ั้แ่เด็กมู่หรงฉือก็สวมอาภรณ์ดีๆ มีอาหารให้ทานจนอิ่ม ของที่ได้พบเจอได้ใช้ล้วนเป็ของที่ดีที่สุดในใต้หล้า เติบโตมาท่ามกลางกองผ้าไหม
ตอนนี้ได้มาเห็นความสกปรก นรกบนดินของเหล่านักโทษที่ทำผิด นางพลันทะลักไปด้วยหลากความรู้สึก
ระหว่างคนด้วยกัน ชาติกำเนิดต่างกัน ศักดิ์ฐานะไม่เหมือนกัน สิ่งที่พบเจอไม่เหมือนกันก่อร่างสร้างเป็มนุษย์ในรูปแบบต่างๆ ดังนั้นความยากจนกับความร่ำรวยจึงคงอยู่ด้วยกัน สกปรกสะอาดปะปนเข้าด้วยกัน ต่ำตมสูงศักดิ์ราวกับเงาที่คอยติดตาม ดังนั้นย่อมมีคนที่ไม่พอใจกับสิ่งที่โชคชะตาให้มา เพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์จึงปีนป่ายขึ้นที่สูง ใช้ทุกวิถีทางไม่เลือกดีเลว ไม่สนใจสิ่งใด
ฉินรั่วพูดเสนอขึ้นมา “เตี้ยนเซี่ย มิสู้เรียกคนที่คอยดูแลมาสอบถามดีหรือไม่เพคะ”
มู่หรงฉือพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ไม่นานนัก ฉินรั่วก็ไปตามคนดูแลอย่างหลี่มามาเข้ามา
เรือนชุนอู๋เป็สถานที่ดำมืดที่ถูกคนบนโลกหลงลืมไป บางครั้งจะมีคนในวังมาสักที ฐานะสูงที่สุดก็คือข้าหลวงที่อยู่ข้างกายเฟยผินมาสอบถาม วันนี้กลับเป็องค์รัชทายาทเดินทางมาด้วยตนเอง หลี่มามาทั้งใทั้งดีใจทั้งประหม่า ก้มหน้าไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา พูดอย่างนอบน้อมให้เกียรติ “ที่นี่สกปรกไม่อาจทานทน องค์รัชทายาทสูงส่งไม่ควรจะมายืนในสถานที่อันสกปรกเช่นนี้ ขอเชิญองค์รัชทายาทไปที่ห้องพักผ่อนของหนูปี้เถิด หนูปี้จะพยายามดูแลอย่างดีที่สุดเพคะ”
“ไม่จำเป็” ฉินรั่วตอบแทนเตี้ยนเซี่ย วางท่าเป็คนโปรดข้างกายองค์รัชทายาท ถามด้วยท่าทางของผู้สูงศักดิ์ “ได้ยินมาว่าเมื่อวันก่อนในเรือนชุนอู๋มีคนตายหรือ?”
“เรือนชุนอู๋ไม่เหมือนกับด้านนอก คนที่นี่มีความรู้สึกไม่ดีโอบล้อมอยู่ มีคนตายจึงเป็เื่ปกติเพคะ” หลี่มามาตอบกลับไปอย่างครบถ้วน
ฉินรั่วมองไปทางเตี้ยนเซี่ย ก่อนจะพูดต่อ “เมื่อคืนมีขันทีลากศพสองศพออกไป สองศพนั้น...”
