แม้แต่คนจากเผ่าัก็ปรากฏตัวที่นี่ เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในการประลองยุวราชันแห่งสิบแคว้น
รถม้าไล่ตามพระจันทร์หยุดอยู่นอกกลุ่มคน
หลัวเลี่ยและหญิงสาวทั้งสองคนลงจากรถ
ทันทีที่หลัวเลี่ยลงจากรถ เสียงเล็กๆ ก็ดังมาเข้าหูของเขา เสียงนี้มาจากหลิวจื่ออั๋งผู้าุโเจ็ดของหอเซียวเหยา หลิวจื่ออั๋งกล่าวว่า “หลัวเลี่ย เ้าสู้ให้เต็มที่เถอะ ข้าได้เชิญเพื่อนจากวัดเซียหยาง แคว้นเฉียนเฮ่อ และเผ่าัทั้งสามคนมาด้วย เผื่อว่าเกิดเื่ไม่คาดฝันขึ้น พวกเราจะได้ช่วยเ้าทัน”
หลัวเลี่ยใมาก
เขามองกลับไปที่้าสุดของอัฒจันทร์ และเห็นหลิวจื่ออั๋งพยักหน้าให้เขา
ครั้งนี้หลัวเลี่ยรู้สึกซาบซึ้งใจจริงๆ เขาไม่ได้คาดหวังว่าหลิวจื่ออั๋งจะทำแบบนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เขาถูกตลบหลังโดยหอการค้าฟ้านเทียน
ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลิวจื่ออั๋งยิ่งแน่นแฟ้นมากขึ้น หลิวจื่ออั๋งให้ความสำคัญกับเขามาก และยัง้ารับเขาเป็ศิษย์ ยิ่งไปกว่านั้นหลิวจื่ออั๋งยังชื่นชมในความแข็งแกร่งของหลัวเลี่ย และปฏิบัติกับเขาอย่างดี เช่นนี้หลัวเลี่ยจะไม่หวั่นไหวกับมิตรภาพของหลิวจื่ออั๋งได้อย่างไร
หลัวเลี่ยแอบพูดในใจว่า หลัวจื่ออั๋งเป็เพื่อนของข้า!
เขายิ้มให้หลิวจื่ออั๋งและไม่พูดอะไรออกมาอีก จากนั้นจึงพาซูชิวเชิงที่ทิ้งรถม้าไว้ให้คนอื่นดูแลมารวมกลุ่มด้วยกัน และทั้งสี่คนก็เดินตรงไปที่ด้านหน้าของสถานที่จัดการประลอง
บนอัฒจันทร์ ไป๋หลี่ชางพูดด้วยใบหน้าเ็า “เ้าทำเช่นนี้คุ้มแล้วหรือ”
หลิวจื่ออั๋งที่อยู่ข้างๆ ไป๋หลี่ชางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า และพูดขึ้นเบาๆ “เมื่อห้าสิบปีก่อน ข้ามีเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งและข้าติดหนี้บุญคุณเขา เขาเป็อัจฉริยะแห่งวิชายุทธ์ แต่สุดท้ายกลับต้องมาจบชีวิตลงเพราะข้า และเขาคนนั้นก็เหมือนกับหลัวเลี่ยมาก”
“เพียงเพราะเื่แค่นี้ เ้ากลับจะปกป้องหลัวเลี่ย และไม่ลังเลที่จะเป็ศัตรูกับหอการค้าฟ้านเทียน เ้าคิดว่าเ้าทำเช่นนี้แล้วจะยังดำรงตำแหน่งผู้าุโเจ็ดของหอเซียวเหยาได้อีกหรือ” ไป๋หลี่ชางยิ้มเย็น
