30.
2 ปีผ่านไป
“ทำไมรายชื่อมึงไปอยู่หน้าสุดเลยว่ะ”
“ก็กูได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง”
“จ้า หมั่นไส้จริง” ขนุนหันมาพูดกับผมพร้อมกับเบ้ปากใส่ด้วยความหมั่นไส้ เราทั้งสองคนกำลังยืนดูรายชื่อลำดับการนั่งเรียงกันตอนถ่ายรูปรวม ผมได้นั่งหน้าสุดติดกับคณบดีเพราะผมเป็คนเดียวในคณะที่ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง
การเรียนตลอดสี่ปีของผมนั้นมันไม่ง่ายเลย ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดว่าจะจบเกรดเท่าไหร่ก็คงไม่สำคัญ แต่พอผมตั้งใจเรียนอย่างหนัก และผลที่ได้มันออกมาดีมาก ๆ มันก็ทำให้ผมรู้สึกภูมิใจกับตัวเองที่ผ่านมาได้ขนาดนั้น ถึงแม้ว่าระหว่างทางมันจะมีตะกุกตะกักไปบ้าง แต่สุดท้ายผมก็ผ่านมันมาได้อย่างดีเลย
ผมเคยสงสัยว่าการเรียนในมหา’ลัยสี่ปีมันจะนานแค่ไหน แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วมันไม่ได้นานเลย พอผมเริ่มสนุกกับการได้ใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย เวลาก็เริ่มเดินเร็วมากขึ้นจนผมรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็วจริง ๆ ผมรู้สึกเหมือนเมื่อวานเพิ่งเป็วันที่ผมเข้ามาเรียนที่นี่วันแรก แต่มาวันนี้ผมก็กำลังจะเรียนจบแล้ว ใจหายเหมือนกันแหะ
วันนี้เป็วันที่ทางคณะนัดมาถ่ายรูปรวมกันก่อน ส่วนวันรับปริญญาจริง ๆ จะเกิดขึ้น่ต้นปีหน้า ที่จะต้องมีการถ่ายรูปรวมกันก่อนเพราะมีเพื่อนบางคนทีได้ทุนไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ บางคนก็ต้องกลับไปช่วยงานที่บ้านที่ต่างจังหวัด ทางคณะก็เลยอยากถ่ายรูปรวมก่อนที่นักศึกษาจะแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง
“ยินดีด้วยนะ” ในระหว่างที่ผมกำลังนั่งจดผมให้ขนุนอยู่นั้น ใครบางคนก็เดินตรงเข้ามาหาผมพร้อมกับช่อดอกไม้ขนาดพอดีมือ เขายื่นมันมาให้ผมก่อนจะส่งยิ้มมาให้ ซึ่งผมก็ยื่นมือไปรับดอกไม้นั้นมาเพื่อไม่ให้เสียมารยาท
“ไม่เห็นต้องเอามาให้เลย”
“เราตั้งใจั้แ่แรกแล้วว่ายังไงก็ต้องให้ดอกไม้แกก่อนเรียนจบ” น้อยหน่าตอบกลับมา เื่ต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้น ผมปล่อยให้มันผ่านไปโดยไม่เก็บมาใส่ใจ อะไรที่น้อยหน่าและเพื่อนของมันเคยทำกับผมไว้ ตอนนี้ผมก็ลืมไปหมดแล้ว
