อวี้ฉู่จาวยังคงมองผู้คนทำความเคารพเขาด้วยท่าทีเ็า ในใจมิอาจรู้ว่ากำลังรู้สึกเช่นไรกับขุนนางาุโเหล่านี้
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งกลับดังขึ้น “ท่านแม่ทัพใหญ่”
คำเรียกนี้ น้ำเสียงนี้ สำหรับอวี้ฉู่จาวแล้วนับว่าไม่ได้ยินมานาน
อวี้ฉู่จาวมองชายผู้หนึ่งที่อายุมากกว่าตนไม่กี่ปีเดินตรงเข้ามาหาพร้อมก้มลงคำนับ แม้สีหน้าจะไม่ได้แสดงความรู้สึกใด แต่ในใจรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย
ชายผู้นั้นสวมชุดอย่างเป็ทางการ ดูชาญฉลาด ดวงตาทั้งสองข้างมีประกาย ท่าทางราวกับเป็ผู้ให้คำปรึกษาที่ดี
เขาเป็ต้าซือหม่า1 ของอวี้ฉู่จาว มีนามว่าหรงจิ่ง นับเป็นักยุทธศาสตร์ที่มีตำแหน่งสูงสุดในกองทัพ
ชายผู้นี้มักจะคอยช่วยงานของเหิงหวัง2 อวี้หนานถัง เป็ที่ปรึกษาทางการรบที่อายุยังไม่มากและเติบโตมาพร้อมกับเขาในกองทัพ พวกเขาทั้งคู่จึงได้ทำงานร่วมกัน
ตำแหน่งของอวี้ฉู่จาวถือเป็ตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดทางการทหาร เป็ผู้ตราพยัคฆ์ สามารถสั่งการกองทัพได้
ส่วนตำแหน่งต้าซือหม่านั้น หากจะให้อธิบายง่ายๆ ก็คือ ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านแม่ทัพสูงสุด แต่ก็เป็ตำแหน่งที่มีบทบาทสำคัญ ซึ่งทั้งคู่คือพันธมิตร เปรียบดั่งหอกกับโล่ของกองทัพ เป็ฝ่ายรุกกับฝ่ายรับที่สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่
“หรงจิ่ง” อวี้ฉู่จาวเอ่ยชื่อเขา ในใจคิดถึง่เวลาที่พวกเขาสู้รบด้วยกัน
ชาติก่อนตอนที่พ่ายแพ้ต่อา คนผู้นี้ปาดคอตนเองเพื่อฆ่าตัวตายริมแม่น้ำลี่เจียงทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ศพตกลงไปในน้ำ ไม่รู้ว่ากระดูกของเขาได้ถูกพากลับไปยังหานเจ้อ บ้านเกิดของเขาหรือไม่
อวี้ฉู่จาวจำได้ดี เวลานั้นเป็่ระหว่างา คำพูดที่หรงจิ่งเอ่ยออกมาบ่อยที่สุดคืออยากกลับบ้าน
การมีอีกฝ่ายคอยสนับสนุน ทำให้พวกเขาได้รับชัยชนะ กระทั่งครุ่นคิดอยู่เสมอว่าหากาจบจะได้กลับบ้านตนเอง
ทว่า...เฮ้อ ช่างน่าเสียดายที่แม้แต่์ยังอิจฉา เวลากลับไม่เคยเป็ใจ
“ถวายบังคมจ้านหวัง”
อวี้ฉู่จาวหวนนึกถึงอดีตอยู่ชั่วครู่ ด้านหลังพลันมีเสียงของใครคนหนึ่งดังขัดจังหวะ
