บทที่ 70 สะใภ้ตัวน้อยเข้าอำเภอ
ท่ามกลางอากาศร้อนระอุของฤดูร้อน ลู่จิ่งเหนียนถึงกับเหงื่อกาฬแตกพลั่ก เพราะความคิดที่ปรุงแต่งขึ้นมาเองในสมอง
อันฉินเป็ยุวปัญญาชนที่ถูกส่งมาประจำหมู่บ้าน ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยคุ้นเคย แต่ก็เคยได้ยินชื่อเสียงมาบ้าง แถมสวี่จือจือยังกำชับนักกำชับหนาว่าอย่าได้ด่วนตัดสินใจแต่งงานเพียงเพราะจ้าวลี่เจวียนคะยั้นคะยอ ให้เลือกคนดีๆ มาเป็คู่ชีวิต
การเลือกคู่ครองนั้นสำคัญยิ่ง หากได้คนพาลสันดานเสียอย่างสะใภ้รองของบ้านเขา ชีวิตก็คงพังพินาศไปสามชั่วโคตร
ก่อนหน้านี้ลู่จิ่งเหนียนไม่เคยคิดว่าเื่จะร้ายแรงขนาดนั้น เขาไม่ใช่พี่สามที่ทำงานในกองทัพที่มีเบี้ยเลี้ยงแถมยังมีฝีมือ เขาเป็แค่พ่อค้าเก็งกำไร ถึงแม้จะหาเงินได้บ้าง แต่คนมีฐานะในหมู่บ้านก็ยังไม่มองเขา เพราะคิดว่าเขาไม่ใช่คนขยันขันแข็ง ลูกสาวแต่งงานไปคงต้องลำบาก
นี่คือเหตุผลที่ทำให้ลู่จิ่งเหนียนเป็หนุ่มโสดหน้าตาดี แถมยังมีบารมีตระกูลลู่ค้ำหลัง แต่ก็ยังหาภรรยาไม่ได้เสียที
ยังไงก็ตาม ลู่จิ่งเหนียนไม่้าทิ้งงานที่ทำอยู่ตอนนี้ไปลงแรงทำคะแนนในไร่
ประการแรก เขาไม่ถนัดทำงานหนักในไร่
ประการที่สอง เขาชอบค้าขายแลกเปลี่ยนสิ่งของ
ยิ่งไปกว่านั้นเขามีลางสังหรณ์ว่าเื่แบบนี้จะกลายเป็เื่ถูกกฎหมายในอนาคต รัฐบาลคงจะไม่ปล่อยปละละเลยไปเช่นนี้แน่
ลู่จิ่งเหนียนเคยบอกความคิดนี้กับคนในครอบครัว แต่จ้าวลี่เจวียนผู้เป็แม่กลับด่าทอเขาเสียยกใหญ่ ตรงกันข้ามสวี่จือจือผู้เป็พี่สะใภ้สามที่เพิ่งแต่งเข้ามาใหม่ กลับชื่นชมและสนับสนุนให้เขาทุ่มเทกับงาน อนาคตเศรษฐีอันดับหนึ่งต้องเป็ของเขาอย่างแน่นอน
เศรษฐีอันดับหนึ่งคืออะไร? เขาไม่เข้าใจแต่ฟังดูก็ไม่เลว ดังนั้นเขาจึงต้องหาคนที่คิดเหมือนกัน
ส่วนเื่อันฉิน ก่อนหน้านี้ก็เคยเข้ามาวนเวียนใกล้ชิดเขาไม่น้อย สายตาที่เต็มไปด้วยการคำนวณ เขาย่อมอ่านออก เมื่อเชื่อมโยงกับเื่โควต้าครูโรงเรียนประถมที่กำลังเป็ที่ฮือฮาอยู่ในขณะนี้ ลู่จิ่งเหนียนก็เข้าใจทันที
อันฉินคงจะ้าโควต้านี้ และได้ยินมาจากที่ไหนสักแห่งว่าคุณย่าของเขาสามารถจัดการเื่นี้ได้ จึงคิดจะมาตีสนิทกับเขา
“พี่สะใภ้สาม โชคดีที่มีพี่” ลู่จิ่งเหนียนไม่รู้สึกอับอายอีกต่อไป กล่าวด้วยความซาบซึ้ง “ไม่อย่างนั้นถ้าผมถูกคนแบบนี้ตามตื้อ ชีวิตนี้คงจบเห่แน่”
อันฉินโกรธจนแทบคลั่ง “อะไรคือคนแบบนี้ ฉันเป็อะไร? ฉันก็เป็ยุวปัญญาชนที่ถูกส่งมาประจำหมู่บ้าน เรียนหนังสือมา ไม่เหมือนชาวบ้านโง่ๆ อย่างพวกนายที่อ่านหนังสือไม่ออกสักตัว”