ผมเพิ่งค้นพบว่าตัวเองเป็คนที่ให้อภัยคนอื่นอยู่เสมอ แต่กลับมีคนหนึ่งที่ผมไม่เคยคิดจะให้อภัยเลยก็คือลูกพีช หลังจากที่เขากลับมาจากการพักการเรียน เขาก็ยังคงมองผมด้วยสายตาที่ผมไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ มันเหมือนกับว่าเขาไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็คนผิด เขากลับมาเรียนพร้อมกับรุ่นน้องและได้ทำการย้ายไปเรียนที่ภาคอื่น ซึ่งผมคิดว่ามันก็ดีเหมือนกัน เพราะถ้าต้องให้มาเจอกันในห้องภาคอีก มันก็คงกระอักกระอ่วนน่าดูเลย
“จบแล้วจะไปทำอะไรต่อเหรอ” ผมหันไปถามน้อยหน่าในตอนที่บรรยากาศรอบ ๆ ตอนนี้เริ่มเดดแอร์ ซึ่งน้อยหน่าก็ทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะตัวเดียวกันกับผม แต่เป็ฝั่งตรงข้าม ส่วนขนุนก็มองหน้าน้อยหน่าด้วยสายตาที่จิกกัดเต็มที่
แม้เวลาจะผ่านไป แต่ขนุนก็ยังไม่เคยเปลี่ยน
“เราอยากออกไปหางานทำด้วยตัวเองดูก่อน ถ้าหาไม่ได้ก็ค่อยกลับไปช่วยงานที่บ้าน แต่จริง ๆ ก็แอบอิจฉาแกเหมือนกันนะ พอเรียนจบแล้วก็มีทางไปทันทีเลย” น้อยหน่าหันมาพูดกับผมก่อนจะส่งยิ้มมาให้
“ถ้ามึงเป็คนดีกว่านี้ มึงก็อาจจะมีโอกาสเหมือนเพื่อนกู” คราวนี้เป็ขนุนที่พูดออกมา มันยกมือขึ้นกอดออกและเชิดหน้าใส่น้อยหน่า ซึ่งนั่นก็ทำให้น้อยหน่าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“จนเรียนจบแล้วมึงก็ยังไม่เลิกกัดกูอีกเหรอ อีขนุน”
“กูจะตามจิกมึงยันลูกบวชเลย เอาดิ”
“มึงเป็ไก่หรือไง”
“ไม่เป็แรดเหมือนมึงก็แล้วกัน”
“อีนี่!”
“เอ่อ พอเถอะ” ผมยกมือขึ้นห้ามหลังจากที่มันทั้งสองคนแทบจะลุกขึ้นมาตบกันอยู่แล้ว หลังจากนั้นทั้งสองคนก็หันหน้าหนีกันไปคนละทางจนสุดท้ายผมต้องเผลอหัวเราะออกมานิดหน่อย
ผมเคยถามขนุนว่าทำไมมันถึงเกลียดน้อยหน่ามากขนาดนั้น ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วผมก็เป็คนที่ถูกกระทำ ไม่ใช่มัน ขนุนมันบอกว่าตอนปีหนึ่ง น้อยหน่าเคยเรียนภาคพืชสวน และมันสองคนก็สนิทกันมากจนคนในภาคชอบเรียกมันว่าเป็ฝาแฝดกัน แต่พอขึ้นปีสอง น้อยหน่าก็เปลี่ยนมาเรียนภาคของผมแทน น้อยหน่าไปมีเพื่อนกลุ่มใหม่เป็เพื่อนที่คบกันอยู่ตอนนี้ มันเลยทำให้ขนุนไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ สรุปง่าย ๆ ก็คือขนุนมันงอนที่น้อยหน่าไปมีเพื่อนใหม่
แอบน่าเสียดายเหมือนกันที่ความสัมพันธ์ของสองคนนี้จบลงด้วยการที่มันมานั่งจิกกัดกันแบบนี้ แต่ก็อย่างว่าแหละ ผมคงไม่เข้าใจความรู้สึกของขนุน ผมก็ไม่สามารถไปตัดสินอะไรแทนมันได้ ผมเชื่อว่าลึก ๆ แล้วขนุนมันก็คงเป็ห่วงน้อยหน่าในฐานะเพื่อนคนหนึ่งเหมือนเดิม แต่มันแค่แสดงออกไม่เก่งเท่านั้นเอง