อวี้ฉู่จาวกับหรงจิ่งหันไปมอง เป็องค์ชายที่ห้านามว่าอวี่ฉู่หลิงกำลังเดินมาทางพวกเขา
อวี้ฉู่หลิงเป็โอรสองค์ที่ห้าของฮ่องเต้ฉงเต๋อที่เกิดจากพระสนมคนโปรดของฮ่องเต้ ซึ่งมีตำแหน่งรองลงมาจากฮองเฮา
นอกจากนี้ ท่านตาของเขายังเป็ถึงอัครเสนาบดีฝ่ายขวาฉินฉือ ผู้มีหน้ามีตาในราชสำนัก จึงทำให้ตำแหน่งของอวี้ฉู่หลิงสูงขึ้นไปด้วย
แต่เขาเองก็เป็คนไม่ธรรมดา มีสายตาหลักแหลม ไม่คิดถวายบังคมอวี้ฉู่จาวในฐานะผู้เป็พี่ ภายในใจเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนง
“ไม่ทราบว่าจ้านหวังทรงวางแผนอย่างไรในการจัดการชาวซยงหนู” ริมฝีปากของอวี้ฉู่หลิงกระตุกยิ้ม
อวี้ฉู่จาวไม่ตอบ หรงจิ่งมองก่อนยิ้มแล้วถามอย่างมีมารยาท “ทำไมหรือ หรือว่าองค์ชายห้าทรงเตรียมแผนการเอาไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ในสายตาของผู้อื่น อวี้ฉู่จาวเป็คนเ็าและไม่ค่อยพูด อารมณ์ดีหรือไม่ก็แสดงสีหน้าเหมือนกัน ซึ่งอวี้ฉู่หลิงเคยชินกับท่าทีเมินเฉยไม่ตอบกลับของเขาแล้ว
“ข้าจะไปกล้าได้อย่างไร กองทัพของเมืองอวี้อันล้วนแต่อยู่ในมือของจ้านหวัง หากเขาไม่ยอมวางมือ ข้าจะมีสิทธิ์ได้อย่างไรกันล่ะ” คำพูดที่เอ่ยออกมาราวกับสื่อให้เห็นว่าแค่มีกองทัพอยู่ในมือก็ทำอะไรได้ทุกอย่าง หรงจิ่งจึงต้องกลั้นหัวเราะ ไม่เอ่ยอะไร
“ใช่แล้ว” อวี้ฉู่ซวนเห็นเหตุการณ์ั้แ่ต้น อดไม่ได้ที่จะหาโอกาสเข้าไปร่วมบทสนทนา “น้องสามดูจะทำอะไรเกินตัว ถืออำนาจกองทัพไว้ในมือมากมายเช่นนี้ มีจุดประสงค์อะไรหรือ เ้าจะไปปราบชาวซยงหนูหรือว่าในใจ...คิดการใดกันแน่”
เวลาอวี้ฉู่ซวนอ้าปากพูดทีไร อย่างกับ้าว่าร้ายผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา
อวี้ฉู่จาวแสดงท่าทีเหมือนไม่ได้ยิน หรงจิ่งก็ยังคงเป็ผู้ที่ตอบกลับ “องค์ชายสองตรัสเช่นนี้อาจไม่ถูกต้อง ที่มีอำนาจเพราะฮ่องเต้คือผู้มอบอำนาจเหล่านี้ให้ หรือว่าหากอำนาจทางการทหารนี้ไปตกอยู่ในมือขององค์ชายสอง องค์ชายคิดจะทำเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ในสายตาของหรงจิ่ง องค์ชายทั้งสองเป็เพียงเด็กไร้ความสามารถ ล้วนเป็จุดด่างพร้อยของราชวงศ์
เพราะทำการใหญ่อะไรไม่ได้ อำนาจส่วนใหญ่จึงถูกยกให้อยู่ในมือขององค์ชายสาม
