอกเมืองด้วยกันเถอะ! ท่านเพิ่งมาถึงเมืองชุ่ยหลิวจึงเหมาะจะไปเที่ยวชมอย่างยิ่ง ได้ยินว่าน้ำพุบนเขานั้นใสสะอาดและหอมหวานทั้งยังช่วยรักษาโรคภัยอีกด้วย!”
“โอ? วันพรุ่งนี้? พวกเราไปกันเพียงสองคน?” ไป๋หยุนเฟยพลันโพล่งถามโดยไม่ได้ตั้งใจ
ครู่ต่อมาจึงสำนึกได้ว่าไม่สมควร มันแทบอยากจะตบปากตนเองสักสองครา มิคาดว่ามันจะโพล่งคำพูดเกี้ยวพาราสีเช่นนี้ได้
“นี่ นี่! คุณชายหยุนเฟย! ท่านคิดไปไกลแล้ว ไม่คิดเลยว่าท่านจะกล้าเกี้ยวพาราสีคุณหนูข้าเช่นนี้!” เสี่ยวหนิงที่ด้านข้างกล่าวพลางแสร้งเป็ขุ่นเคือง “อีกอย่าง ท่านกลับลืมเลือนข้าเช่นนี้ได้? ข้ามีหน้าที่ปรนนิบัติคุณหนูตลอดเวลา จึงไม่อาจออกห่างจากข้างกายคุณหนูแม้เพียงชั่วครู่!”
“เสี่ยวหนิง สาวใช้ที่เลวร้ายนัก! เ้ากล่าววาจาไร้สาระอันใดกัน?!” หลิวเมิ่งเขม้นมองเสี่ยวหนิงเล็กน้อยก่อนจะมองไปยังไป๋หยุนเฟยด้วยรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์พร้อมกับใบหน้าแดงซ่าน
“ดีแล้ว ถ้าเช่นนั้นตกลงตามนี้! หยุนเฟยท่านสมควรกลับไปพักผ่อนแต่เนิ่นๆ รุ่งเช้าวันพรุ่งนี้พวกเรามาพบกันที่ประตูเมืองตะวันออก!”
ยามที่ไป๋หยุนเฟยรู้สึกตัว หญิงสาวทั้งคู่ก็ลับตาไปจากถนนแล้ว มันยืนนิ่งงันอยู่เนิ่นนานสุดท้ายจึงได้แต่ทอดถอนใจ ยามนี้มันไม่มีทางเลือกได้แต่หันหลังกลับไปยังโรงเตี๊ยมที่จองห้องเอาไว้แต่แรก
…………
ภายในโรงเตี๊ยม ไป๋หยุนเฟยนอนเหยียดกายบนเตียง ศีรษะหนุนแขนมองเพดานด้วยท่าทีเหม่อลอย แม้แต่การฝึกปรือิญญามันก็ไม่มีสมาธิกระทำ ห้วงความคิดเอาแต่ระลึกภาพเหตุการณ์ขณะพบพานหลิวเมิ่งในวันนี้ไม่หยุด
ทันใดนั้น สีหน้าไป๋หยุนเฟยพลันแปรเปลี่ยนไปพร้อมกับคิ้วขมวดมุ่น ราวกับมีเื่สำคัญใหญ่หลวงวาบขึ้นในจิตใจ
“ตัวตนของนาง... เมื่อครั้งที่อยู่ร่วมกับจางหยาง นางเรียกจางเจิ้นซานว่าท่านลุง นางมีความสัมพันธ์ใดกับตระกูลจางกันแน่?” ถึงตอนนี้ คิ้วของไป๋หยุนเฟยกลับขมวดแแ่ยิ่งขึ้น “นางสมควรทราบแล้วว่าจางหยางตายแล้ว หากว่านางมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลจางก็สมควรทราบแล้วว่าข้าเป็คนสังหารจางหยาง แต่ท่าทีของนางวันนี้...”
“หรือนางจะลืมเลือนเื่ราวของข้าไปแล้วจริงๆ? หรือว่า... นั่นเป็เพียงการเสแสร้ง? ไม่จริง ที่นางป่วยไข้ย่อมไม่ได้เสแสร้ง อีกอย่าง ข้าก็ไม่พบเห็นสิ่งใดผิดปกติ
ถ้าเช่นนั้น... หรือข้าจะกังวลเกินเหตุ? บางทีนางอาจจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลจาง ข้าจำได้ว่าท่าทีของนางต่อจางหยางนับว่าเ็าอย่างยิ่ง...”
ยามนี้ไป๋หยุนเฟยอดไม่ได้ต้องหวนระลึกถึงเหตุการณ์ที่ได้พบหลิวเมิ่งเป็คราแรก
……
“จางหยางหยุดมือ...ข้าบอกหรือยังว่า้าให้มันตาย?”
……
“อีกอย่างดูเหมือนคนผู้นี้ไม่ได้เสแสร้งเป็ไม่รู้สึกตัว อย่าว่าแต่ต่อให้มันล่วงเกินข้าก็ไม่จำเป็ต้องเอาชีวิตมัน...”
……
“อีกอย่างมันถูกเ้าเตะจนสาหัสไปแล้ว ถือว่ามันถูกลงโทษแล้วเถอะ”
……
“ฮ่าฮ่า นอกจากนี้มันได้ชดใช้แล้วด้วยผลไม้เคลือบน้ำตาลที่เพิ่งถูกเ้าทำหล่น...”
……
เมื่อไป๋หยุนเฟยครุ่นคิดถึงเื่ราวที่เกิดขึ้น ดวงตามันก็หม่นหมองลง ความรู้สึกอันแปลกประหลาดพลุ่งพล่านในใจของมัน ราวกับจะล้มล้างความคิดสงสัยในตัวหลิวเมิ่ง ล้มล้างความคิดในแง่ร้ายในใจมัน
“พรุ่งนี้... เที่ยวชม...” ไป๋หยุนเฟยหวนนึกถึงคำพูดของหลิวเมิ่งที่กล่าวก่อนแยกทางกัน “แต่ข้าจำต้องไปจากที่นี่ แม้ว่าตระกูลจางจะยังหาตัวข้าไม่พบ แต่หากรั้งอยู่ที่นี่นานไปอาจเป็อันตรายได้...”
“ดีแล้ว ถ้าเช่นนั้นตกลงตามนี้! หยุนเฟยท่านสมควรกลับไปพักผ่อนแต่เนิ่นๆ รุ่งเช้าวันพรุ่งนี้พวกเรามาพบกันที่ประตูเมืองตะวันออก!” ข้างหูไป๋หยุนเฟยราวกับได้ยินเสียงอันนุ่มนวลของหลิวเมิ่งอีกครา มันขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับภายในใจขัดแย้งกันอย่างยิ่ง
ในที่สุด...
“สนุกสนานสักวันหนึ่งเถอะ สมควรจะไม่มีปัญหาอันใด...”