หลังจากที่แยกพวกมันทั้งสองคนออกจากกันเรียบร้อยแล้ว ผมกับขนุนก็เดินออกมายังบริเวณสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ของคณะที่ตอนนี้มีการจัดเตรียมซุ้มสำหรับถ่ายรูปไว้ให้พวกเราไปถ่ายรูปกันได้ มีผู้คนในชุดครุยเยอะมากกำลังถ่ายรูปเล่นกันอยู่ในสวนดอกไม้ และก็ค่อนข้างโชคดีที่วันนี้แดดไม่แรงมากเท่าไหร่
“ถ่ายรูปกันไหม” ใครบางคนเดินมาที่ด้านหลังของพวกเราก่อนจะเอ่ยขึ้น พอผมหันไปมองก็พบกับผู้ชายคนหนึ่งที่ใส่ชุดครุยคล้าย ๆ กับผม แต่ต่างกันตรงที่ชุดครุยของเขาเป็ชุดครุยสำหรับนักศึกษาปริญญาโท
พี่อูน
ตลอดระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา ผมมีพี่อูนคอยเป็ที่ปรึกษาให้กับทุกเื่จนทำให้ผมเรียนผ่านมาด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ส่วนเขาก็เรียนปริญญาโทอยู่ที่คณะ ผมเจอเขาแทบจะทุกเช้าที่มาเรียนเลยก็ว่าได้
“พี่อูนจบปริญญาโทแล้วเหรอเนี่ย” ขนุนหันไปเอ่ยทักพี่อูน ผมจำได้ว่าวันที่พี่อูนเขารับปริญญาเมื่อสองปีที่แล้ว ผมก็ไปถ่ายรูปกับเขาเหมือนกัน แล้วพอวันนี้ได้เห็นเขาใส่ชุดครุยอีกครั้ง รู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปตอนนั้นเลย
“มาถ่ายรูปกันเถอะพวกเรา ไหน ๆ ก็เรียนจบพร้อมกันแล้ว” พี่อูนพูดพร้อมกับเดินอ้อมมายืนด้านหลังของเรา ก่อนที่เขาจะชี้ไปที่เพื่อนเขาที่กำลังถือกล้องไว้ในมือ
พี่อูนลากผมกับขนุนไปถ่ายรูปตามซุ้มต่าง ๆ จนเขาพอใจแล้ว แต่ขนุนมันยังอยากถ่ายรูปต่อ มันเลยลากเพื่อนพี่อูนไปถ่ายรูปให้มันต่ออีก ส่วนผมกับพี่อูนก็มานั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ใกล้ ๆ กับจุดที่ขนุนถ่ายรูปอยู่
่นี้เป็่หน้าหนาวที่อากาศกำลังดี ไม่ได้หนาวมาก แต่ก็ไม่ร้อนจนเกินไป ดอกไม้ที่ปลูกอยู่ในสวนตอนนี้ก็เป็พวกดอกไม้ที่บานได้ดีใน่อากาศหนาว ทำให้บรรยากาศตอนนี้ดีสุด ๆ ไปเลย ลมเย็น ๆ ที่พัดผ่านไปมา วิวข้างหน้าเป็สวนดอกไม้ที่กำลังแข่งกันบานและส่งกลิ่นหอม ผมได้แต่มองภาพด้านหน้าแล้วก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
“เวลาผ่านไปเร็วเหมือนกันเนอะ แป๊บเดียว เราสองคนก็เรียนจบกันแล้ว” พี่อูนหันมาพูดกับผม เขานั่งกอดเข่าแล้วมองตรงไปด้านหน้าอย่างเลื่อนลอย ซึ่งผมก็มองตามเขาไปและปล่อยใจไปกับบรรยากาศตรงหน้า