เธอพูดพลางเหลือบมองสวี่จือจือ ราวกับว่าสวี่จือจือนั่นแหละคือคนที่อ่านหนังสือไม่ออกสักตัว
“คิดว่าตัวเองเก่งกาจมากนักหรือไง? คะแนนแรงงานน้อยกว่าผู้หญิงด้วยซ้ำ นายแค่เกิดมาโชคดีเท่านั้นแหละ”
โชคดีที่ได้เกิดมาในตระกูลลู่ ไม่ต้องทำงานก็ได้แต้มก็ไม่มีใครว่า
“ฉันยังไม่รังเกียจที่นายเก็งกำไรเลย นายมีอะไรที่ไม่พอใจฉัน” อันฉินรู้สึกน้อยใจอย่างมาก “อีกอย่างฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะหลอกนายนะ มันเป็อุบัติเหตุจริงๆ ฉันเพิ่งเห็นงู ใมากก็เลยชนนาย พวกนายพูดกับฉันแบบนี้ได้ยังไง”
อันฉินร้องไห้ออกมาด้วยความน้อยใจ
“งู?” สวี่จือจือถาม “งั้นฉันถามหน่อย เธอเข้าไปทำอะไรในไร่ข้าวโพด? ที่ดินตรงนั้นเพิ่งรดน้ำไปเมื่อวานนี้เองนะ”
อันฉินอ้ำอึ้ง “ฉัน...” เธอเหลือบตามองไปรอบๆ “คนเรามันก็ต้องมีธุระส่วนตัวบ้าง ฉันไปเข้าห้องน้ำในไร่ข้าวโพด”
เหตุผลนี้ช่างน่าขันเสียจริง
“เหอะๆ” สวี่จือจือหัวเราะอย่างไม่ไว้หน้า ไม่อยากพูดอะไรกับอีกฝ่ายมากนัก
“คิดว่าใครๆ ก็เหมือนเธอหรือไง?” อันฉินไม่อยากปล่อยสวี่จือจือไปง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าแผนการในวันนี้กำลังจะสำเร็จ แต่กลับถูกสวี่จือจือทำลาย เธอจึงยิ่งโกรธ “ทะเยอทะยาน อยากจะใช้ตระกูลลู่ปูทางให้ตัวเอง เหอะๆ” เธอเบ้ปาก “ตอนนี้ยังมีหน้ามาว่าคนอื่นอีก โควต้าครูโรงเรียนประถม ฉันบอกไว้เลยนะ ถ้าฉันไม่ได้ เธอก็อย่าหวังว่าจะได้” อันฉินกล่าว
คนอื่นเธอไม่สนใจ แต่ถ้าสวี่จือจือได้เป็ครูโรงเรียนประถม เธอจะไปโวยวายที่ประชาคม และทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง
“ฉันไม่เคยคิดอยากจะเป็” สวี่จือจือมองเธอเหมือนมองคนบ้า เห็นอีกฝ่ายทำท่าทางฮึดฮัดก็ี้เีจะพูดอะไรด้วย “ไปกันเถอะ ไปคุยกับคนบ้าทำไม”
อันฉินแทบคลั่ง “อย่าคิดว่าพูดดีๆ แบบนี้แล้วพวกเราจะเชื่อเธอ” เธอะโไล่หลัง “ฉันบอกไว้เลยนะ ถ้าเื่นี้ประชาคมไม่ให้คำตอบ พวกเราเหล่ายุวปัญญาชนจะไม่ยอม”
สวี่จือจือโบกมือแต่ไม่หยุดเดิน “ตามสบาย อยากทำอะไรก็เชิญ”
“จือจือ พวกเราจะไปแบบนี้เลยเหรอ?” ลู่ซือหยวนเดินตามหลังมา “นังแพศยานั่น ถ้าไม่สั่งสอนให้เข็ด ในอนาคตจะต้องสร้างเื่อีกแน่ ฉันได้ยินมาว่าเื่โควต้าครูโรงเรียนประถมที่จะให้เธอก็ออกมาจากปากของหล่อน”
คนประเภทชอบใส่ร้ายป้ายสีแบบนี้ ไม่สั่งสอนสักหน่อยจะปล่อยไปง่ายๆ แบบนี้เหรอ? ทำไมเธอรู้สึกว่าสวี่จือจือใจดีกับคนนอกมากกว่าพี่สะใภ้อย่างเธอเสียอีก?
