ในตอนที่รถจอดที่ด้านล่างของตึกเนี่ยเซิงเสี่ยวก็รีบวางสายแล้วส่งโทรศัพท์คืนให้กับเหยียนจิ่งจื้อเตรียมที่จะลงจากรถเพื่อไปกางร่มให้เขา
เหยียนจิ่งจื้อปรายตามองโทรศัพท์ครู่หนึ่งแต่ก็ไม่ได้รับไป
เนี่ยเซิงเสี่ยวชะงักไป โรครักความสะอาดของเขานับวันยิ่งหนักขึ้นจริงๆก็แค่โทรศัพท์ที่ใช้ไปครั้งเดียวไม่ใช่หรือถ้าหากเป็เมื่อก่อนเธอจะต้องสั่งสอนเขาสักรอบแต่ว่าสถานะในตอนนี้เธอไม่สามารถพูดอะไรได้จึงทำได้แค่เก็บโทรศัพท์ให้เขาเอาไว้ก่อน เนี่ยเซิงเสี่ยวหยิบร่มลงจากรถแล้วเดินไปหาเขา
ในตอนที่ลงจากรถเธอก็เห็นภาพที่ถึงกับทำให้ตกตะลึง พนักงานจำนวนมากของบริษัทเฉินตงได้มายืนต่อแถวสองด้านรอต้อนรับพรมแดงที่ปูจนมาถึงปลายเท้า ไม่ต้องทำใหญ่โตจนเหมือนระบบราชการแบบนี้ได้ไหมเมื่อเห็นว่าผู้บริหารคนอื่นก็มาแล้ว เนี่ยเซิงเสี่ยวก็รีบยกร่มเดินไปอยู่ข้างกายเหยียนจิ่งจื้อ
“ท่านประธาน พวกเราได้เตรียมห้องทำงานชั้นบนสุดให้กับท่านแล้วรายงานใน่นี้ก็ได้เตรียมเอาไว้ให้ท่านได้อ่านเรียบร้อยแล้วเช่นกัน”
“ท่านประธาน ส่วนห้องพักผ่อนในห้องทำงานก็ได้เตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าหากท่านเหนื่อยสามารถเข้าไปพักผ่อนในนั้นได้เลย”
“ท่านประธาน อาหารกลางวัน….”
สิ่งที่ควรจะรายงานก็รีบรายงานในตอนนี้เพราะว่าต่อไปท่านประธานก็จะไม่มีเวลาว่างมาฟังของพวกนี้แล้วเนี่ยเซิงเสียวเห็นจากด้านข้างว่าคิ้วของเหยียนจิ่งจื้อขมวดน้อยๆเขาเริ่มรำคาญอีกแล้ว
เธอได้รับคำสั่งจากผู้จัดการหวงว่าให้ตามท่านประธานไปที่ชั้นบนสุดจนกระทั่งท่านประธานไม่้าอะไรแล้วถึงจะลงมาได้เนี่ยเซิงเสี่ยวจึงตามเหยียนจิ่งจื้อและบอดี้การ์ดเข้าไปในลิฟต์และทิ้งกลุ่มคนเอาไว้ด้านนอก ทั้งยังได้เห็นสายตาอิจฉาของพวกคนที่ชั้นหนึ่ง
ขอร้องล่ะ พวกเธอไม่รู้ว่าเหยียนจิ่งจื้อนั้นดูแลยากมากแค่ไหนพวกเธอมาลองดูไหมล่ะ?
เนี่ยเซิงเสี่ยวหันกลับมาก็พบว่าเหยียนจิ่งจื้อกำลังพิจารณาตัวเธออยู่ั้แ่เท้าไปยังเส้นผม โดยที่สายตาไม่ได้ปิดบังอะไรเลยสักนิดเธอจึงรีบหดตัวและพบว่ามันไม่ถูกตอนนี้สำหรับเขาแล้วเธอก็เป็เพียงคนแปลกหน้าเท่านั้นไม่มีความจำเป็อะไรที่จะตื่นเต้น
“ท่านประธาน ้าอะไรไหมคะ?”
