เวลาผ่านไปเพียงระยะหนึ่งแต่เหอตังกุยกลับรู้สึกยาวนานยิ่งนัก ในที่สุดหนิงยวนก็ยอมปล่อยมือจากปากและจมูกของนาง ทว่าเขายังไม่ลุกขึ้นจากพื้นแต่กลับใช้มือดึงต้นหญ้าด้านข้าง พลางแสดงท่าทีอ่อนโยนกับร่างของนาง แววตาดำขลับจับจ้องนางตาไม่กะพริบ
หูของเหอตังกุยร้อนผ่าวเพราะสายตาที่คุ้นเคย นางผลักอีกฝ่ายก่อนเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ออกไป เ้าหนักเกินไปแล้ว” เสียงของนางสั่นเครือโดยไม่รู้ตัว น่าแปลกนัก เหตุใดตนจึงทำเช่นนั้น?
หนิงยวนโยนหน้ากากทิ้งด้านข้าง เผยให้เห็นริมฝีปากบางซีด มีรอยเืติดมุมปาก แต่เป็เพราะเขาปลอมตัว ใบหน้าจึงยังดูสุขภาพดีด้วยแป้งแต่งหน้า หนิงยวนก้มตัวเล็กน้อย เอนศีรษะที่สมควรตายนั้นแนบหูเหอตังกุยอีกครั้ง ขณะอ้าปากก็พ่นลมหายใจร้อนรดหูของนาง ก่อนกระซิบข้างหู “ร่างกายข้าย่อมหนักอยู่แล้วเพราะข้าเป็บุรุษ...ต่อไปเ้าจะเข้าใจเื่นี้อย่างลึกซึ้ง”
เมื่อเหอตังกุยได้ยินดังนั้นก็ผลักหน้าอกหนิงยวน ทำให้เขากระอักเือีกครั้งได้สำเร็จ
หนิงยวนจ้องมองนางด้วยความโกรธ “เ้ามันเป็สตรีไม่รู้บุญคุณคน ข้าเพิ่งช่วยชีวิตเ้า แต่เ้ากลับ้าฆ่าว่าที่สามี ข้าจะสั่งสอนว่าที่ภรรยาของข้าให้หลาบจำ” ขณะพูดริมฝีปากเปื้อนเืก็โน้มเข้าใกล้
เหอตังกุยปิดปากพลันมองด้านหลังหนิงยวน ก่อนเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เสี่ยวโหยว เ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”
หนิงยวนได้ยินเสียงลมหายใจใครบางคนด้านหลังจึงแค่นเสียงเ็าด้วยความไม่พอใจ ก่อนลุกขึ้นจากพื้นพลันเอื้อมดึงเหอตังกุยลุกขึ้นตาม เมื่อหันกลับไปก็เห็นเด็กรับใช้หน้าตาดี อายุประมาณสิบสี่สิบห้าปี รูปร่างเตี้ยกว่าเขาหนึ่งคืบ เด็กรับใช้ผู้นั้นจ้องมองเหอตังกุยด้วยสายตาประหลาดใจ หนิงยวนพลันเหลือบมองเหอตังกุยก่อนเอ่ยถาม “เขาเป็ใคร?”
เด็กรับใช้คนนั้นยังคงมองเหอตังกุยด้วยแววตาเป็ประกาย “คุณหนู ท่านรู้ว่าบ่าวเป็ใครหรือ? ท่านรีบตอบข้าเร็วเข้า” ฟังจากสำเนียงการพูดเป็สำเนียงของซานตง
เหอตังกุยหัวเราะเบา ๆ พลางก้าวไปตบแก้มบ่าวรับใช้ผู้นั้นเบา ๆ ขณะนั้นควันแห่งความโกรธก็พวยพุ่งออกจากศีรษะของหนิงยวน เหอตังกุยช่วยปัดหญ้าออกจากใบหน้าเด็กรับใช้ผู้นั้น ก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “เมื่อครู่เ้าแอบในพุ่มไม้แล้วใช้เืสาดชายสวมหน้ากากผู้นั้นใช่หรือไม่ เสี่ยวโหยว เ้าทำดีมาก”
“เสี่ยวโหยว? ที่แท้บ่าวก็ชื่อเสี่ยวโหยว” เด็กรับใช้ผู้นั้นแตะศีรษะพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แล้วคุณหนูชื่ออะไรขอรับ?”