เมื่อกี้ยังด่าเธออยู่ที่หัวไร่ปลายนาอยู่เลย ทำไมตอนนี้ถึงปล่อยอันฉินไปง่ายๆ แบบนี้?
“พี่” สวี่จือจือไม่ได้หยุดเดิน แต่ดวงตาผลซิ่งสีสวยกลับเหลือบมองลู่ซือหยวน “พวกเราไม่มีทางปลุกคนที่แกล้งหลับได้ และไม่จำเป็ต้องเสียเวลากับคนแบบนี้ เวลาของพวกเรามีค่า” เธอโบกมือ “เพื่อคนแบบนั้น ไม่คู่ควรหรอก!”
อันฉินที่อยู่ไม่ไกล “...”
น่าโมโหจนแทบะเิไปเลยใช่ไหมล่ะ?!
“อย่าคิดว่าจะพูดแบบนี้แล้วจะหลอกฉันได้” อันฉินพูดอย่างโกรธเคือง
ลู่ซือหยวนรู้สึกว่าตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่สวี่จือจือพูดว่าปลุกคนที่แกล้งหลับไม่ได้ หมายถึงอะไร
ยังไงก็ตาม เื่นี้ไม่ได้สร้างความวุ่นวายอะไรมากมายในบ้านตระกูลลู่
วันรุ่งขึ้นในตัวอำเภอมีตลาดนัด สวี่จือจือจึงพาลู่ซืออวี่เข้าอำเภอั้แ่เช้าตรู่
สวี่จือจือเข็นรถจักรยานสองล้อ ด้านหลังรถมีตะกร้าขนาดใหญ่ใส่ซาลาเปาและหมั่นโถวร้อนๆ ที่พวกเธอตื่นมานึ่งั้แ่เช้าตรู่
ถูกต้องแล้ว วันนี้พวกเธอจะไปขายซาลาเปาที่ตลาดนัด
“พี่สะใภ้สาม” ระหว่างทาง ลู่ซืออวี่ก็อดเป็ห่วงไม่ได้ “ซาลาเปาพวกนี้ของพวกเราจะขายออกไหมคะ?”
“ขายออกแน่นอน” สวี่จือจือพูดด้วยความมั่นใจ “ถ้าไม่เชื่อใจฉันก็ต้องเชื่อในฝีมือของพี่หยวนหยวน”
ลู่ซือหยวนทำอาหารอร่อย นึ่งซาลาเปาห่อเกี๊ยวก็หอมมาก
“เดี๋ยวเธอมีหน้าที่เก็บเงินก็พอ” สวี่จือจือพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันจะทำหน้าที่ะโเรียกลูกค้า”
ในชาติก่อนเธอเคยทำเื่แบบนี้มาไม่น้อย
ขณะที่ทั้งคู่กำลังคุยกัน สวี่จือจือกำลังเข็นจักรยานเลี้ยวไปยังถนนที่จะไปตลาดนัด ทันใดนั้นก็มีคนพุ่งออกมาจากตรอก ทำให้สวี่จือจือใมาก รีบหักแฮนด์รถไปอีกทาง มือก็ยกตะกร้าที่อยู่เบาะหลังขึ้น ถึงอย่างนั้นคนที่พุ่งออกมาก็ยังล้มลงไปนอนอยู่บนพื้น
สวี่จือจือพลันนึกถึงรายการตลกใน่เทศกาลตรุษจีนเมื่อหลายปีก่อนที่เสิ่นเถิง[1]แสดงเกี่ยวกับเื่การ ‘ชนแล้วหนี’
เมื่อกี้จักรยานของเธอไม่ได้ชนอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ
.............................
[1] เสิ่นเถิง หมายถึง นักแสดงและผู้กำกับชาวจีน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้