ตอนนี้โจวเหย้าเวยนั้นได้กลายเป็กองเนื้อไปแล้ว
สถานการณ์เืสาดในตอนนี้ทำเอาคนขี้กลัวอย่างแม่ของหลินลั่วหรานเกือบจะอ้วกออกมา
หลินลั่วหรานจัดการคุมทั้งสามคนเอาไว้ก่อนที่จะตรวจสอบอาการของผู้เป็พ่อเสียก่อน หลังจากที่เอาะุออกมาแล้วเธอก็ปล่อยพลัง “เวทรักษา” ออกมาได้อย่างสบายๆทั้งที่เป็เวทระดับฝึกลมปราณตอนปลายใช้ได้อย่างลำบากด้วยมวลพลังที่มีความสามารถสูงขึ้นมาจากพลังอีกระดับหนึ่งทำให้การปล่อยเวทในครั้งนี้ไม่ได้จำเป็ต้องใช้แรงอะไรมาก
เืของผู้เป็พ่อหยุดลง รอยาแเองก็ค่อยๆได้รับการรักษาฟื้นฟูขึ้นมาจากภายใน เวทมนตร์นั้นไม่ใช่พลังเทพวิเศษอะไรจึงไม่สามารถที่จะรักษาคนได้ในทันที หากแต่ต้องใช้เวลารักษาไปอย่างช้าๆอาการของผู้เป็พ่อนั้น แม้ว่าจะดูรุนแรง แต่ความจริงแล้วมันเพียงภายนอกเท่านั้นดูเหมือนว่าสักสองสามวันก็น่าจะดีขึ้นแล้ว
เมื่อรักษาผู้เป็พ่อ และปลอบประโลมผู้เป็แม่ที่มีคำพูดมากมายอยากจะพูดออกมาเรียบร้อยแล้วหลินลั่วหรานก็ส่งพวกเขาทั้งสามกลับไปยังห้องนอนก่อนที่จะมีเวลามาจัดการกับโจวเหย้าเวยและลูกสมุนของเขา
สายฝนที่ตกมาแสนนาน ในที่สุดก็หยุดลงเสียทีแสงจันทร์กลับมาเปล่งประกายบนชั้นเมฆอีกครั้ง และสาดส่องลงมายังเขาชิงเฉิงที่ถูกฝนชำระเสียจนสะอาดสดใสแห่งนี้
เมื่อเห็นว่าหลินลั่วหรานจัดการไล่ส่งพวกคนที่ไม่ว่าจะถูกพวกเป่าเจียจับเอาไว้ในตอนแรกหรือคนที่ถูกจับมาในตอนหลังออกมาจากตัวบ้านเหล่านักปราชญ์ที่แอบเฝ้ามองอยู่ก็ไม่อาจจะทนซ่อนตัวได้อีกต่อไป จึงค่อยๆ ออกมาทักทายเธอทีละคน
“ขอแสดงความยินดีด้วย ที่เพื่อนหลินได้ก้าวไปสู่ระดับพื้นฐานแล้ว”
คนที่พูดออกมาก็คือหัวหน้าของหน่วยพิเศษกึ่งเอกชนกึ่งรัฐบาลอย่างเฉินหยุนเมื่อหลินลั่วหรานกลายเป็ระดับพื้นฐานแล้ว เธอก็ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะมาเรียกว่า“สาวน้อย” ได้อีกแล้ว แต่ว่าเฉินหยุนก็ยังคงรักษาหน้าเอาไว้แม้ว่าจะเป็ฝ่ายทักทายเธอก่อน แต่ก็ใช้คำเรียกในระดับเดียวกันอย่าง “เพื่อน”แต่ไม่ได้เรียกเธอว่า “รุ่นพี่” ตามการแบ่งลำดับที่มี
เื่ไร้สาระพวกนี้ หลินลั่วหรานก็ได้แต่ยิ้มโดยที่ไม่ได้สนใจอะไรจะเรียกอะไรก็ช่าง หลังจากนี้เธอฝึกศาสตร์ลงไปล้ำลึกมากขึ้นตอนนั้นคนพวกนี้จะมาเรียกเธอว่า “รุ่นพี่” เธอก็อาจจะไม่ได้สนใจอยู่ดี