เหอตังกุยยิ้มให้เพื่อนที่ดีที่สุดเพียงคนเดียวในตระกูลหลัวของนางเมื่อชาติที่แล้ว ดวงตาหยีจนเป็รูปพระจันทร์เสี้ยวเล็ก ๆ ก่อนเอ่ยตอบอย่างเป็มิตร “เ้ามาจากเขตโจวเซี่ยนในเมืองซานตง ต่อมาก็หนีความอดอยากมายังเมืองหยางโจว วันหนึ่งเ้าถูกรถม้าชนได้รับาเ็จึงนำตัวมารักษาที่ตระกูลหลัว แต่ศีรษะของเ้ากระทบกระเทือนหนักจนสูญเสียความทรงจำทั้งหมด เ้าจำชื่อตัวเองไม่ได้และไม่รู้ว่าตัวเองเป็ใคร ชื่อ “เสี่ยวโหยว” คือชื่อที่ข้าตั้งให้ แซ่ของเ้าคือแซ่ “เหอ” เช่นเดียวกับข้า ด้วยเหตุนี้ชื่อเต็มของเ้าคือ “เหอตังโหยว” ข้าชื่อเหอตังกุย ชื่อเล่นของข้าคือฉิงอี้ เ้าสามารถเรียกข้าว่าเสี่ยวอี้หรือพี่อี้ก็ได้...จากนี้ไปเ้าคือเพื่อนและน้องชายของข้า ไปกันเถอะ ไปเรือนเถาเหยากับข้า”
เด็กรับใช้หน้าตาน่ารักผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็ “เหอตังโหยว” คนที่เหอตังกุยตั้งชื่อให้ เหอตังโหยวเป็ขอทานที่คุณชายใหญ่หลัวไป๋เฉียนพบหน้าประตูก่อนเข้าจวน วันนั้นหลัวไป๋เฉียนเดินทางกลับจาก “เรือนฉิงหยา” ของจวนตระกูลหลัวฝั่งตะวันตกซึ่งเป็เรือนของอนุชายาซานเหนียงของท่านลุง หลังชนขอทานน้อยที่หน้าประตูใหญ่ ต่อมาหลัวไป๋เฉียนก็ใช้ให้สยงหวงบ่าวคนสนิทนำตัวเขาเข้าจวน จัดให้เขาเป็คนรับใช้ในสวนทางเหนือตามคำสั่ง ไม่ถึงครึ่งวันขอทานน้อยก็ฟื้น เขาไม่ได้าเ็สาหัสมาก หลังกินแกงสมุนไพรหวงฉีและพุทราดำแล้วก็สามารถลุกจากเตียงได้
ขณะสยงหวงคิดว่าเื่นี้เป็เพียงปัญหาเล็กน้อย ขอทานน้อยก็แตะศีรษะพลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสา “ข้า ข้าเป็ใครขอรับ?”