หลิวจื่ออั๋งพึมพำกับตัวเอง “ชีวิตที่เหลืออยู่คือกำไร ข้าเหนื่อยแล้ว บางทีการที่ข้าทำตามใจตัวเองในครั้งนี้ อาจเป็ทางเลือกที่ข้าคิดว่าถูกต้องที่สุดในชีวิตแล้ว หากครั้งนี้ล้มเหลว และข้าต้องจบชีวิตลง มันก็คงทำให้ข้ารู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่เพื่อมาถึง่เวลานี้ช่างเป็่เวลาที่บริสุทธิ์เหลือเกิน”
เมื่อไป๋หลี่ชางได้ยินคำพูดของหลิวจื่ออั๋ง เขาก็กัดฟันด้วยความโกรธ
คนจากวัดเซียหยาง แคว้นเฉียนเฮ่อ และเผ่าัที่นั่งอยู่ข้างๆ ต่างแสดงท่าทีครุ่นคิดเมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดนั้น
ขณะเดียวกันคนที่จะเข้าร่วมการประลองจากสิบแคว้นก็ได้มาถึงแล้ว
กฎก่อนหน้านี้ของการประลองยุวราชันแห่งสิบแคว้น คือแต่ละแคว้นจะส่งกลุ่มที่มีสมาชิกห้าคน ซึ่งนำโดยยุวราชันของแต่ละแคว้น และตำแหน่งยุวราชันของแต่ละแคว้นนี้ก็นับว่าเป็บุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเยาวชนของแคว้นนั้นๆ
สมาชิกที่รวมกลุ่มห้าคนของทั้งเก้าแคว้นได้รวมตัวกันแล้ว และกลุ่มที่โดดเด่นที่สุดคือแคว้นเฉียนซานอย่างไม่ต้องสงสัย
แคว้นเฉียนซานและแคว้นจินหลานเป็แคว้นที่อยู่ติดกัน และพวกเขามักจะต่อสู้กันอยู่เสมอ ความคับข้องใจเช่นนี้มักเกี่ยวข้องกับการประลองยุวราชันแห่งสิบแคว้น
ครั้งนี้สี่คนจากในกลุ่มห้าคนของแคว้นเฉียนซานไม่ได้โดดเด่นมากนัก แต่คนที่โดดเด่นคือยุวราชันที่เป็หัวหน้ากลุ่ม ซึ่งสวมเสื้อคลุมสีดำอย่างแ่าเพื่อไม่ให้ใครเห็นใบหน้าของเขา ดังนั้นหลัวเลี่ยจึงระบุตัวตนของคนคนนั้นไม่ได้
และยังมีกลุ่มของแคว้นซวนิ
ความแข็งแกร่งของแคว้นซวนิถือได้ว่าเป็ความแข็งแกร่งของแคว้นระดับกลางเท่านั้น โดยปกติแล้วความสามารถของพวกเขาแทบจะอยู่รั้งท้ายในลำดับของการประลองยุวราชัน แต่ครั้งนี้กลับแตกต่างออกไป เพราะสมาชิกสามคนจากในกลุ่มห้าคนที่พวกเขาส่งมาล้วนมาจากตระกูลเลี่ย
สำหรับกลุ่มจากแคว้นอื่นๆ แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีความเป็ศัตรูมากเท่าสองกลุ่มนี้ แต่พวกเขาทั้งหมดก็มองไปที่หลัวเลี่ยอย่างไร้ความปรานี เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้รับคำสั่งจากแคว้นของตนเองมา เพราะหลัวเลี่ยคือคนที่จะต้องถูกหอการค้าฟ้านเทียนฆ่า ดังนั้นพวกเขาจึงใช้โอกาสนี้เพื่อกำหนดเป้าหมายจัดการหลัวเลี่ยก่อน นอกจากนี้ยังเป็โอกาสที่ดีที่จะใช้หลัวเลี่ยในการประจบประแจงหอการค้าฟ้านเทียนอีกด้วย