“เ้า...ฮึ ไม่มีทางแน่นอน” โดนกล่าวหาเช่นนี้ อวี้ฉู่ซวนพลันร้อนตัว รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
อวี้ฉู่หลิงมองเหตุการณ์นี้ด้วยความสนุก ปกติเขามักถูกอวี้ฉู่ซวนกดขี่ วันนี้พอได้เห็นอีกฝ่ายถูกทำให้อับอายจึงรู้สึกมีความสุข
“ฮึ น้องสาม ข้าได้ยินมาว่าเสด็จพ่อเตรียมงานอภิเษกให้เ้า แล้วเื่ชาวซยงหนู เ้าจะร่วมรบอยู่หรือไม่ เ้าไม่อยู่เมืองหลวงเพื่อเตรียมงานอภิเษกหรือ เ้าเสียพระชายาไปถึงสองคนแล้ว หากไม่ระวังอีกเกรงว่าจะ…” อวี้ฉู่ซวนเปลี่ยนเื่ขึ้นมากะทันหัน
เขาไม่เชื่อหรอกว่าอวี้ฉู่จาว เ้าคนบ้าบิ่นนี่จะยังเมินเฉยอยู่ได้
แต่อวี้ฉู่ซวนก็ต้องอับอายอีกครั้งเพราะอวี้ฉู่จาวไม่ยอมเสวนา
วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับการยั่วยุของผู้ไม่หวังดีคือการเพิกเฉยและไม่สนใจ ตบมือข้างเดียวไม่มีทางดัง
สายตาของอวี้ฉู่จาวจับจ้องไปทางประตูของท้องพระโรง ขณะนี้มีคนมาเปิดประตูแล้ว แดดยามเช้าที่ส่องไล่มายังบันไดัค่อยๆ อุ่นขึ้นก่อนจะสาดส่องไปในพระราชวัง
ทันใดนั้น สถานที่นี้จึงกลายเป็พระราชวังชวนดึงดูดสายตา
“ท้องพระโรงเปิด---” หลี่ิลู่ร้องด้วยเสียงอันโหยหวน ขัดจังหวะคำพูดของเหล่าขุนนางที่พากันกระซิบกระซาบกันอย่างเซ็งแซ่
ทุกคนต่างทยอยเดินเข้าไป
การวางอุบายทั้งหมดจะเริ่มขึ้น ณ ที่แห่งนี้ แม้จะเป็ฮ่องเต้หรือข้าหลวง แต่กฎหมายกับจารีตประเพณีจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง เหล่าข้าราชบริพารต่างพากันแบ่งก๊กแบ่งเหล่าเป็ของตนเองราวกับภูตผี
ไม่นาน ผู้คนล้วนยืนอย่างเป็ระเบียบ ฮ่องเต้ทรงนั่งประจำตำแหน่ง หลังจากทำความเคารพถึงเริ่มเข้าสู่การหารือ
หัวข้อสำคัญในวันนี้จะเป็เื่อะไรไปไม่ได้นอกจากชาวซยงหนู
ชาวซยงหนูไม่ได้มีความเก่งกาจมากมายนัก เป็เพียงชาติหนึ่งที่ไร้การวางแผนอย่างชัดเจน พูดง่ายๆ คือไม่ว่าจะเป็ใครที่นำทัพไปก็สามารถเอาชนะได้ทั้งนั้น แต่ปัญหาอยู่ที่จะใช้เวลามากหรือน้อยเพียงใด และจะเอาชนะได้สวยงามขนาดไหน นั่นเป็เื่ที่ต้องมาดูกันภายหลัง
และก่อนที่จะเอ่ยถึงเื่นั้น ฮ่องเต้ได้ประกาศพระราชโองการให้เหล่าข้าหลวงได้รับทราบ
“เมื่อวานนี้ ข้าได้มีการตัดสินใจเื่งานอภิเษกครั้งใหม่ของจ้านหวัง”
อภิเษกอีกแล้วหรือ?