หลังบทสนทนาสั้น ๆ สยงหวงก็พบว่าแม้รอยยิ้มของขอทานน้อยจะดูโง่เขลาแต่สมองกลับทำงานได้ปกติ เขาเพิ่งสูญเสียความทรงจำทว่าเมื่อได้ยินคำว่า “อั่น[1]” ซึ่งเป็สำเนียงเหนือ ที่แท้ขอทานน้อยผู้นี้ก็มาจากทางเหนือ เมื่อสยงหวงเห็นว่าขอทานน้อยถูกรถม้าชนจนกลายเป็เช่นนี้ก็อดกลุ้มใจไม่ได้ เขาควรโยนขอทานกลับถนนหรือให้เขาอยู่ในจวน? สยงหวงจึงวิ่งไปขอความเห็นจากหลัวไป๋เฉียน แต่กลับถูกหลัวไป๋เฉียนตำหนิเพราะดันไปปลุกเขา ก่อนหลัวไป๋เฉียนจะโบกมือด้วยท่าทีไม่แยแส สยงหวงจึงเลียนแบบท่าทางของผู้เป็นาย หลับหูหลับตาแสร้งมองไม่เห็นขอทานน้อยผู้นั้น แต่ถึงอย่างไรขอทานผู้นั้นก็ยังมีชีวิต ใครใช้ให้ขอทานน้อยผู้นั้นเดินไม่ดูตาม้าตาเรือเล่า จวนตระกูลหลัวของเขาเป็ตระกูลชนชั้นสูง ไม่ใช่ที่ที่คนชั้นต่ำเช่นเขาจะเดินเตร็ดเตร่ได้
แม้สยงหวงจะ “มองไม่เห็น” แต่ขอทานน้อยก็ไม่ได้หายไปจากโลกนี้...ทันใดนั้นก็มีเด็กหนุ่มแปลกหน้าอายุสิบห้าปีปรากฏตัวในเรือนบ่าวรับใช้ ทำให้ผู้คนที่ผ่านไปมาอดหันมองไม่ได้ เฮอะ เด็กตัวดำผู้นี้มาจากที่ใดกัน? คนรับใช้ตระกูลหลัวส่วนใหญ่อ้วนและขาว เด็กผิวดำ รูปร่างผอมบางที่ปรากฏกะทันหันนั้นจึงเป็ที่สะดุดตาไม่น้อย
สองสามวันแรกหลังอาศัยในจวนตระกูลหลัว เขาได้รับาเ็จึงนอนบนเตียงพลางยิ้มให้ผู้คนที่เดินผ่าน เมื่อแผลเกือบหายดีแล้วจึงออกกำลังกาย บิดคอบิดเอวอย่างคล่องแคล่ว เมื่อเห็นคนอื่นผ่าฟืน หากด้านข้างมีขวานอีกหนึ่งเล่มก็จะเข้าไปหยิบขวานผ่าฟืนด้วย เมื่อเห็นคนอื่นหาบน้ำ หากมีถังน้ำวางข้างบ่อมากกว่าหนึ่งใบก็จะเข้าไปช่วยหาบ เมื่อถึงเวลากินข้าว คนที่เคยได้รับการช่วยเหลือก็จะแบ่งหมั่นโถวให้เขากินสองลูก เมื่อถึงเวลาแจกชุดตามฤดูกาล สุดท้ายชุดที่เปลี่ยนเ้าของหลายมือเพราะใส่ไม่ได้ก็ตกอยู่กับเขา
หลังเด็กหนุ่มสวมชุดบ่าวรับใช้สีน้ำเงินก็ทำงานหนักขึ้น หมั่นโถวก็เปลี่ยนจากสองลูกเป็สี่ลูกพร้อมแกง แต่เพราะเขาไม่ได้อยู่ในบัญชีรายชื่อของบ่าวรับใช้ พ่อบ้านเป่าผู้ดูแลบ่าวรับใช้จึงไม่เคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขาจวบจนวันนี้ เขาจึงเป็เสมือนคนงานชั่วคราวที่ไม่มีเงินเดือนและไม่มีงานเป็หลักแหล่ง
ทุกวันเขาเดินไปมาในจวนอย่างสบาย ๆ บางครั้งก็ร้องเพลงบ้านเกิดอย่างมีความสุข เขาขยันมากจึงสามารถหางานทำได้ตลอด ทันทีที่เห็นคนอื่นทำงานก็จะตามไปทำด้วยทันที หลังทำงานเสร็จก็เช็ดเหงื่อพลางยิ้มแย้ม ก่อนเดินจากไปแม้แต่ชื่อก็ยังไม่ทิ้งไว้ (เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าเขาเป็ใคร) เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็เริ่มเอาชนะใจผู้คนในจวนได้ เริ่มมีชีวิตสะดวกสบายกว่าที่เป็มา หลังจากนั้นเพียงครึ่งเดือนก็เริ่ม “ปรับตัวได้” กลายเป็คนอ้วนผิวขาว อีกทั้งส่วนสูงก็เพิ่มขึ้นด้วย มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็คนหล่อเหลาเอาการ เมื่อเขาเห็นผู้ใดมองพิจารณาก็จะยิ้มให้ทันที