ดังนั้นกลุ่มคนทั้งเก้าแคว้นจะมุ่งเป้าไปที่หลัวเลี่ยเป็อันดับแรก
สุดท้ายคือกลุ่มคนจากแคว้นจินหลาน นอกจากหลัวเลี่ยแล้ว เขารู้จักอีกสี่คนที่เข้าร่วมต่อสู้ด้วย พวกเขาคือ ซือสิ่งหลง เฉิงปู้กุย หูหยางอี และหูหยินอี
ในฐานะยุวราชันแห่งแคว้นจินหลาน หลัวเลี่ยจะต้องเป็ผู้นำของคนทั้งสี่คนนี้
เมื่อมองเพียงแวบเดียว เขาก็เห็นว่าคนอื่นๆ ที่เข้าประลองมีความแข็งแกร่งไม่เท่ากัน แต่เขามองความแข็งแกร่งของยุวราชันแห่งแคว้นเฉียนซานไม่ออก เพราะคนผู้นั้นปิดบังตัวตนอยู่ภายใต้เสื้อคลุมอย่างมิดชิด
ผู้เข้าประลองที่แข็งแกร่งมีพลังระดับผู้ฝึกตนระดับที่เก้า ในขณะที่ผู้เข้าประลองที่อ่อนแอมีพลังระดับผู้ฝึกตนระดับที่เจ็ดเท่านั้น
นี่คือความแข็งแกร่งของคนในแคว้นระดับกลาง
ในขณะที่แคว้นที่อ่อนแอที่สุดอย่างแคว้นเป่ยสุ่ย แทบจะไม่มีเยาวชนคนใดที่อยู่ในระดับผู้ฝึกตนระดับที่เจ็ดขึ้นไป สิ่งนี้นับว่าเป็ช่องว่างขนาดใหญ่ทางความแข็งแกร่งของแคว้น
ซาเฉียนหลี่ซึ่งมีฐานะเป็ราชครูประจำแคว้นจินหลาน มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดการประลองยุวราชันแห่งสิบแคว้นในครั้งนี้
หลังซาเฉียนหลี่ออกคำสั่ง เยาวชนทั้งห้าสิบคนจากสิบแคว้นก็ปรากฏตัวในตำแหน่งที่ต่างกันรอบๆ สนามประลอง
แคว้นที่เป็เ้าภาพในครั้งนี้อย่างกลุ่มแคว้นจินหลาน ปีนขึ้นมาจากทางทิศใต้ และตำแหน่งนี้หันหน้าเข้าหาอัฒจันทร์โดยตรง ทำให้มองเห็นอัฒจันทร์ได้ชัดเจนที่สุด
หลัวเลี่ยเดินนำซือสิ่งหลงและอีกสี่คนไปที่ลานประลอง
หลัวเลี่ยมาถึงแท่นทรงกลมสูงเกือบสองจั้ง เขาไม่ได้มองเยาวชนคนอื่นๆ แต่กลับเดินผ่านพวกเขาและมายืนอยู่ตรงหน้าไป๋หลี่ชาง
ซึ่งไป๋หลี่ชางก็มองมาที่เขาเช่นกัน
ทั้งสองจ้องตากัน ราวกับมีประกายออกมาจากดวงตาของทั้งคู่
หลังจากที่คนทั้งห้าสิบคนยืนอยู่บนแท่นกลมสูงเกือบสองจั้งในลานประลองแล้ว เสียงประกาศของราชครูซาเฉียนหลี่ก็ดังขึ้น “กฎของการประลองยุวราชันแห่งสิบแคว้นในครั้งนี้นั้นเรียบง่ายมาก คือการให้คนทั้งห้าสิบคนจากสิบแคว้นเข้าต่อสู้ตะลุมบอนพร้อมกันในคราเดียว หากตัวแทนของแคว้นใดพ้นจากสภาพการแข่งขันครบทั้งห้าคนก่อน แคว้นนั้นจะถือว่าอยู่ในลำดับที่สิบ และผู้ที่เหลืออยู่เป็ลำดับสุดท้ายจะนับเป็ลำดับที่หนึ่ง”
ผู้คนที่อยู่รอบๆ แตกตื่นกันทันที