“ผมยังเห็นภาพที่พี่ชอบเดินตัวเปื้อน ๆ ไปมาในคณะอยู่เลย”
“พี่จำได้เลยว่าสมัยนั้นพี่ต้องซักผ้าด้วยมือตลอด ไม่งั้นเครื่องซักผ้าพังแน่” พี่อูนตอบกลับก่อนจะหลุดขำออกมา พี่อูนมักจะเป็คนที่เวลาเขาทำงาน เขาจะไม่ค่อยกลัวสกปรกเท่าไหร่ แล้วเขาก็มักจะชอบใส่เสื้อสีขาวอีกด้วย
“คิดถึงตอนนั้นเลย”
“ใช่ คิดถึงไอ้ปรงด้วย ไม่รู้มันเป็ยังไงบ้าง”
“…”
พอพี่อูนพูดถึงพี่ปรงขึ้นมา ผมก็เบือนหน้าไปมองทางอื่นทันที ยิ่งพอมานั่งอยู่ตรงนี้ก็ยิ่งทำให้ภาพในอดีตมันชัดเจนยิ่งขึ้น พี่ปรงเขาเคยบอกความรู้สึกของตัวเองกับผมที่ตรงนี้ ตรงที่ผมนั่งอยู่กับพี่อูนตอนนี้ก็คือตรงที่พี่ปรงเคยลากผมมา ผมยังจำวันนั้นได้ดี บรรยากาศรอบ ๆ ก็จะประมาณนี้ เพียงแต่ว่าตอนนั้นมีแค่ผมกับเขาแค่สองคน
“ไม่ได้คุยกับมันเลยเหรอ” พี่อูนเห็นว่าผมเงียบไปนาน เขาก็เลยถามขึ้นอีกรอบ ซึ่งผมก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มออกมาแห้ง ๆ พร้อมกับพยักหน้ารับ ไม่ใช่แค่พี่อูนที่ไม่รู้ว่าตอนนี้พี่ปรงเป็ยังไงบ้าง ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
“ก่อนหน้านี้เห็นเขาบอกว่าต้องทำวิจัย ก็เลยไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่”
“แสดงว่ามันก็ใกล้จบแล้วดิ”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ”
“พี่ไม่ได้คุยกับมันมาสักพักใหญ่ ๆ แล้ว พี่นึกว่าวันนี้มันจะมาซะอีก” พี่อูนตอบกลับมาก่อนจะถอนหายใจออกมาพร้อมกับผม ลักษณะของเราสองคนตอนนี้เหมือนคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังเลยแหะ
อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าสุดท้ายแล้วผมกับพี่ปรงก็ไปไม่รอดนะ มันเป็แค่่เวลาที่ยากลำบากที่สุดเท่านั้นเอง พี่ปรงเขายุ่งอยู่กับการเรียนมากจนเราแทบไม่ได้คุยกัน แล้ว่นี้ผมก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวอะไรหลาย ๆ อย่าง เพราะผมเพิ่งจะเรียนจบ มันเลยทำให้เราแทบไม่ได้คุยกันเลยในแต่ละวัน แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็ความผิดใครทั้งนั้น เวลาเราแค่ไม่ตรงกัน
“ผมก็ไม่ได้คุยกับเขามาอาทิตย์นึงแล้วครับ”
“ได้บอกมันหรือยัง”
“พี่หมายถึงเื่นั้นเหรอครับ”
“ใช่”
“ยังเลย ผมยังหาโอกาสบอกไม่ได้” ผมตอบกลับไปก่อนจะถอนหายใจออกมา พี่อูนยื่นมือมาบีบไหล่ผมเบา ๆ เป็การให้กำลังใจ หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปหาขนุน เพราะขนุนมันมาเรียกให้พี่อูนไปถ่ายรูปกับมันและเพื่อนของมัน