วันหนึ่งเขาลุกจากเตียงแต่เช้าตรู่ ะโออกจากเตียงที่สามารถบรรจุบ่าวรับใช้ได้สิบคนแต่ตอนนี้มีถึงสิบเอ็ดคน เขาวิ่งมาหางานทำแต่เช้าทว่าตอนนั้นยังมืดมาก จึงทำได้เพียงเดินวนในจวนเป็เวลานานแต่กลับไม่เห็นใครสักคน ก่อนหันกลับมาที่ “ศาลาเหนียวเหนี่ยว” พลันเห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยง สตรีผู้นั้นโยนเสื้อผ้าลงพื้นทั้ง ๆ ที่อากาศหนาว ทั้งยังสลัดเครื่องประดับบนศีรษะ เขาจึงอยากเข้าไปถามว่าพวกเขา้าความช่วยเหลือหรือไม่ แต่ยังไม่ทันจะเดินเข้าไปก็มีปีศาจรูปร่างเหมือนคนลอยลงมาจากฟ้า
ขณะนั้นชายในศาลาก็ถูกสัตว์ประหลาดดูดเื สตรีคนนั้นตกอยู่ในอาการตะลึงงัน ดวงตาของปีศาจตนนั้นเป็สีม่วง หลังดูดเืมนุษย์แล้วก็เข้าไปดูดเืหมูหริ่งที่เดินผ่าน เมื่อดูดเืหมูเสร็จก็เหาะตามชายสองคนและสตรีอีกหนึ่งคน เขาใกลัวมากจนมือไม้อ่อนแรงพลันเข้าไปซ่อนตัวในพงหญ้า หลังปีศาจตนนั้นบินจากไปก็วิ่งกลับห้องบ่าวรับใช้ทันที ก่อนเอ่ยถามลุงโจวผู้าุโที่มีความสามารถขับไล่ปีศาจ ลุงโจวที่กำลังฝันดีจึงบอกเขาตามคำพูดในฝันว่า “เ้าสามารถกำจัดสัตว์ประหลาดได้ด้วยเืสุนัขผสมปัสสาวะ เมื่อสาดใส่ปีศาจตนนั้น มันก็จะหายไปทันที...”
วันนี้ขณะสัตว์ประหลาดโผล่มาอีกครั้ง แม้มันจะสวมหน้ากากแต่ดวงตาสีม่วงและเสื้อผ้าก็ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่นิด ทำให้เสี่ยวโหยวจำปีศาจตนนั้นได้ั้แ่แรกเห็น จึงรีบหาถังเืหมูด้านหลังตรอกห้องครัว เติมส่วนผสมบางอย่างตามคำแนะนำของลุงโจว จากนั้นก็หิ้วถังไปที่ห้องโถงซินหรงอย่างรวดเร็วด้วยหวังจะสังหารปีศาจตนนั้น ขณะเห็นปีศาจสวมหน้ากากและสาวน้อยผู้หนึ่งวิ่งกอดแขนราวหนีตามกันไปทางสวนดอกไม้ เขาจึงหิ้วถังวิ่งตาม
เขาเคยเห็นสตรีผู้นั้นหนึ่งครั้ง นางคือหนึ่งในคุณหนูของจวน ขณะนั้นเขาเดินมาทางห้องดอกไม้ก็เห็นว่าทุกคนกอดกระถางดอกเบญจมาศวิ่งออกไป เขาจึงรีบอุ้มกระถางเบญจมาศหกกระถางก่อนวิ่งตาม เมื่อเดินไปถึงสวนอันงดงามก็เห็นสตรีเด็กคนหนึ่งยืนอยู่กลางสวน รอยยิ้มของนางเปรียบเสมือนเทพธิดาดอกท้อท่ามกลางกลีบดอกท้อทั่วท้องฟ้า เขาตะลึงงันครู่หนึ่งกระทั่งกระถางหกใบในมือร่วงหล่น โชคดีที่นางฟ้าและมามาข้างนางไม่สังเกตเห็นและไม่ได้ตำหนิเขา จากนั้นสาวใช้ตัวเล็กหน้ากลมก็วิ่งเข้ามาหยิบดอกเก๊กฮวยที่หล่นบนพื้นทั้งหมดพลางบอกว่าอยากชงชาเก๊กฮวย หน้าตาสาวใช้ผู้นั้นเหมือนหนึ่งในสามคนที่ถูกปีศาจตนนั้นไล่ล่า