เพราะว่าเฉินหยุนนั้นเปิดประเด็นขึ้นมาก่อนหัวหน้าตระกูลเหวินเองจึงเรียกเธอว่า “เพื่อน” ออกมาเช่นกันอีกทั้งยังเชื้อเชิญให้หลินลั่วหรานไปเยี่ยมเยียนตระกูลเหวินของเขาที่เขาชู่ชานอีกด้วย อีกทั้งยังพูดไปถึงคนที่ใกล้ชิดกับหลินลั่วหรานที่สุดอย่างเหวินกวนจิ่งที่ไปทำหน้าที่อยู่ที่อียิปต์ขึ้นมา โดยไม่ทราบเหตุผล
แววตาของเฉินหยุนประกายขึ้นมา ก่อนจะพูดขึ้นเสริมเขากับเหวินกวนจิ่งนั้นเป็ทั้งรุ่นพี่และเพื่อนมีความสัมพันธ์ไม่ต่างอะไรไปจากตระกูลเหวินนักในเมื่อมีสะพานในการสร้างความสัมพันธ์แล้ว มีแค่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะไม่ใช้!
ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไร หลินลั่วหรานก็ได้แต่ยิ้มรับด้วยท่าทางพูดจาด้วยง่าย แต่ความจริงแล้วมันกลับต่างจากที่พวกเขาคิดนัก
ฮุยจู๋เพียงพูดแสดงความ “ยินดี” กับหลินลั่วหรานเท่านั้นด้วยความแตกต่างของขอบเขตที่มีทำให้แม้ว่าหลินลั่วหรานจะไม่พอใจในการกระทำของพวกเขาในค่ำคืนนี้ แต่ก็ไม่สามารถจะฆ่าทิ้งทีละคนได้เธอจึงได้แต่อดทนเอาไว้ อีกอย่างเธอก็มีอีกหนึ่งความคิดว่าเธอควรจะหาประโยชน์จากคนพวกนี้ให้ได้เสียก่อนน่าจะดีกว่า!
“ผู้ร่วมฝึกศาสตร์ทุกท่าน วันนี้ตัวฉันเพิ่งจะได้กลับมาบ้านยังมีเื่ราวในบ้านมากมายที่ต้องจัดการ น่าเสียดายที่คงจะไม่สามารถจะอยู่ร่วมพูดคุยกับทุกท่านได้...แต่ว่าสามปีที่ฉันเก็บตัวไปนั้นได้ััและเข้าใจกับศาสตร์ยามากขึ้นแล้ว หลังจากนี้จะมีการเตรียมขายยาวิเศษขึ้นส่วนเื่การแลกเปลี่ยนนั้น หลังจากนี้จะประกาศในฟอรั่มนะคะ”
เมื่อหลินลั่วหรานพูดจบด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วย “รอยยิ้มจนตาปิด”แม้แต่ฮุยจู๋เองก็ยังสนใจขึ้นมา
ยาวิเศษ! นักฝึกศาสตร์เองก็เป็คนมีความรู้สึกเช่นกัน พวกเขาเองก็มีปัญหาน่าปวดหัวเช่นเดียวกันกับพวกคนธรรมดาทั่วไปความ้าที่มีต่อยาวิเศษนั้น จึงไม่จำเป็ที่จะต้องคิดเลย ศาสตร์ยานั้นได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยมาหลายปีแล้วยาวิเศษที่อยู่ในมือของพวกเขานั้นน้อยลงไปทุกที จนจะไม่เหลืออะไรอีกต่อไปแล้ว
แม้แต่ฮุยจู๋ ถึงเขาจะไม่ได้คาดหวังอะไรกับการทำยาของหลินลั่วหรานมากนักแต่ว่าทำไมเขาถึงจะไม่ดีใจหากวันหนึ่งเธอสามารถทำ “ยาวิเศษ” ที่ทะลุระดับพื้นฐานไปได้ขึ้นมา? แน่นอนว่าความคิดนี้ของฮุยจู๋นั้นดูจะหวังมากเกินไปแต่ว่าหากหลินลั่วหรานสามารถทำได้จริงแล้วทำไมเธอถึงจะต้องช่วยให้เขาได้พัฒนาไปเป็ระดับรวมพลังด้วย? นั่นมันก็เหมือนกับสร้างูเาลูกใหญ่ที่ตัวเองไม่อาจจะข้ามได้ขึ้นมาชัดๆมีแต่คนโง่เท่านั้นแหละ ที่จะทำเื่แบบนั้นได้!