ปกติแล้วการประลองยุวราชันแห่งสิบแคว้นจะใช้การจับฉลากเพื่อมาต่อสู้กัน กลุ่มที่ชนะก็จะได้เข้าสู่รอบต่อไป และค่อยๆ ก้าวเข้าสู่รอบลึก ก้าวเข้าสู่ชัยชนะทีละขั้น
ทว่าครั้งนี้เป็กลับเป็การตะลุมบอน นี่เป็วิธีการต่อสู้ที่อันตรายที่สุด
แต่เมื่อมีคนคิดได้ว่าหอการค้าฟ้านเทียนจะฆ่าหลัวเลี่ยในการประลองยุวราชันแห่งสิบแคว้นในครั้งนี้ ผู้คนจึงเริ่มเข้าใจ
แต่มีบางคนไม่เข้าใจว่า หากหอการค้าฟ้านเทียนทำเช่นนี้ก็เท่ากับเป็การเข้าไปยุ่ง และหากหลัวเลี่ยเสียชีวิตในการต่อสู้เช่นนี้จริงๆ นี่จะถือว่าเข้าข่ายตามคำขอของหลัวเลี่ยที่มีต่อตราราชันข่งเชวี่ยหรือไม่
ในตอนนั้นเององค์ชายสามก็ลุกขึ้นยืนโดยไม่มีใครคาดคิด และพูดเสียงดัง “ข้าเป็คนเสนอให้มีการต่อสู้แบบตะลุมบอนเอง เื่นี้ไม่เกี่ยวข้องกับใคร ข้าเป็คนตัดสินใจเอง เพื่อให้สามารถตัดสินจากพลังที่แท้จริงได้ และข้อเสนอของข้าก็ได้รับการตอบรับจากทั้งสิบแคว้นแล้ว”
อี๋!
ใครๆ ล้วนบอกได้ว่าองค์ชายสามช่างไร้ยางอาย เห็นได้ชัดว่าเขาทำเพื่อประจบประแจงหอการค้าฟ้านเทียน เพราะหอการค้าฟ้านเทียนย่อมชอบวิธีการประลองแบบนี้มากที่สุด และวิธีนี้ยังเป็วิธีที่มีโอกาสทำให้หลัวเลี่ยตายได้มากที่สุด
โดยปกติแล้วหอเซียวเหยาคือผู้ที่อยู่เื้ัแคว้นจินหลาน การที่องค์ชายสามกล้าทำเช่นนี้คงเป็เพราะได้รับคำแนะนำจากผู้าุโคนอื่นๆ ในหอเซียวเหยาอย่างแน่นอน เห็นได้ชัดว่าเื่นี้เกิดจากความตั้งใจของหลิวจื่ออั๋งที่เสี่ยงเพื่อหลัวเลี่ย
หลังจากที่องค์ชายสามรับสั่งจบ เขาก็มองไปที่หลัวเลี่ยอย่างยั่วยุราวกับกำลังพูดว่า นี่คือราคาที่เ้าต้องจ่ายสำหรับการทุบตีข้าในตอนนั้น
หลัวเลี่ยพูดแ่เบาอย่างใจเย็น “เ้ามันก็แค่สุนัขตัวหนึ่ง”
สีหน้าขององค์ชายสามเปลี่ยนเป็สีแดงก่ำทันที ราวกับว่าเขา้าที่จะฉีกหลัวเลี่ยเป็ชิ้นๆ เขากัดฟันและพูดว่า “หลัวเลี่ย เ้ารู้ไหมว่าท่าทีหยิ่งยโสโอหังของเ้ามันปลุกความแค้นของพวกข้าชาวจินหลานขึ้นมาแล้ว ดังนั้นการประลองในครั้งนี้ พวกที่เป็ตัวแทนชาวจินหลานทั้งหูหยางอี หูหยินอี ซือสิ่งหลง และเฉิงปู้กุย ทั้งสี่คนนั้นก็จะร่วมมือกันจัดการเ้า และนี่ก็คือแผนของพวกข้า”
ครั้งนี้หลัวเลี่ยจะต้องเอาชนะคนจากทั้งสิบแคว้นด้วยตัวเองอย่างแท้จริง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้