ที่ตรงนี้จึงเหลือแค่ผมคนเดียว ผมแทบไม่มีโอกาสได้เข้ามาในสวนดอกไม้นี้เลย ปกติแล้วเขาไม่ได้เปิดให้ใครเข้าก็ได้ แต่พอวันนี้ได้กลับมาเห็นบรรยากาศเดิม ๆ ความทรงจำที่ผมเคยมีกับพี่ปรงก็วนกลับมา พี่ปรงเขาไม่ได้รับปริญญาตอนที่เขาเรียนจบ ทำให้ผมกับเขาไม่เคยถ่ายรูปคู่กันเลย สิ่งเดียวของพี่ปรงที่ผมมีก็คือต้นไม้ที่เขาซื้อให้
ตอนนี้ต้นปรงมันโตขึ้นมากจนผมต้องย้ายมันไปไว้ในกระถางที่ใหญ่กว่าเดิม มันเริ่มหนักจนผมไม่สามารถอุ้มได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ผมชอบถ่ายรูปไปอวดพี่ปรงอยู่บ่อย ๆ แต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยถามถึงมันอีกเลย
ทำไมบรรยากาศมันชวนให้ผมเศร้าแบบนี้
“มีอะไรจะบอกพี่เหรอ” เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูผมจนผมสะดุ้งไปนิดหน่อย แต่พอหันไปมองก็พบว่าคนที่ทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ผมน่าใกว่าเยอะ ไม่รู้ว่าผมเผลออ้าปากกว้างแค่ไหน แต่ตอนนี้ในหัวผมมีแต่คำว่ามาได้ยังไงเต็มไปหมด
พี่ปรง?
ผมใจนพูดอะไรไม่ออก แต่พอหันทางซุ้มถ่ายรูปที่ตอนนี้พี่อูนกับขนุนกำลังมองมาพร้อมกับส่งเสียงแซ็วจนทำให้ผมรู้เลยว่ามันต้องเป็แผนของใครสักคนแน่ ๆ ไม่รู้ว่าแอบไปคิดแผนแบบนี้กันตอนไหน แล้วพี่อูนก็มาชวนผมคุยเหมือนว่าตัวเองโดนพี่ปรงทิ้งไป ส่วนผมก็ดันคล้อยตามเขาซะด้วยนะ
“พี่มาได้ไง แล้วพี่มาั้แ่เมื่อไหร่ ทำไมพี่ไม่เห็นบอกผมเลย” ผมเอ่ยถามพี่ปรงด้วยความลุกลี้ลุกลน ทไมพี่ปรงเขาถึงมาอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ ผมยื่นมือไปจับตัวเขาเพื่อให้แน่ใจว่าเขาคือพี่ปรงตัวเป็ ๆ หรือเปล่า ผมไม่ได้คิดถึงเขาจนคิดไปเองว่าเขามาใช่ไหม แล้วเขาก็หัวเราะออกมาให้กับท่าทางแบบนั้นของผม
“พี่จะพลาดงานสำคัญของคนสำคัญได้ยังไงล่ะ”
“แล้วพี่หายไปไหนมา ทำไมพี่ไม่โทรมา หรือส่งข้อความมาบอกผมเลย ผมนึกว่าพี่จะทิ้งผมไปแล้วซะอีก” ผมตอบกลับไปก่อนจะก้มหน้างุดลงมองมือตัวเอง หลังจากนั้นพี่ปรงเขาก็ยื่นมือมาจับมือผมไว้
“โทรศัพท์พี่หาย แล้วพี่ก็ยุ่งอยู่กับเล่มวิจัย เลยไม่มีเวลาไปซื้อโทรศัพท์ใหม่ พี่เพิ่งส่งเล่มงานวิจัยไปเมื่อวานก่อนเอง แล้วพี่ก็รีบขึ้นเครื่องมาที่นี่เลยนะ” พี่ปรงตอบกลับมา
“พี่น่าจะบอกกันหน่อย”
“จริง ๆ พี่ก็ยุ่งหลายเื่เลย่นี้ พี่เพิ่งยื่นจบไป”
