อู๋เจาหรงใกับความเ็าและความเด็ดขาดของเหยียนอู๋อวี้ ความรู้สึกกระตือรือร้นในตอนแรกค่อยๆ ลดลง ในที่สุดเมื่อตั้งสติขึ้นมาได้บ้างเล็กน้อย นางจึงมองเหยียนอู๋อวี้พลางเอ่ยถามเสียงต่ำ “ไม่ใช่เ้าแล้วคือผู้ใด?”
“หากเป็ข้า ข้าจะยืนเอ่ยถึงเื่นี้อยู่เบื้องหน้าท่านแล้วโยนตนเองเข้าไปในกับดักนี้หรือ?” เหยียนอู๋อวี้กล่าวเสียงเ็า
“ใช่ ไม่มีทางเป็เ้า เ้าเข้าวังหลวงมาได้ไม่นาน ไม่มีความสามารถเช่นนี้แน่” ดูเหมือนอู๋เจาหรงจะเข้าใจแล้ว นางกุมศีรษะอีกครั้งพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นเป็ผู้ใด? เป็ผู้ใดกันแน่!”
เหยียนอู๋อวี้มิได้ตอบกลับในทันที หากแต่ถามอีกคำถามหนึ่งแทน “พี่หญิงอยากแก้แค้นหรือไม่?”
“อยาก ข้า้าแก้แค้น ข้าอยากออกไปจากที่นี่ ข้าไม่อยากอยู่ในนี้!” ดูเหมือนอู๋เจาหรงจะกระตือรือร้นขึ้นมาอีกครั้ง
“พี่หญิงอยากแก้แค้น อยากออกไปจากที่นี่ เช่นนั้นต้องหาวิธี”
อู๋เจาหรงเอ่ยเสียงเศร้าสร้อย “ข้าจะไปหาวิธีอันใดได้? บิดาข้าถูกใส่ร้ายจนเข้าคุก ตอนนี้ข้าถูกขังอยู่ในนี้ ทำได้เพียงขอร้อง.…..”
ขณะที่นางเอ่ยนั้นกลับชะงักไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนนางจะระวังบางอย่างและไม่ส่งเสียงใดออกมาอีก
เหยียนอู๋อวี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “รอองค์หญิงใหญ่ยื่นมือมาช่วยหรือ?”
อู๋เจาหรงร่างกายแข็งทื่อเมื่อได้ยินประโยคนี้ ก่อนจะมองนางอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “เ้ารู้ได้อย่างไร?”
“ข้ารู้แม้กระทั่งผู้ใดคือคนร้ายที่ใส่ความท่านแล้วจะไม่รู้เื่พวกนี้ได้อย่างไร?” เหยียนอู๋อวี้กล่าวโดยไม่ลังเล
“เ้า...…เ้ารู้ว่าผู้ใดคือคนร้าย…...คนร้ายที่วางพิษกู่ข้าคือผู้ใด?” อู๋เจาหรงคล้ายจะััได้ถึงความหวัง นางเดินโซเซไปหาเหยียนอู๋อวี้ทันที นางไม่อยากล้ม ไม่อยากล้มลงบนพื้นแล้ว
เหยียนอู๋อวี้ไม่เสียเวลาอีก นางเอ่ยถามราบเรียบ “วันนั้นที่เราพบกันในสวนวังหลวง หลังจากแยกกัน พี่หญิงได้ััดอกโบตั๋นหรือไม่?”
อู๋เจาหรงเผยสีหน้างุนงงออกมาก่อน จากนั้นคล้ายคิดบางสิ่งออก ทันใดนั้นดวงตาพลันเบิกกว้างพลางกล่าวอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เป็นาง...…”
“พี่หญิงคิดออกแล้ว?” เหยียนอู๋อวี้เอ่ยถามเสียงเบา
“ซูเฟย! ฮวารั่วซี! วันนั้นมีเพียงนางที่มอบดอกโบตั๋นให้ข้าหนึ่งดอก……” อู๋เจาหรงเอ่ยพลางหันศีรษะไปมองเหยียนอู๋อวี้อย่างกะทันหัน “เ้ารู้ได้อย่างไร?”