“คำพูดของเป่ยน่าจำได้หมดแล้ว?”
“ค่ะ ท่านประธานวางใจได้ ฉันจำได้หมดแล้วค่ะ”
“เื่แรกควรจะทำอะไร?” เหยียนจิ่งจื้อรู้สึกว่าตัวเองคงเบื่อมากถึงได้มาพิจารณาพนักงานหญิงที่เป็ลูกน้องของตัวเองแบบนี้แต่ว่าเขาจะต้องดูที่ประสิทธิภาพการทำงานนี่ถ้าหากพิจารณาแล้วไม่ผ่านจะได้เปลี่ยนคนทันที
“เื่แรกที่ควรทำคือเสิร์ฟน้ำหวานอุ่นๆ ให้ท่านประธานหนึ่งแก้ว”
ในตอนนั้นเหยียนจิ่งจื้อเพิ่งจะเดินออกจากลิฟต์หลังก็แข็งตรงขวางเนี่ยเซิงเสี่ยวและบอดี้การ์ดอีกสองคนเอาไว้ในลิฟต์เื่แรกที่จะต้องทำหลังจากลงมาจากเครื่องบินก็คือดื่มน้ำหวานอุ่นๆ สักแก้วทำไมเขาถึงรู้สึกคุ้นกับประโยคนี้จนน่ากลัว เหมือนเคยได้ยินมาก่อน?
เนี่ยเซิงเสี่ยวที่อยู่ด้านหลังของเขากดปุ่มลิฟต์ค้างเอาไว้ในตอนที่นิ้วเธอกดจนเริ่มปวด ในที่สุดเขาก็เริ่มเดินไปข้างหน้า
“เธอชื่อว่าอะไร?”
“ท่านประธานเรียกฉันว่าผู้ช่วยเนี่ยก็ได้ค่ะ”
เหยียนจิ่งจื้อได้ยินก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร และไม่ได้มองเธออีกเขามองไปรอบๆ ห้องทำงานใหม่ของตัวเองเสร็จแล้วก็ไปนั่งลงที่เก้าอี้ทำงานหลังจากที่ดื่มน้ำหวานอุ่นๆ ที่เนี่ยเซิงเสี่ยวเอามาเสิร์ฟเขาก็เริ่มอ่านรายงานธุรกิจที่คนเอามาให้ใช่ เขาเป็คนบ้างานวันแรกที่มาถึงที่นี่เขาก็อยากจะเข้าใจสถานการณ์กิจการในประเทศสักรอบเสียก่อน
ในจุดนี้ไม่ได้แตกต่างไปจากเมื่อก่อนเหยียนจิ่งจื้อเมื่อก่อนขอแค่เขาอยู่ใน่การทำงานอยู่ใครมายั่วโมโหเขาคนนั้นก็โชคร้ายไป
แต่ว่าเนี่ยเซิงเสี่ยวก็จำต้องพูดเตือนเขาเสียงเบา “ท่านประธานคะถ้าหากท่านไม่มีคำสั่งอื่นแล้วฉันที่เป็ผู้ช่วยผู้จัดการหวงจะลงไปทำหน้าที่ของตัวเองแล้วนะคะ”
เหยียนจิ่งจื้ออ่านรายงานไม่ได้ส่งเสียงพูดอะไร เธอคิดว่าเขารับคำแล้วจึงก้าวเดินออกไปข้างนอกเงียบๆ แต่ว่าเดินไปได้ไม่ถึงสามก้าวด้านหลังก็มีเสียงดังขึ้นมา“จะไปไหน?”