“แสดงว่าพี่ก็ไม่ต้องกลับไปแล้วเหรอ”
“ไม่เชิง” พี่ปรงตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป เขาเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เขาก็ลังเลว่าเขาควรจะพูดมันยังไงดี ท่าทางที่ไม่น่าไว้ใจของเขาทำให้ผมรู้สึกถึงลางสังหรณ์แปลก ๆ
“มีอะไรหรือเปล่าพี่ปรง” ในที่สุดผมก็เอ่ยถามออกไป
“พี่มีอะไรอยากจะบอก แต่พี่ไม่รู้ว่าควรพูดวันนี้หรือเปล่า วันนี้มันเป็วันที่ดีของน้อง พี่ไม่อยากให้มีเื่มากวนใจ” พี่ปรงตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่จริงจังขึ้นกว่าเดิม ใจของผมเต้นแรงด้วยความกลัว คำตอบของเขาทำให้ใจผมตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเรียบร้อยแล้ว ต่อให้เขาไม่บอกผมตอนนี้ ผมก็ไม่มีสมาธิจดจ่อกับอะไรแล้วทั้งนั้น
“พี่บอกผมมาเถอะ ดีกว่าปล่อยให้มันคาใจผมไปทั้งวัน”
“พี่เพิ่งยื่นจบไปเมื่อวานก่อนหลังจากที่พี่ส่งเล่มวิจัยไปแล้ว”
“อ่าฮะ”
“แล้วอาจารย์ที่ปรึกษาพี่เขาก็อยากให้พี่เรียนต่อ เพื่อเอาวิจัยที่พี่ทำส่งไปมาทำต่อยอดอีก เขาจะหาทุนให้พี่เรียนปริญญาเอกต่อที่นั่นอีกสี่ปี ซึ่งพี่คิดว่ามันก็เป็โอกาสที่ดี” พี่ปรงตอบกลับมา เขาบีบมือผมแน่นขึ้นเหมือนกลัวว่าผมจะดึงมือตัวเองกลับมา ซึ่งผมก็ทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น
“พี่นี่ชักจะเก่งเกินไปแล้วนะพี่ปรง” เพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรกลับไป ผมจึงตอบกลับไปแบบนั้น แต่พี่ปรงเขาก็ยังคงจ้องหน้าผมด้วยสายตาที่ผมบอกไม่ถูกว่าเขากำลังรู้สึกแบบไหนอยู่
“พี่อาจจะต้องอยู่ต่ออีกสี่ปี”
“…”
“รอได้ไหม”
ผมถอนหายใจออกมาหลังจากที่เขาถามคำถามนี้กับผมอีกครั้ง ถ้าเป็เมื่อสองปีที่แล้ว ผมก็คงตอบกลับทันทีแบบไม่ลังเลเลย แต่เพราะตอนนี้ผมโตขึ้นแล้ว อะไรหลาย ๆ อย่างมันก็กำลังจะเปลี่ยนไปด้วยเหมือนกัน
“พี่ปรง ผมยินดีกับพี่ด้วยจริง ๆ นะ พี่เป็คนเก่ง พี่สมควรได้รับโอกาสดี ๆ แบบนี้ในชีวิต” ผมตอบกลับไปก่อนจะแค่นยิ้มออกมา พี่ปรงก็ยังคงจับมือผมไว้จนแน่นเหมือนเดิม
“…”
“แต่ผมขอไม่รอพี่นะ”
“…”
“ผมจะย้ายไปอยู่กับพี่!” ผมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป หลังจากที่เห็นสีหน้าของพี่ปรงไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เขาเหมือนคนจะร้องไห้จนผมต้องรีบเฉลย ก่อนที่เขาจะเดินหนีผมไป ซึ่งพอผมพูดไปแบบนั้น พี่ปรงเขาก็ขมวดคิ้วจนเป็ปม เหมือนว่าเขาจะยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้เท่าไหร่