หลินลั่วหรานไล่เหล่าแขกของเธอออกไปอย่างง่ายดายอีกทั้งยังปล่อยข่าวที่กระตุ้นใจของหลายๆ คนอย่างการเตรียมการขายยาวิเศษอีกแม้ว่าพวกเขาจะถูกไล่ไป แต่ต่างก็จากไปด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเหล่านักปราชญ์เดินก้าวออกไปจากประตูใหญ่ของคฤหาสน์แล้ว หลินลั่วหรานก็เพิ่งจะมีเวลามาสนใจโจวเหย้าเวยที่ถูกเธอละทิ้งเอาไว้ตั้งนานแล้วฮึๆ แม้ว่าแขนและขาทั้งสามจะถูกทำลายไปจนหมดแล้ว และเืก็ยังคงไม่หยุดไหลแต่โจวเหย้าเวยก็ยังคงมีลมหายใจอยู่ช่างเป็คนที่ความอดทนได้น่าใอย่างกับพวกแมลงสาบ
“แกฆ่าฉันไม่ได้...อาจารย์ของฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่...” ใบหน้าที่บิดเบี้ยวของโจวเหย้าเวยเอ่ยคำขู่ออกมา
หากเขาไม่พูดถึงหญิงสาวสวมชุดดำขึ้นมาก็คงจะไม่มีอะไรแต่เมื่อพูดขึ้นมาแล้ว หลินลั่วหรานก็มีแต่จะโมโหมากขึ้นเท่านั้น
สามปีที่เธอต้องถูกกัดกินอยู่ในสระเืแม้ว่าเธอจะสามารถพัฒนามาเป็ระดับพื้นฐานได้แล้ว แต่ว่าไม่ต้องมีสามปีนี้เธอก็อาจจะก้าวเข้าสู่ระดับพื้นฐานได้เร็วกว่านี้และปลอดภัยกว่านี้...ความเ็ปที่ถูกกัดกินเืเนื้อในตอนนั้นและความเสียใจที่เกือบจะต้องเสียคนในครอบครัวไป ไม่ใช่เื่ที่เธอจะปล่อยผ่านไปเฉยๆได้หรอก!
ระดับพื้นฐานนั้นมีเวทเล็กๆ ที่เรียกว่า “จำลองเสียง”มันสามารถทำให้คนที่อยู่ ในระยะสิบเมตรได้ยินเสียงของตัวเองขึ้นมาได้มือขวาของหลินลั่วหรานขยับร่ายเวทเงาของนิ้วปรากฏออกมาเป็เงาร่างของหอยทากทะเลลอยขึ้นมา ใช้จิตความคิดในการััตัวของอีกฝั่งก่อนที่เธอจะพูดออกมา
“ลูกศิษย์ของเธอเรียกให้มาช่วยล่ะ จะช่วยหรือว่าไม่ช่วยดี?”
เสียงหัวเราะคิกคักของหญิงสาวสวมชุดดำดังขึ้นมาจากอีกฝั่ง “ลูกศิษย์แบบนี้อยากได้เท่าไรก็มีให้ตลอดนั่นแหละ...ของไร้ค่าไม่ได้ควรแก่การลงมือของฉันหรอกฆ่าทิ้งไปเถอะ!”