“ข้ารู้เื่พวกนี้ได้อย่างไร พี่หญิงไม่ต้องสนใจ พี่หญิงเพียงแค่ต้องเข้าใจว่าฮวารั่วซีเป็คนเผ่าเป่ยอู พิษกู่ชนิดนี้เป็เื่ง่ายดายสำหรับนาง” เหยียนอู๋อวี้เอ่ยเตือนเสียงเบา จากนั้นจึงอธิบายประวัติชีวิตของฮวารั่วซีให้นางฟัง
อู๋เจาหรงขบคิดตามคำพูดนาง สีหน้ามีความโศกเศร้าปกคลุม เดิมทีนางคิดว่าในที่สุดซ่งอี้เฉินก็ค้นพบความดีของตนเองจึงคะนึงหานางทั้งวัน ไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็เพราะพิษกู่ นางนึกถึงเมื่อก่อนหน้าที่เห็นใบหน้าตนเองในคันฉ่องทุกวันและคิดว่าตนเองตั้งครรภ์ได้แน่นอน ไม่คาดคิดว่า...…ไม่คาดคิดเลยว่า…
“เหตุใดนางต้องทำเช่นนี้…...พิษกู่ชนิดนี้...…เพราะเหตุใด...…นางใช้บนร่างตนเองก็ได้ ฝ่าาจะได้ไม่ไปจากนางอีก เหตุใด...…”
ยังไม่เข้าใจอีกหรือ บางครั้งการเจรจาต่อรองกับคนโง่งมก็เป็เื่ลำบากจริงๆ เหยียนอู๋อวี้เผลอนึกถึงตนเองเมื่อก่อนโดยไม่รู้ตัว เมื่อก่อนพอเป็เื่ของซ่งอี้เฉิน บิดาก็คงเจ็บใจที่เหล็กกล้าไม่เป็เหล็กกล้ากระมัง!
เมื่อเหยียนอู๋อวี้นึกถึงบิดา ความเ็ปใจพลันสะท้อนออกมาจากข้างใน นางข่มมันไว้พลางกล่าวอย่างช้าๆ “ฮวารั่วซีเป็คนของไทเฮา พี่หญิงคิดว่าเพราะเหตุใดนางจึงใส่ร้ายท่าน?”
บางทีเป้าหมายของฮวารั่วซีในตอนแรกอาจจะแค่อยากกำจัดอู๋เจาหรง ทว่าตอนนี้เป้าหมายของนางมิใช่ผลประโยชน์เพียงเท่านี้อีกต่อไป เหยียนอู๋อวี้คิดว่าตนเองสามารถใช้มันได้
เมื่ออู๋เจาหรงได้ยินเช่นนี้ ในที่สุดก็เข้าใจเสียที “เป้าหมาย…...เป้าหมายของพวกเขาคือบิดาข้า พวกเขา้ากำจัดบิดาข้า เพื่อให้องค์หญิงใหญ่...…”
ในที่สุดก็ตัดเข้าสู่ประเด็นหลัก เหยียนอู๋อวี้พยักหน้า อู๋เจาหรงจึงกล่าวว่า “บิดาข้าเป็แขนซ้ายแขนขวาขององค์หญิงใหญ่ องค์หญิงต้องช่วยเหลือบิดาข้าแน่นอน ต้องหาทางช่วยบิดาข้าแน่นอน!”
“เวลานี้ตระกูลของพี่หญิงต้องโทษการก่อฏลอบปลงพระชนม์ร้ายแรง ยามนี้ใกล้จะผ่านไปอีกวันแล้ว หากองค์หญิงใหญ่คิดอยากช่วย ตอนนี้ข่าวก็น่าจะแพร่สะพัดไปแล้ว เพียงแต่ข้าไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวอันใดจากองค์หญิงเลย”
ความหวังที่เพิ่งลุกโชนขึ้นมาพลันมอดดับลงทันที อู๋เจาหรงกุมหน้าอย่างหมดหนทาง เป็ครั้งแรกที่รู้สึกว่าตนเองเข้าใกล้ความตายถึงเพียงนี้ ก่อนหน้านี้นางคิดว่าบิดาจะมีวิธีและองค์หญิงใหญ่ก็คงมีวิธีเช่นกัน ทว่ายามนี้บิดานางเข้าคุกไปแล้ว องค์หญิงใหญ่ก็ยังไม่ยื่นมือมาช่วย หากองค์หญิงไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย เช่นนั้นทุกอย่าง…...เกรงว่าทุกอย่างคง…
“เ้ามาหาข้าก็เพื่อช่วยข้าส่งข่าวเท่านั้นหรือ?” อู๋เจาหรงเงยหน้าขึ้นจากความโศกเศร้า มองหน้าเหยียนอู๋อวี้ ทันใดนั้นเมื่อนึกถึงคำถามที่สำคัญมาก น้ำเสียงนางพลันเปลี่ยนเป็เ็าทันที “เ้าคงไม่ใจดีถึงเพียงนี้กระมัง!”
“พี่หญิงคิดว่าข้ามาหาพี่หญิงเพื่อเยาะเย้ยท่านหรือ?” เหยียนอู๋อวี้เลิกคิ้วถาม “ในตำหนักมีเื่น่าขันมากมาย หากอยากดูก็มีทั่วทุกหนแห่ง! ยามนี้ตำหนักบรรทมของท่านคุ้มกันแ่า ข้าเสี่ยงชีวิตมาเพื่อดูเื่น่าขันของท่าน พี่หญิงเข้าใจแล้วจริงๆ หรือ?”