นี่คือสิ่งที่เหล่าข้าหลวงพากันคิด เทพเ้าแห่งาคือผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูง ไม่มีใครกล้ายุ่มย่ามมากนัก หากบุตรสาวของตนถูกเลือกให้อภิเษกกับจ้านหวังคงจะเป็เื่ที่ดี
ทว่าในใจของเหล่าข้าหลวงต่างทราบกันดีว่าอีกฝ่ายอยู่ในตำแหน่งสูงส่ง ฮ่องเต้คงจะไม่ให้ท่านอ๋องผู้นี้สานสัมพันธ์กับเหล่าข้าหลวงเป็แน่
“บุตรชายของแม่ทัพฮวาเวยซึ่งมีนามว่าหลินหร่าน อ่อนโยนและซื่อสัตย์ มีความเคารพอ่อนน้อม รูปลักษณ์โดดเด่น เหมาะสมกับจาวเอ๋อร์ ทั้งคู่จะอภิเษกสมรสกัน”
เมื่อฮ่องเต้ฉงเต๋อตรัสเสร็จ ทั่วทั้งท้องพระโรงพลันเกิดความโกลาหล
อภิเษกกับภรรยาชายอย่างนั้นหรือ
นี่เป็เื่ที่เกิดขึ้นครั้งแรกในเมืองอวี้อัน
“ผู้ชาย? ฝ่าา นี่...ท่านแม่ทัพใหญ่” ต้าซือหม่าหรงจิ่งที่ยืนอยู่ข้างกายอวี้ฉู่จาวตกตะลึงที่สุด
เขาพอจะรู้มาว่าจะมีการจัดงานอภิเษกให้กับแม่ทัพใหญ่ซึ่งเขาไม่เคยสนใจมาก่อน ถึงนี่จะเป็เื่ส่วนตัวของอวี้ฉู่จาว แต่ว่า...การอภิเษกกับภรรยาชายนั้น นี่เท่ากับเป็การลดคุณสมบัติของท่านแม่ทัพใหญ่ไม่ใช่หรือ
“ฝ่าา กระหม่อมขอคัดค้านพ่ะย่ะค่ะ” หรงจิ่งยืนขึ้น “ท่านแม่ทัพใหญ่กระทำความผิดอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ฉงเต๋อขมวดคิ้ว “ไม่มีความผิด”
ปกติแล้วพระองค์ไม่ค่อยชอบสนทนากับต้าซือหม่านัก เพราะทุกประโยคที่เอ่ยออกมานั้นมักเต็มไปด้วยแผนการ
“ถ้าเช่นนั้น เหตุใดฝ่าาถึงได้ลงโทษท่านแม่ทัพใหญ่เช่นนี้”
“เ้าหมายความว่าอย่างไร”
“ความหมายของกระหม่อมคือ การที่ให้ชายมาเป็พระชายา แม้จะเป็เพียงนางบำเรอมิอาจเป็ภรรยาจริงได้ แล้วเช่นนั้นจะมีทายาทสืบสกุลอย่างไร ท่านแม่ทัพใหญ่เป็ถึงท่านอ๋อง ตำแหน่งสูงส่ง จะอภิเษกกับภรรยาชายได้อย่างไร แบบนี้ไม่เท่ากับเป็การสำเร็จโทษหรือพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากเอ่ยจบ หรงจิ่งก็สะบัดชุดก่อนคุกเข่าก้มลงกับพื้น “ฮ่องเต้โปรดเพิกถอนการตัดสินใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากนั้น เหล่านายพลอีกหลายคนที่อยู่ด้านหลังอวี้ฉู่จาวก็คุกเข่าลงเช่นกัน “ฮ่องเต้โปรดเพิกถอนการตัดสินใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ฉงเต๋อในตอนนี้ไม่รู้ควรตอบเช่นไร พระองค์ไม่อาจพูดสิ่งที่ฮองเฮาบอกกับตนได้ และความกังวลในใจของตนก็มิอาจเอ่ยออกไปได้เช่นกัน
เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ฉงเต๋อไม่อาจต่อต้านเหล่านายพลได้แล้ว อวี้ฉู่ซวนเองที่ไม่สามารถทนมองความตั้งใจของผู้เป็แม่ล้มเหลวได้จึงได้ก้าวออกมา
“การอภิเษกนี้จัดขึ้นเพราะเหตุใด ในใจของน้องสามคงรู้แจ้งที่สุด ตอนนี้ทุกคนย่อมรู้ดีว่าเป็เพราะโชคชะตาที่เลวร้าย ชายาเสียไปถึงสองคน แต่หลินหร่าน บุตรชายของแม่ทัพฮวาเวยเป็คนมีชื่อเสียงในเมืองอวี้อัน และยังเป็คนดวงแข็ง เสด็จพ่อทำเพื่อน้องสามจึงได้มีพระราชโองการเช่นนี้”
ถ้อยคำนี้ หากเป็ตัวของฮ่องเต้ฉงเต๋อคงไม่สามารถเอ่ยออกมาเองได้ แต่อวี้ฉู่ซวนกลับกล่าวออกมาได้อย่างเฉยเมย
ฮ่องเต้ฉงเต๋อรีบหยุดความอับอายนี้ไว้ทันที “ซวนเอ๋อร์ พอได้แล้ว!”