การพูดคุยแบบนี้ ก็เป็เหมือนกับการโทรศัพท์ อีกฝ่ายเป็คนชิงตัดสายไปก่อนที่จะไม่มีเสียงตอบกลับมาอีกหลินลั่วหรานสามารถััได้ถึงรถตู้ที่ขับจากออกไป และก็ไม่ได้ตามติดไปแต่อย่างใด
เื่ของการแก้แค้น รีบทำให้จบไปน่าจะดีที่สุดแต่ว่าสิ่งที่ทำให้หลินลั่วหรานอดทนไว้ก็คือ เธอนั้นยังไม่ได้มั่นใจเต็มร้อย หลินลั่วหรานในตอนนี้ รู้ดีว่าตัวเธอมีความสำคัญสำหรับบ้านหลินมากแค่ไหนความเป็ความตายของเธอ ไม่ใช่เื่ของเธอเพียงคนเดียวอีกต่อไปแล้ว
ถ้าหากไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถฆ่าเธอได้ตอนนี้เธอก็ไม่มีทางที่จะทำให้พลังหลุดรอดออกไปให้ใครรู้ได้!
เมื่อได้ยินหญิงสาวชุดดำพูดแบบนั้นใบหน้าของโจวเจเหย้าเวยก็แสดงความกังวลออกมา แต่เขาก็ยังคงทำเป็ใจเย็นต่อไปเขาลากแขนของตัวเองขึ้นอยากจะขยับตัว “ตระกูลโจว...ไม่มีทางปล่อยแกไปแน่...”
ตระกูลโจว?!
หลินลั่วหรานนึกไปถึงคุณนายโจวที่สวมชุดแดงเดินเข้ามาในโรงพยาบาลตอนที่เป่าเจียได้รับาเ็ขึ้นมา ตอนนั้นเธอไม่ชอบใจในนิสัยของตระกูลโจวเป็อย่างมาก แล้วในเมื่อเป็แบบนี้ดูเหมือนว่าพ่อกับแม่ของโจวเหย้าเวยเองก็คงจะต้องจัดการไปเหมือนกัน หากจะบอกว่ามันเป็การระบายอารมณ์ก็ถูกอยู่ ่นี้พวกเขาชอบพูดกันว่า “มีลูกชายหากไม่เลี้ยงให้ดี ก็จะทำร้ายให้พังไปทั้งตระกูล” การที่โจวเหย้าเวยมาทำอะไรกับบ้านหลินในครั้งนี้พ่อกับแม่ของเขาจะไม่รู้เลยอย่างนั้นเหรอ?
หลินลั่วหรานรวบรวมมวลพลังขึ้นเป็ะุก่อนที่จะส่งเข้าไปยังขาข้างสุดท้ายที่ยังไม่ได้รับาเ็ของโจวเหย้าเวยพร้อมกับก้มลงพูด “สบายใจเถอะ คนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลโจวจะต้องตามไปอยู่เพื่อนในเร็ววันแน่”
ในตอนที่โจวเหย้าเวยเบิกดวงตาของเขาออกกว้างนั้นเปลวไฟในมือของหลินลั่วหรานก็ขยายใหญ่ขึ้นต่อหน้าเขาความคิดสุดท้ายในสมองของเขาก็คือ คุณชายเมืองหลวงที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยรสชาติของสิ่งมึนเมาในวันนั้นทำไมถึงสามารถเดินมาถึงความเป็ไปอย่างในวันนี้ได้?
คำถามข้อนี้ของโจวเหย้าเวยนั้น ไม่มีใครสามารถให้คำตอบกับเขาได้เปลวไฟลุกลามไปทั่วร่างโจวเหย้าเวยที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงทำได้เพียงส่งเสียงโอดครวญออกมาก่อนที่จะถูกเปลวไฟเผาไหม้จนกลายเป็เศษขี้เถ้าในพริบตา!
เสียงโอดครวญนั้น ทำให้เหล่านักปราชญ์ที่เพิ่งเดินออกมาได้ไม่ไกลนักต่างพากันขมวดคิ้วแน่น สาวน้อยตระกูลหลินกลับมาครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนไปไม่น้อยเลยหรือเปล่า? ดูเหมือนว่าจะโหดร้ายขึ้น...คนจิตใจดีสิถึงจะกดขี่ได้ง่าย นี่ไม่ใช่เื่ดีแน่!