“เช่นนั้นเ้าคิดจะทำอันใด?”
“ข้า” ในที่สุดเหยียนอู๋อวี้ก็เปิดปากเอ่ย “ข้ามาเพื่อเจรจาต่อรองกับท่าน!”
“ต่อรอง? ข้ายังมีอันใดให้ต่อรองได้อีก? ยามนี้เป็เพียงแค่นกในกรงตัวหนึ่งที่ช้าเร็วก็ต้องถูกต้มเป็อาหาร”
“เมื่อครู่พี่หญิงยังอยากรอดชีวิตออกไปอยู่เลย ไฉนตอนนี้ถึงได้สิ้นหวังอีกแล้ว”
เพราะนางรู้ว่าเื่นี้เกี่ยวพันไปถึงราชสำนักและนางรู้ว่าตนเองไม่มีทางให้ถอยอย่างสิ้นเชิง ฮวารั่วซีเป็คนของไทเฮา นางเป็เพียงแค่ตัวรับะุในความขัดแย้งระหว่างไทเฮากับองค์หญิงใหญ่ก็เท่านั้น!
“ข้าออกไปไม่ได้ ข้าออกไปไม่ได้อีกแล้ว!” นางพึมพำคล้ายพูดให้เหยียนอู๋อวี้ฟัง อีกทั้งยังดูเหมือนพูดให้ตนเองฟังด้วย
“พี่หญิง ต่อให้มีความหวังริบหรี่ ท่านก็อย่ายอมแพ้!”
“ความหวัง……” อู๋เจาหรงมองนางพลางเอ่ยถามด้วยความสับสน “ความหวังจากที่ใด?”
“พี่หญิงมองไม่เห็นข้าที่ยืนอยู่ตรงนี้หรือ?” เหยียนอู๋อวี้เอ่ยเสียงอ่อนโยน
“เ้า...…เ้าช่วยข้าได้หรือ...…”
“เมื่อครู่ข้าพูดไปแล้ว ตราบใดที่ยังพอมีหวังก็อย่าเพิ่งยอมแพ้!”
“เหตุใดข้าต้องเชื่อเ้าด้วย? เ้าพาข้าออกไปได้หรือ? เ้ามีความสามารถอันใด?”
จนถึงตอนนี้นางก็ยังเอาแต่ตั้งคำถาม เหยียนอู๋อวี้มองนาง ความอ่อนโยนในแววตาค่อยๆ เ็าลงพลางกล่าวว่า “พี่หญิง ท่านทำได้เพียงเลือกที่จะเชื่อข้าเท่านั้น ยามนี้ตระกูลอู๋ไม่มีทางให้ถอยแล้ว ข้าคือความหวังเพียงหนึ่งเดียวของท่าน มีเพียงข้าที่ช่วยท่านได้!”
“หากช่วยไม่ได้? หากข้าตายขึ้นมาเล่า!” อู๋เจาหรงถามกลับ
เหยียนอู๋อวี้ฟังออกว่าในน้ำเสียงนางมีความผิดปกติ สิ่งที่นางถามไปคือหากทำไม่ได้ ดูท่าแล้วนางยังปิดบังข้อมูลบางอย่างไว้จริงๆ เพียงแต่ตอนนี้ยังมีความลังเลอยู่ในใจ เหยียนอู๋อวี้ไม่รีบร้อน นางมิได้้าความเชื่อใจจากอู๋เจาหรง ที่้าคือคำพูดของอู๋เจาหรงต่างหาก
“แม้ในตำหนักหลังเราสู้กันสุดชีวิต หากแต่การตายของท่านไม่มีประโยชน์อันใดต่อข้า หากมีโอกาสแก้แค้น พี่หญิงไม่คิดจะลองหน่อยหรือ? คนที่ทำร้ายท่านมีชีวิตสุขสบาย ทว่าครอบครัวของท่านกลับต้องตายทั้งตระกูล พี่หญิงเต็มใจหรือ?”
“ข้าไม่เต็มใจแน่นอน...…ต่อให้กลายเป็ผีร้ายข้าก็จะไม่ปล่อยพวกเขา!” อู๋เจาหรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง
“ไทเฮามีวันนี้ได้ บ่าวรับใช้คงสละชีวิตไปไม่น้อย ก่อนคนพวกนั้นตาย พวกเขาก็คงอยากกลายเป็ผีร้ายไปสังหารไทเฮาเช่นกัน เพียงแต่ท่านดูไทเฮาสิ ตอนนี้ยังอยู่ดีมีสุขอยู่เลย” เหยียนอู๋อวี้โน้มตัวพลางกล่าวว่า “ตอนมีชีวิตอยู่พวกเขายังสู้นางไม่ได้ นับประสาอันใดกับตอนตายเล่า หาก้าหวังพึ่งความเพ้อฝันหลังความตาย มิสู้หาวิธีลากนางลงนรกไปด้วยกันดีกว่า”