บทที่ 1: ความตายและกลิ่นทินเนอร์
เสียงแก้วไวน์ราคาแพงตกกระทบพื้นพรมดัง ตุบ... ไม่ใช่เสียงแตกกระจาย แต่เป็เสียงอู้อี้เหมือนกับลมหายใจสุดท้ายของฉัน
'รินลดา' หญิงแกร่งแห่งวงการเทรดเดอร์ ผู้นำพาบริษัทข้ามชาติกวาดกำไรปีละพันล้าน ทรุดตัวลงบนเก้าอี้ทำงานหนังแท้ตัวใหญ่ ความเ็ปแล่นพล่านที่หน้าอกข้างซ้ายเหมือนมีใครเอามือที่มองไม่เห็นมาบีบขยี้หัวใจ ภาพแสงไฟยามค่ำคืนของกรุงเทพมหานครจากตึกชั้น 50 เริ่มพร่ามัว
ฉันทำงานหนักมาตลอด 40 ปี... เพื่ออะไร? เพื่อเงินในบัญชีที่ใช้ไม่หมด หรือเพื่อเกียรติยศที่ไม่มีใครกอดได้ในวันที่หนาวเหน็บ
"ถ้ามีโอกาสอีกครั้ง..." ความคิดสุดท้ายแล่นเข้ามาในสมองที่กำลังจะดับวูบ "...ฉันจะไม่ทำงานถวายหัวให้ใคร แต่ฉันจะเป็นายของชะตาชีวิตตัวเอง"
ความมืดมิดกลืนกินทุกอย่าง...
...
"เฮือก!"
ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับลมหายใจที่หอบกระชั้น ไม่ใช่ความเย็นฉ่ำของเครื่องปรับอากาศในเพนต์เฮาส์หรู แต่เป็ความร้อนอบอ้าวและกลิ่นฉุนกึกที่คุ้นเคย... กลิ่นทินเนอร์? กลิ่นขี้เลื่อย?
ฉันลืมตาโพลง สิ่งแรกที่เห็นไม่ใช่เพดานฝ้าหลุมราคาแพง แต่เป็หลังคาสังกะสีที่มีรอยรั่วเป็จุดๆ แสงแดดยามบ่ายลอดผ่านช่องลมไม้เก่าๆ เข้ามา เสียงพัดลมตั้งโต๊ะส่ายหน้าดัง ครืดคราด เหมือนจะขาดใจตายได้ทุกเมื่อ
"นี่มัน..." ฉันยกมือขึ้นมาดู มือนั้นไม่ใช่ของรินลดาผู้มีเล็บทำมาอย่างดี แต่มันคือมือที่หยาบกร้าน เล็บสั้นกุด และมีรอยสีเปรอะเปื้อน
ความทรงจำสายหนึ่งไหลบ่าเข้ามาในหัวจนปวดร้าวราวกับจะะเิ
ฉันคือ 'บัว' หรือ 'บัวบูชา' เด็กสาววัย 22 ปี เพิ่งเรียนจบหมาดๆ ลูกสาวเ้าของโรงงานเฟอร์นิเจอร์ไม้ขนาดเล็กย่านชานเมือง
และวันที่... ฉันหันขวับไปมองปฏิทินแขวนผนังรูปดาราจีนเก่าๆ
15 พฤศจิกายน 2540
ปีนรก!
ปีที่รัฐบาลประกาศลอยตัวค่าเงินบาท
ปีที่ธุรกิจล้มระเนระนาดเหมือนโดมิโน่
และตอนนี้... โรงงานของพ่อกำลังจะเจ๊ง
"โครม!!"
เสียงข้าวของล้มดังสนั่นมาจากชั้นล่าง ตามด้วยเสียงร้องไห้โฮของผู้หญิง
"พ่อ! พ่ออย่าทำแบบนี้! ฮือออ พ่อวางลงเถอะ!"