หลินลั่วหรานเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางของเหล่านักปราชญ์ทั้งหลายก่อนที่ใบหน้าของเธอจะปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันขึ้น ช่างน่ารังเกียจเสียจริงเ้าพวกคนเสแสร้งแบบนี้ เอาไว้รอดูในอนาคตก็แล้วกัน!
สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เหล่าลูกสมุนของโจวเหย้าเวยนั้นเพียงแต่ถูกควบคุมเอาไว้ไม่ให้ขยับแต่พวกเขาได้ยินและมองเห็น พวกเขารับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดการที่ได้พบการลงโทษอันรุนแรงเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของตัวเองแบบนี้อีกทั้งยังฆ่าเผานายน้อยของเขาไป เหล่าลูกสมุนนั้นต่างก็ต้องอดทนอย่างมากเพื่อไม่ให้ตัวเองใเสียจนฉี่ราดออกมา
เ้าพวกผู้น้อยพวกนี้ หลินลั่วหรานี้เีจะสนใจพวกเขาดังนั้นจึงจัดการเผาทิ้งไปทีละคน พวกเขามองเพื่อนของตัวเองถูกเผาไหม้ไปเรื่อยๆจนสุดท้ายคนที่เป็หัวหน้าก็หลับตาของตัวเองลงแต่รออยู่นานหลินลั่วหรานก็ไม่ได้เผาเขาทิ้ง เขาจึงลืมตาขึ้นมา หญิงสาวคนนั้นก็เดินมาจนถึงขอบประตูแล้ว
“ไสหัวกลับไปบอกพ่อแม่ของโจวเหย้าเวยซะ ว่าให้พวกเขารอฉันไปหาดีๆ!”
ลมแรงพัดกระหน่ำเข้ามาก่อนที่ตัวของเขาจะถูกพัดให้กลิ้งออกมาราวกับน้ำเต้าจนเกือบจะกลิ้งตกลงไปในน้ำถึงได้หยุดลงเขาร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจที่รอดพ้นออกมาจากความตายแม้ว่ากลับไปที่ตระกูลโจวแล้ว ก็อาจจะไม่สามารถเลี่ยงความตายได้แต่ว่ามันก็คงจะดีกว่าการตายที่ไม่เหลือทิ้งไว้แม้แต่ร่างแบบนี้ใช่ไหม?
เขายันกายลุกขึ้นมา ก่อนที่จะรีบวิ่งเขาไปราวกับมีสุนัขไล่ตามอยู่ด้านหลัง
หลินลั่วหรานปล่อย “เวททำความสะอาด” ออกมาจัดการรอยเืในห้องอีกทั้งยังจัดการหอบเอาขี้เถ้าของโจวเหย้าเวยและลูกน้องรวมเป็กองเดียว ก่อนที่ส่งมันปลิวออกไปยังที่แสนไกลหลังจากนั้นคฤหาสน์ตระกูลหลินก็กลับมาสะอาดดังเดิมอีกครั้ง
ทำไมถึงต้องบอกกับตระกูลโจว?
ความจริงแล้วการฆ่าคนคนหนึ่งทิ้งไปนั้น ไม่ใช่วิธีการที่เ็ปที่สุดเมื่อเทียบกันแล้ว ก่อนที่จะฆ่าเขาทิ้งนั้น ทำให้พวกเขาต้องใช้ชีวิตอยู่กับความกังวลและความกลัวเสียก่อน แบบนั้นต่างหากถึงจากสามารถทำให้ความมืดมิดในจิตใจส่วนลึกของหลินลั่วหรานพอใจขึ้นมาได้
เธอร้ายกาจขึ้นแล้วหรือเปล่า?
เอ๋ คำถามนี้ก็ควรค่าพอที่จะให้คิดอยู่นะ