“เตี้ยนเซี่ยอยากจะถามว่าเป็ไป๋ไฉเหรินกับโม่กุ้ยเหรินที่ถูกลดฐานันดรเมื่อยี่สิบปีก่อนใช่หรือไม่?” หลี่มามาค้อมตัว ใบหน้าต่ำลง ดูนอบน้อมมาก
“ไป๋ไฉเหรินกับโม่กุ้ยเหรินเป็เฟยผินที่เสด็จพ่อเคยให้ความเอ็นดูมาก่อนหรือ?” สายตาของมู่หรงฉือกวาดตามองบรรดาศพเดินได้ที่เดินไปเดินมาช้าๆ
ครั้นคนที่ถูกขังอยู่เ่าั้พบว่ามีบุรุษสวมชุดแพรมา ดวงตาว่างเปล่าพลันเปล่งประกายขึ้นมา ภายในนั้นแฝงไว้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นกับความหวังที่ไม่อาจเป็จริง
หลี่มามาตอบกลับ “กราบทูลเตี้ยนเซี่ย สามัญชนไป๋และสามัญชนโม่เคยปรนนิบัติฮ่องเต้มาก่อนเพคะ ถูกขังอยู่ที่นี่ได้ยี่สิบปีแล้ว เมื่อวานขันทีสองคนพบพวกนางตายอยู่ที่หลังเรือนของเรือนชุนอู๋ อีกทั้งยังตายมาแล้วหลายวัน ครั้นหนูปี้รับทราบรู้เื่จึงรีบไปรายงานกับหน่วยองครักษ์ฝ่ายใน ตอนเย็นเมื่อวาน พวกองครักษ์ฝ่ายในจึงลากศพไปทิ้งเพคะ”
ฉินรั่วถาม “ตายไปแล้วหลายวัน เหตุได้ถึงเพิ่งมาพบ?”
หลี่มามาพูดไม่ออก บนใบหน้ามีความหวาดกลัวแผ่ซ่านอออกมา
ไม่จำเป็ต้องอธิบาย มู่หรงฉือก็เข้าใจ คนในเรือนชุนอู๋จะเป็จะตายใครจะสนใจกันเล่า?
คนที่อยู่ในนี้ ไม่ได้ออกไปพบเจอใครย่อมไม่มีทางได้รับความเอาใจใส่ หากวันหนึ่งหายตัวไปก็สามารถคาดเดาได้เลยว่า ไม่ตายไปแล้วก็คงป่วยหนักจนลงจากเตียงไม่ได้ ตอนมีชีวิตอยู่ก็เหมือนศพเดินได้ ตายก็ตายไปอย่างโดดเดี่ยวสิ้นหวัง
จนกระทั่งพบศพ คนในเรือนถึงค่อยมารายงานให้เอาศพออกไปเท่านั้น
ถึงแม้เื่นี้จะเป็วิธีการปกติของเรือนชุนอู๋ หน่วยองครักษ์ฝ่ายในไม่มีทางสอบถาม ทว่าตอนนี้เมื่อยู่ต่อหน้าองค์รัชทายาท หลี่มามาที่เป็ผู้ดูแลจะกล้าพูดความจริงได้อย่างไร?
“หลายปีมานี้มีคนหรือเื่ใดผิดปกติหรือไม่?” มู่หรงฉือถาม เห็นคนๆ หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้เข็นที่ทำขึ้นอย่างเรียบง่ายกำลังถูกคนเข็นออกไป
“่นี้...นอกจากสามัญชนไป๋กับสามัญชนโม่ที่ตายไป ก็ไม่มีเื่อื่นแล้วเพคะ ปกติทุกอย่าง” หลี่มามาตอบ
ผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เข็นคือสตรีวัยกลางคนที่สวมชุดสีเทาดำผมขาว ผ้ายาวสีเดียวกันปกคลุมศีรษะปิดใบหน้า เผยออกเพียงหน้าผากเงากับดวงตาขาวดำทั้งสอง บรรยายได้ว่าสะอาดสะอ้าน เป็ดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิที่บานท่ามกลางบ่อน้ำที่ทรุดโทรม เป็ดอกบัวขาวในโคลนตม
คนที่เข็นรถเป็สตรีอายุพอๆ กับนาง หวีผมสะอาดสะอ้าน เส้นผมสีดำ สวมชุดผ้าหยาบสีเทาดำ
พวกนางเหมือนรู้สึกถึงสายตาที่มองมา จึงหันกลับมามอง
มู่หรงฉือรู้สึกว่าพวกนางเป็ส่วนที่แปลกประหลาดของเรือนชุนอู๋
อากาศร้อนถึงเพียงนี้ สตรีวัยกลางคนผู้นั้นกลับใช้ผ้ายาวมาคลุมศีรษะกับใบหน้า แบบนี้ไม่แปลกมากหรือ?