น้ำเสียงตำหนิเอ่ยขึ้นก่อนจะดึงความสนใจของทุกคนให้กลับมาอยู่ที่ตนเอง
“จาวเอ๋อร์ ชายาคนนี้ข้าเป็คนเลือกให้เ้า ไม่ว่าอย่างไรก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ นอกเหนือจากเื่ชายาของเ้าที่จะต้องเป็หลินหร่าน ลูกชายของแม่ทัพฮวาเวยเท่านั้นแล้ว เื่อื่นๆ ของเ้าข้าจะไม่ยุ่งอีก ไม่ว่าเ้าจะมีลูกจากสนมหรือจะรับบุตรบุญธรรมมา ข้าก็จะไม่ยุ่ง”
“แต่ฝ่า…”
“ลูกน้อมรับพระบัญชา”
ยังไม่ทันที่หรงจิ่งจะทักท้วง อวี้ฉู่จาวพลันเอ่ยออกมา แต่น้ำเสียงนั้นออกจะแข็งกระด้างไปเสียหน่อย
“ท่านแม่ทัพใหญ่!” หรงจิ่งไม่เข้าใจ แต่เมื่ออวี้ฉู่จาวจ้องมาที่เขา หรงจิ่งจึงเก็บความโกรธนั้นไปทันที
ความจริงแล้ว อวี้ฉู่จาวไม่มีทางปฏิเสธงานแต่งครั้งนี้อย่างแน่นอน เขาแค่รอให้อวี้ฉู่ซวนกับฮ่องเต้จัดฉากให้เขาปฏิเสธได้ยากขึ้นเท่านั้น
เหมือนอย่างที่หรงจิ่งกล่าว ในชาติก่อนเขาก็คิดเช่นเดียวกับหรงจิ่งและได้ปฏิเสธพระราชโองการของฮ่องเต้ นี่คงถือเป็ปฏิกิริยาปกติที่สุดสำหรับเหล่าองค์ชายและบุตรทุกคนที่เจอเื่เช่นนี้
อีกทั้งหากในชาตินี้ เขาตอบตกลงอย่างเต็มใจก็อาจสร้างความแปลกใจให้กับฮ่องเต้ ดังนั้นเขาจึงรอ
รอโอกาสให้อวี้ฉู่ซวนกับฮ่องเต้ฉงเต๋อเปิดโอกาสที่ยากต่อการปฏิเสธให้กับเขา
ฮ่องเต้ฉงเต๋อที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ัจ้องมองอวี้ฉู่จาว
เป็อย่างเช่นเคย ใบหน้าเขาไม่แสดงความรู้สึกใด ไม่มีใครรู้ว่าอวี้ฉู่จาวกำลังคิดอะไรอยู่
ฮ่องเต้ฉงเต๋อเกิดความรู้สึกสับสน หลายปีมานี้เขาไม่เคยเข้าใจบุตรคนนี้เลย
ในชาติก่อนนั้น ครั้งเดียวที่อวี้ฉู่จาวแสดงอารมณ์ออกมาต่อหน้าฮ่องเต้ฉงเต๋อคือในพิธีอภิเษกของเขากับหลินหร่าน และเป็เพราะครั้งนั้นทำให้ฮ่องเต้ฉงเต๋อรู้ว่าโอรสของเขาเืร้อนและเย่อหยิ่งเพียงใด
แต่ในชาตินี้ อวี้ฉู่จาวจะไม่มอบโอกาสให้รู้จักนิสัยของเขา...ไม่สิ...จะไม่มีทางให้โอกาสอีก
ทุกสายตามองมาทางอวี้ฉู่จาวที่รับพระราชโองการโดยไม่ปฏิเสธ แต่ก็ทำให้คนอื่นไม่กล้าเอ่ยอะไร ก่อนจะเริ่มการหารือในหัวข้อต่อไป
---------------------------------------
1 ต้าซือหม่า หมายถึง ตำแหน่งที่ปรึกษาทางการทหาร คอยดูแลกิจการฝ่ายทหาร เทียบเท่าสมุหกลาโหม
2 เหิงหวัง เป็ฉายาของเสด็จอาอวี้ฉู่จาว ซึ่งมีตำแหน่งเป็ท่านอ๋อง