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเทถังน้ำใส่ปีศาจเพื่อช่วยนางฟ้าผู้นั้น แต่อาจเพราะเืหมูไม่มีประโยชน์เท่าเืสุนัขกระมัง ปีศาจตัวนั้นจึงไม่ “หายไป” ทว่าสุดท้ายมันก็วิ่งหนีไปในความมืด ต่อมาเขาเห็นเด็กหนุ่มกดนางฟ้าแสนสวยลงในพุ่มหญ้า ไม่รู้ว่าพวกเขาทั้งสอง้าทำสิ่งใด ด้วยเหตุนี้เขาจึงอยากเข้าไปเอ่ยถามใกล้ ๆ ว่ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่ แต่ยังไม่ทันจะเดินไป นางฟ้าผู้นั้นก็จำเขาได้พลันเรียกเขาว่า “เสี่ยวโหยว” และให้ตนเรียกนางว่า “พี่ฉิงอี้” ทั้งยังบอกว่าตนเป็ “เพื่อนและน้องชาย” ของนาง มิหนำซ้ำยังคิดจะพาเขากลับเรือนของนางอีก
“พี่ฉิงอี้?” เขาเอ่ยถามอย่างลังเล “คนที่นี่ไม่รู้ที่ไปที่มาของข้า แล้วพี่สาวรู้ได้อย่างไร?” ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงเรียกนางว่า “พี่สาว” โดยไม่ลังเล ทั้งที่นางฟ้าผู้นี้เตี้ยกว่าเขาหลายส่วน
เหอตังกุยเขย่งเท้าเอื้อมตบศีรษะเขาเบา ๆ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เสี่ยวโหยวเด็กดี เื่นี้ข้าจะอธิบายให้เ้าฟังอย่างละเอียดภายหลัง ต่อไปเ้าต้องฟังข้าแต่เพียงผู้เดียว ข้าคือคนเดียวที่เป็ครอบครัวของเ้า หากเ้าอยากกินสิ่งใดเพียงเอ่ยกับพี่ พี่จะไปหามาให้ หากใครรังแกเ้าก็บอกพี่ พี่จะช่วยแก้แค้น เสี่ยวโหยวจำที่ข้าพูดได้หรือไม่?” ราวนาง้าชดเชยสิ่งที่ติดค้างเขาไว้ในชาติที่แล้ว
นางฟ้าผู้นี้เข้าใกล้เขาจนกลิ่นหอมจากเส้นผมของนางโชยเข้าจมูก เสี่ยวโหยวพยักหน้าอย่างเหม่อลอยพลางเอ่ย “จำได้ขอรับ พี่สาวเป็คนในครอบครัวเพียงคนเดียวของข้า ต่อไปข้าจะเชื่อฟังพี่สาวขอรับ”
นางพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ขณะคิดจะกำชับบางอย่างเกี่ยวกับ “จวนตระกูลหลัวเป็สถานที่ที่อันตรายและคนที่อันตรายที่สุดในตระกูลหลัว” ทันใดนั้นนางก็ััได้ว่าเอวถูกโอบกะทันหันก่อนเข้าสู่อ้อมกอดของหนิงยวนอีกครั้ง นางพยายามดิ้นรนเพื่อออกจากอ้อมแขนแต่ไม่ว่าจะดิ้นอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด พลันเอ่ยด้วยความเดือดดาล “คุณชายหนิง ข้ากับเ้ามิได้สนิทสนมกัน หากอยากพูดคุยอันใดกับข้าก็ได้โปรดคุยแบบคนทั่วไป ประการแรก ‘น้องชาย’ ของข้ามองดูอยู่ เ้าอย่าทำเช่นนี้ต่อหน้าเด็ก ประการที่สอง...เ้าลืมแล้วหรือว่าวันนั้นเคยสัญญาอะไรไว้?”