สายตาของพวกนางไม่เหมือนกับคนทั่วไป เป็แววตาที่หมดอาลัยตายอยาก
เห็นเตี้ยนเซี่ยมองไปยังสองคนนั้น หลี่มามาก็รีบอธิบาย “เตี้ยนเซี่ย คนที่อยู่บนรถเข็นผู้นั้นคืออันกุ้ยเหรินที่เข้าวังเมื่อสิบห้าปีก่อน ไม่สิ สามัญชนอัน”
ฉินรั่วถาม “คนที่เข็นรถเข็นนั่นเป็ใครหรือ?”
“คนที่เข็นรถเข็นคนนั้น....คงจะเป็บ่าวรับใช้ดูแลข้างกายของสามัญชนอันที่พามาด้วยเพคะ” หลี่มามาตอบ
มู่หรงฉือพอจะจำอันกุ้ยเหรินได้ แต่ตอนนั้นนางยังเล็กนัก เื่เกิดมาได้หลายปีถึงได้ยินคนในวังพูด
นางเกิดมามารดาก็ตกเืแล้วตายจากไป เดิมทีเสด็จพ่ออยากจะยกนางให้กุ้ยเฟยสักคนมาเลี้ยงดู แต่ว่าเลือกไปเลือกมากลับรู้สึกว่าเฟยผินที่อยู่วังหลังไม่มีใครพึ่งพาได้ ดังนั้นเสด็จพ่อจึงเลี้ยงนางด้วยพระองค์เอง ่นั้น อันกุ้ยเหรินมักจะไปเยี่ยมนางที่ยังอยู่ในผ้าอ้อม เสด็จพ่อเห็นอันกุ้ยเหรินเลี้ยงดูนางอย่างดี มีความเป็แม่ จึงมอบความโปรดปรานให้อันกุ้ยเหรินอยู่หลายครั้ง
ในปีที่มู่หรงฉืออายุสามขวบ นางมักจะป่วยบ่อยๆ อีกทั้งยังท้องเสียไม่หยุด เสด็จพ่อสั่งให้ตรวจสอบ สุดท้ายตรวจพบหลักฐานชี้ไปที่ตัวอันกุ้ยเหริน หลังจากความจริงเปิดเผย เสด็จพ่อจึงถอดยศอันกุ้ยเหรินแล้วส่งตัวนางเข้ามาในเรือนชุนอู๋ ไม่สามารถออกจากเรือนได้ตลอดกาล
นางจำได้ นางกำนัลข้างกายของอันกุ้นเหรินมีนามว่าหลิวเหมย
ตอนนั้น อันกุ้ยเหรินพยายามวางแผนทำร้ายนางแล้วโยนความผิดให้กับเฟยผินคนอื่นๆ
วันนี้ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในฤดูร้อนที่แสงแดดเจิดจ้า อันกุ้ยเหรินคงเต็มไปด้วยความแค้นใช่หรือไม่?
มู่หรงฉือมองไปทางอันกุ้ยเหริน ในแววตาสีดำนั้นนางมองเห็นความนิ่งสงบ ไม่แก่งแย่งชิงดีกับคนในใต้หล้า
ท่ามกลางสถานที่อันสกปรกแต่กลับใช้ชีวิตอย่างสะอาดสะอ้านได้เช่นนี้ก็นับว่าเป็เื่ที่หาได้ยาก
“พาเปิ่นกงไปที่ห้องของสามัญชนไป๋และสามัญชนโม่” มู่หรงฉือพูดเสียงเย็น
“เตี้ยนเซี่ย ท่านก็รู้ว่าที่นี่ไม่อาจเทียบได้กับตำหนักด้านนอก...เตี้ยนเซี่ยสูงศักดิ์ ไม่อาจเข้าไปยังที่สกปรกเช่นนั้นได้” หลี่มามาพูดโน้มน้าวอย่างลำบากใจ วันนี้องค์รัชทายาทสมองได้รับการกระทบกระเทือนหรืออย่างไรกัน?