“หมายความว่ายังไง”
“ผมได้ทุนไปเรียนต่อที่เดียวกับพี่”
เื่นี้แหละ ที่ผมจะบอกพี่ปรง
ก่อนหน้านี้ผมเครียดมากเพราะไม่รู้ว่าพี่ปรงเขาจะโอเคหรือเปล่า ผมคิดว่าเขาจะเรียนจบปีนี้และจะกลับมาอยู่ที่นี่ ส่วนผมก็ได้ทุนและกำลังจะไปเรียนต่อ เราสองคนกำลังจะคลาดกันอีกครั้ง แต่พอเขามาบอกผมเื่ที่เขาได้ทุนเรียนต่ออีกสี่ปี มันทำให้โล่งใจขึ้นอยากจนอยากะโกอดเขาเลย แต่ผมก็อยากแกล้งเขา เลยแกล้งทำเป็เหมือนผมจะไม่รอเขาแล้ว
“แกล้งพี่เหรอ” พี่ปรงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ เขาพูดกับผมอย่างหมั่นเขี้ยวก่อนจะแกล้งดึงผมเข้าไปใกล้ ๆ ซึ่งผมก็หัวเราะออกมาเสียงดังด้วยความสะใจ สีหน้าของพี่ปรงเมื่อกี้ตลกชะมัด
“เอาคืนที่พี่เคยแกล้งผมไง”
“พี่ใจหายไปหมดแล้วเนี่ย”
“ผมบอกแล้วไง ผมไม่ยอมปล่อยพี่ไปง่าย ๆ หรอก”
“ขอบคุณนะที่อดทนรอ” พี่ปรงดึงผมเข้าไปกอดก่อนจะเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ซึ่งผมก็กอดตอบเขาไปเหมือนกัน ถึงแม้ว่าการกอดกันในระหว่างที่ใส่ชุดครุยมันจะร้องแค่ไหน แต่ผมก็ทนร้อนได้
“ขอบคุณพี่เหมือนกันนะ ที่ไม่คิดจะทิ้งผมไปไหน”
การรอคอยของผมมันจะไม่สูญเปล่า นอกจากขอบคุณพี่ปรงแล้ว ผมก็อยากขอบคุณตัวเองที่เชื่อใจเขามาถึงตอนนี้ ผมว่าหลังจากนี้ความสัมพันธ์ของเราคงดีขึ้น และเราอาจจะได้ใช้ชีวิตด้วยกันในแบบที่เราเคยคิดไว้จริง ๆ สักที
“เป็แฟนกันไหม” พี่ปรงเอ่ยถามผม เขากอดผมไว้แน่นโดยไม่ยอมให้ผมผละออกไป เหมือนเขาไม่อยากให้ผมเห็นหน้าแดง ๆ ของเขา ซึ่งผมก็ปล่อยให้เขากอดอย่างว่าง่าย
พอมองย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นของเราสองคน อีกสิ่งหนึ่งที่ผมจะต้องขอบคุณเลยก็คือเห็ดยามาบูชิตาเกะของพี่อูน ถ้าไม่มีข่าวลือเื่เห็ด ผมก็คงไม่โดยขนุนยุให้ไปขโมยเห็ด และก็คงไม่มีโอกาสได้รู้จักกับพี่ปรง เพราะว่าสุดท้ายแล้วเราอาจจะเป็เพียงแค่คนแปลกหน้าที่เดินสวนกันในคณะก็ได้
ส่วนเื่ที่ว่าเห็ดยามาบูฯทำให้คนรักกันได้จริงไหม มันก็คงแล้วแต่ความเชื่อคน แต่สำหรับผมแล้ว ผมว่ามันน่าจะจริงนะ พี่ปรงเขาหลงผมหัวปลักหัวปำขนาดนี้ก็เพราะเขากินเห็ดของผมเข้าไปยังไงล่ะ
และแน่นอนว่าคำตอบของผมมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
“เป็ครับ :)”
-END-