สัญชาตญาณของรินลดาตื่นตัวทันที ร่างกายของ 'บัว' ขยับไปเองตามการสั่งการของสมองผู้บริหาร ฉันกระชากประตูไม้บานเก่าออก วิ่งลงบันไดบ้านไม้ที่ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด
ภาพที่เห็นทำเอาเืในกายเย็นเฉียบ
ท่ามกลางกองไม้สักแปรรูปและเฟอร์นิเจอร์ที่ค้างสต็อก 'พ่อ' หรือ 'เฮียชัย' ชายวัย 50 ปลายๆ ที่ผมขาวโพลนไปครึ่งหัว กำลังยืนอยู่บนเก้าอี้ไม้สักตัวงาม ในมือถือเชือกไนลอนเส้นหนาที่ผูกปมไว้กับคานโรงงาน ใบหน้าของเขาเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา
แม่นั่งกองอยู่กับพื้น กอดขาเก้าอี้ไว้แน่น ร้องไห้จนแทบขาดใจ
"เฮีย! อย่าทิ้งพวกเราไป ถ้าเฮียตาย แล้วหนี้สิบล้านนั่นใครจะใช้!"
"ปล่อยกู! แม่มึงปล่อยกู!" พ่อะโเสียงสั่นเครือ แววตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังที่มืดมนที่สุด "กูอยู่ไปก็ไม่มีปัญญาใช้หนี้มัน ดอกเบี้ยมันวิ่งเร็วกว่านรก กูตายซะ เงินประกันชีวิตคงพอให้พวกมึงไปตั้งตัวใหม่!"
"หยุดเดี๋ยวนี้!"
เสียงของฉันไม่ได้ดังะโ แต่กังวานและทรงพลังจนน่าประหลาดใจ มันคือ 'อำนาจ' ที่ติดตัวมาจากิญญาของรินลดา
ทั้งพ่อและแม่ชะงัก หันมามองฉันเป็ตาเดียว
ฉันเดินลงบันไดขั้นสุดท้ายอย่างมั่นคง สายตาจับจ้องไปที่พ่อ ไม่ใช่ด้วยความสงสาร แต่ด้วยความเด็ดขาด
"ลงมาเดี๋ยวนี้พ่อ... การตายของพ่อไม่ได้ช่วยให้หนี้หมด แต่จะทำให้แม่กับหนูโดนพวกมันรุมทึ้งเร็วกว่าเดิม"
"บัว... เอ็งไม่เข้าใจ" พ่อสะอื้น "ดอลลาร์มันขึ้นเอาๆ หนี้เราเป็หนี้ต่างประเทศ... โรงงานเราจบแล้วลูก"
ฉันเดินเข้าไปใกล้ แหงนหน้ามองพ่อ แล้วพูดประโยคที่ทำให้พ่อถึงกับชะงัก
"พ่อบอกว่าดอลลาร์มันขึ้นใช่มั้ย? ตอนนี้ 1 ดอลลาร์แลกได้กี่บาท?"
"ส...สี่สิบกว่า... อาจจะห้าสิบแล้ว" พ่อตอบงงๆ
ฉันแสยะยิ้มออกมา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เป็รอยยิ้มที่คนในโลกธุรกิจยุค 2025 ต่างเกรงกลัว
"งั้นก็ดี... ถ้าเงินบาทมันห่วยแตกนัก เราก็เลิกขายคนไทยสิพ่อ"
ฉันเดินเข้าไปดึงเก้าอี้ที่พ่อยืนอยู่อย่างใจเย็น
"ลงมา... แล้วเอาเชือกนั่นไปมัดของซะ หนูรู้วิธีที่จะทำให้ไอ้กองไม้พวกนี้กลายเป็ทองคำ... เราจะไม่เจ๊ง แต่เราจะรวยจนคนที่ดูถูกเราต้องกราบ"
แววตาของเด็กสาวจบใหม่ที่เคยขี้อายและอ่อนแอ บัดนี้เปลี่ยนไปเป็แววตาของพยัคฆ์ร้ายที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อ
การเทคโอเวอร์กิจการ (และชีวิต) ครั้งใหม่... เริ่มต้นขึ้นแล้ว