บุกมาถึงเรือนชุนอู๋ที่ตัดขาดจากใต้หล้า ทั้งยัง้าเข้ามาดูด้านในเรือนอีก
ด้านในเรือนชุนอู๋มีสามห้องพักใหญ่ๆ หนึ่งห้องสามารถพักได้ยี่สิบสามสิบคน สภาพเละเทะและสกปรก อากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอับเข้มข้นจนน่ากลัว
สถานที่อัปมงคลเช่นนั้นกลับต้องให้เตี้ยนเซี่ยมาเห็น นางที่เป็ผู้ดูแลไม่แน่ว่าอาจจะโดนลงโทษ
“ให้หนูฉายเข้าไปแทนเตี้ยนเซี่ยเถิดเพคะ” ฉินรั่วส่งสายตาไปทางเตี้ยนเซี่ย สภาพแวดล้อมในเรือนคงยิ่งน่าพรั่นพรึง ไม่ใช่สถานที่ที่คนอย่างองค์รัชทายาทควรจะเข้าไป
“เปิ่นกงเข้าไปเอง พวกเ้าตามเข้ามาให้หมด” มู่หรงฉือเดินนำเข้าไปก่อน
หลี่มามาปวดหัว แอบภาวนาต่อ์ : เตี้ยนเซี่ยได้โปรดอย่าลงโทษหม่อมฉันเลย!
สามัญชนไป๋ สามัญชนโม่พักอยู่ในห้องพักที่สอง มู่หรงฉือยืนอยู่หน้าประตู พลันมีกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงพุ่งเข้ามา
กลิ่นอับ กลิ่นขยะเหม็นคลุ้งรวมกับกลิ่นเศษอาหารบูดเน่าผสมเข้าด้วยกันจนกลายเป็กลิ่นเหม็นแปลกๆ ที่ไม่ได้ระบายออกไปนาน ตรงกำแพงของทั้งสามห้องเป็เตาหิน เสื่อฟางผืนหนึ่งทำเป็ที่นอนสำหรับหนึ่งคน เหา แมลงสาบ หนูเหล่านี้สามารถเห็นได้จากในทุกๆ ที่ แสงแดดส่องมาจากทางเดียวคือผ่านหลังคาที่มีรอยรั่ว มีเศษฝุ่นลอยคว้างอยู่เต็มไปหมด
ทั้งสกปรก เลอะเทอะ และเต็มไปด้วยสิ่งของสกปรกเต็มพื้นไปหมด
บ้านสุนัขยังดีกว่าที่นี่หลายเท่า
มู่หรงฉือขมวดคิ้วแน่น ฉินรั่วอดเอาผ้าเช็ดหน้ามาปิดจมูกไม่ได้ พลางมองค้อนหลี่มามา
หลี่มามาใจแป้ว รู้สึกผิดจนตัวสั่นไปทั้งร่าง “หนูปี้จะสั่งให้คนมาทำความสะอาดดีๆ เพคะ...หนูปี้ไม่กล้าเกียจคร้านแล้ว...ขอเตี้ยนเซี่ยโปรดเมตตา”
นางกล่าวขอความเมตตาไม่หยุด มู่หรงฉือพูดอย่างรำคาญ “ที่นอนของสามัญชนไป๋กับสามัญชนโม่อยู่ที่ไหน?”
ในที่สุดหลี่มามาก็รู้สึกว่าตนมีประโยชน์ขึ้นมา นางเดินออกไปแล้วเข้าไปในห้องอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะชี้ไปยังตำแหน่งที่นอนสองที่
ฉินรั่วพูดเตือน “เตี้ยนเซี่ยระวังด้วยเพคะ”
มู่หรงฉือเดินเข้าไปพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูก มองไปทางที่นอนสองที่นั้น
ผ้าบางๆ สีเทากองอยู่บนเสื่อ มีฝุ่นจับอยู่เต็ม ริมกำแพงวางกล่องเครื่องสำอางเก่าๆ กล่องหนึ่งซึ่งบัดนี้ด้านในมีแต่ความว่างเปล่า คาดว่าของด้านในคงจะถูกคนที่นี่แย่งชิงไปแล้ว ยึดเอาของคนอื่นมาเป็ของตัวเอง นอกจากนี้ก็ไม่มีอย่างอื่นแล้ว
นางตรวจสอบอย่างละเอียด ไม่พบเห็นรอยเืแม้แต่น้อย
ฉินรั่วหยิบไม้ขึ้นมาแท่งหนึ่งมาเกี่ยวผ้าห่มผืนเก่าขึ้น ก็ยังไม่พบของอื่นแต่อย่างใด
มู่หรงฉือยืนอยู่ตรงหน้าเตาหิน ยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้ฉินรั่ว
ฉินรั่วหยิบเส้นผมยาวๆ เส้นหนึ่งออกมาจากใต้ผ้าห่ม เหมือนกับเส้นผมสีขาวที่ได้มาเมื่อวาน
ส่วนเส้นผมสามัญชนไป๋กับสามัญชนโม่ล้วนเป็สีดำ
ครั้นหลี่มามาที่ในที่สุดก็ได้พาองค์รัชทายาทออกไปจากห้อง กล้ามเนื้อทั้งตัวที่เกร็งไปหมดก็ผ่อนคลายลงได้สักที
ดวงตาคู่หนึ่งที่ซ่อนอยู่ในมุมจับจ้องไปยังพวกองค์รัชทายาทสองคนที่กำลังเดินจากไป
ดวงตาคู่นี้หรี่ลงมาอย่างโเี้
เมื่อกลับไปถึงตำหนักบูรพา ฉินรั่วเห็นเตี้ยนเซี่ยนั่งเหม่ออยู่ในห้องตำราราวครึ่งชั่วยาม จึงอดที่ถามออกมาไม่ได้ “เตี้ยนเซี่ย พบอะไรเข้าหรือเพคะ?”