หนิงยวนยิ่งทวีความเดือดดาล ตนเป็องค์ชายสูงศักดิ์ เคยช่วยชีวิตนางถึงสองครั้งแต่นางกลับมีท่าทีเฉยเมยต่อตนมาโดยตลอด แต่นางกลับญาติดีกับเ้าเด็กรับใช้โง่ ๆ คนหนึ่งซึ่งแตกต่างกับเขาอย่างสิ้นเชิง นางไม่เพียงทำให้เขากลายเป็น้องชายในเวลาเพียงไม่นาน ซ้ำยังลูบใบหน้าและศีรษะของเขาเบา ๆ อีกด้วย แม้เขาจะเป็น้องชายแท้ ๆ ก็ควรปฏิบัติตามมารยาท ยิ่งไปกว่านั้นน้องชายโง่เขลาผู้นี้ยังดูเหมือนเด็กรับใช้อายุมากกว่านางห้าหกปี นางไม่รู้หรือว่า “ชายหญิงที่ไม่ได้เป็อะไรกันไม่อาจแตะเนื้อต้องตัวกันได้” ต่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างนายบ่าวจะดีเพียงใด ตนก็ไม่เคยได้ยินว่านายบ่าวที่ใดจะกลายเป็พี่น้องกันได้ เ้านายก็คือเ้านาย บ่าวก็คือบ่าว หากทำอะไรเกินเลยก็ไม่เท่ากับว่าทำผิดกฎสามประการและจารีตห้าประการหรือ? ฮึ รอเ้าเข้าจวนอ๋องของข้าก่อนเถอะ ข้าจะสอนมารยาทเ้าให้หนักเป็แน่
เมื่อเหอตังกุยได้กลิ่นอำพันทะเลในอ้อมกอดของเขาก็พลันฟุ้งซ่าน นึกถึงคนทรยศในชาติก่อนที่โปรดปรานกลิ่นหอมของอำพันทะเลเป็อย่างมาก จิตใจของนางเต็มไปด้วยความเดือดดาลทันทีก่อนคำรามเสียงต่ำ ใช้กระบวนท่า “เปิดประตูพบูเา” ของสำนักหัวซานเพียงกระบวนท่าเดียวก็สามารถผลักหนิงยวนออกไปได้ เป็เพราะความเดือดดาลที่ปะทุในใจจึงทำให้นางใช้กำลังภายในถึงห้าหกส่วน ทั้งที่เดิมทีไม่รู้วิธีการใช้กำลังภายในด้วยซ้ำ ทำให้หนิงยวนที่ได้รับาเ็เป็ทุนเดิมไม่ทันระวังจนถอยกรูดหลายสิบก้าวเพราะกระบวนท่าเมื่อครู่ สุดท้ายก็ล้มกองกับพื้นหญ้าอย่างไม่เป็ท่า
“เ้ามีวรยุทธ์ ทั้งยังกล้าทำร้ายข้าหรือ?” หนิงยวนเอ่ยตำหนิพลางจับจ้องนางด้วยความหงุดหงิด ก่อนหลับตาด้วยความเหนื่อยล้า
-------------------------------------------------
[1] อั่น แปลว่าข้าในภาษาถิ่นเหนือของจีน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้