“สามัญชนไป๋ สามัญชนโม่น่าจะถูกคนร้ายลักพาตัวไปกลางดึก จากนั้นถูกสูบเืออกมาจนหมด” มู่หรงฉือจ้องเส้นผมสีขาวสองเส้นที่เหมือนกันบนผ้าเช็ดหน้าอย่างสงสัย
“คนร้ายอยู่ในเรือนชุนอู๋หรือเพคะ”
“คงจะใช่”
“การตายของสามัญชนไป๋และสามัญชนโม่เกี่ยวข้องกับเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อนหรือไม่เพคะ” ฉินรั่วยิ่งมึนงงมากขึ้นเรื่อยๆ
มู่หรงฉือไม่ได้ตอบคำถามของนาง เพียงจ้องไปยังเส้นผมสีขาวสองเส้นนั้นด้วยดวงตาใสกระจ่างราวน้ำเย็นในูเา
...
วังหลวงในยามค่ำคืนราวกับสัตว์ร้ายขนาดมหึมาที่กำลังนอนหลับใหล ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงัดประหนึ่งความตาย
เปรี้ยงๆ...เปรี้ยงๆ...
เสียงดังขึ้นจากปลายฟ้า สายฟ้าผ่าลงมา เส้นสายฟ้าแยกแตกออกมาเหมือนกิ่งไม้ พร้อมกับแสงกระพริบวาบอันน่ากลัว
ทั่วทั้งท้องฟ้าและพื้นดินเกิดความวุ่นวายขนานใหญ่ ท่ามกลางความมืด ฟ้าผ่าลงมาไม่หยุด ราวกับจะปลุกคนที่นอนหลับอยู่ให้ตื่นขึ้นมา ฟ้าผ่าลงมาอย่างรุนแรงราวท้องฟ้าจะแยกออกจากกัน
ไม่นาน ฝนเม็ดใหญ่ก็เทลงมา เป็พายุฝนอันรุนแรงดังซ่าๆ
ในวังหลวงขนาดใหญ่มีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย มีคนลุกมาปิดหน้าต่าง มีคนพลิกตัวนอนต่อ มีคนหลบไปอยู่ในมุมตัวสั่น
ฝนตกฟ้าร้องในครั้งนี้ตกติดต่อกันกว่าหนึ่งชั่วยาม ครั้นท้องฟ้าสว่าง บรรดาข้าหลวงในวังก็ตื่นขึ้นมาปรนนิบัติเ้านาย
นางกำนัลคนหนึ่งกางร่มเดินเร็วๆ ท่ามกลางสายฝนตกพรำๆ รีบนำดอกไม้ที่เซียวกุ้ยเฟย้าไปที่ตำหนักชิงหลวน
ทันใดนั้น ฝีเท้าของนางพลันหยุดลง ตามองไปยังต้นไม้ที่อยู่ทางด้านซ้ายของทางไปวังหลวงนิ่งค้าง
“กรี๊ดดดด”
นางกำนัลกรีดร้องเสียงแหลมออกมา เสียงโหยหวนอย่างน่าสงสารดังผสานท่ามกลางสายฝน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้