นี่เป็นิสัยเสียที่เวลาตั้งใจทำงานทีไรจะไม่ได้ยินเสียงของคนอื่นเลยเนี่ยเซิงเสี่ยวถอนหายใจแล้วพูดอีกครั้ง “ถ้าหากท่านประธานไม่้าอะไรเพิ่มเติมแล้วฉันจะไม่รบกวนท่านแล้วค่ะ”
เหยียนจิ่งจื้อยังไม่ได้เงยหน้าขึ้น “ไปเตรียมห้องพักผ่อนให้ฉันหน่อย”
ชัดเจนเลยว่าคงทนไม่ไหวและอยากจะพักผ่อนแล้วเนี่ยเซิงเสี่ยวพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้องพักผ่อนของเขา
ดึงหมอนให้ออกมาด้านนอกเล็กน้อย เหยียนจิ่งจื้อชอบนอนตรงด้านนอกของเตียงเขาบอกว่ามันไม่อึดอัด
และเอาดอกลิลลี่ที่อยู่ในแจกันออกมา แล้วเอาถุงขยะมาห่อไว้ถึงแม้จะไม่ได้เกลียดกลิ่นของลิลลี่ แต่ว่าเหยียนจิ่งจื้อก็เคยบ่นกับเธอว่าดอกลิลลี่หน้าตาไม่สวย...
สุดท้ายเธอก็เอาพวกหนังสือนิตยสารการแพทย์จากด้านนอกมาวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียงเขาชอบศึกษาพวกนี้ เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหาความลับของชีวิตอยู่
ตอนที่ทำทุกอย่างเสร็จเนี่ยเซิงเสี่ยวก็ใจลอยไปถึงตอนที่ยังหนุ่มสาวในตอนที่ทุกอย่างยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเหยียนจิ่งจื้อยังไม่ได้ลืมตัวเธอไป
ความจำเสื่อม เหอะๆ ครั้งแรกที่เธอเจอกับเหยียนจิ่งจื้อที่ทางออกสนามบินเธอก็เริ่มสงสัยแล้วว่าเขาอาจจะสูญเสียความทรงจำตอนนี้ที่เธอจะต้องขบคิดก็คือบทละครความจำเสื่อม
จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงรองเท้าส้นสูงดังขึ้นขัดความคิดของเนี่ยเซิงเสี่ยวผู้หญิงคนไหนที่สามารถใส่ส้นสูงมาเดินเสียงดังในห้องของเหยียนจิ่งจื้อตอนนี้ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ เธอยอมรับว่าตัวเองค่อนข้างจะหมดความสนใจจัดการทุกอย่างเงียบๆ แล้วเปิดประตูห้องพักผ่อนออกไป
แต่ก่อนก็มีผู้หญิงที่สวยสง่ามาปรากฏตัวที่ห้องทำงานของเหยียนจิ่งจื้อเพื่อจะยั่วยวนเขาแต่ว่าเพราะความคิดที่กำลังอ่านเอกสารถูกขัดสุดท้ายผู้หญิงคนนั้นจึงมีจุดจบอย่างอนาถ ตอนนี้เนี่ยเซิงเสี่ยวก็ยังจำได้ดีเธอคิดว่าวันนี้เข้าไปห้ามสักหน่อยก็คงจะดีกว่า
แต่ว่าสิ่งที่เข้าสู่สายตาในตอนที่ออกมานั้นทำให้เธอเหมือนถูกสับจนิญญาแตกออกเป็ชิ้นๆ จนยากที่จะกลับมารวมตัวกันอีกร่างกายของเธอเริ่มสั่นเหมือนกับจอกแหนที่ไม่สามารถจับสิ่งมีชีวิตได้ที่แท้การที่เหยียนจิ่งจื้อความจำเสื่อมไม่ใช่ตอนจบสุดท้ายของละคร
ยิ่งเพิ่มความเป็ละครมากขึ้นไปอีกก็คือผู้หญิงที่เดินเข้ามาก็คือเจินเนี้ยน!
เป็เพื่อนร่วมชั้นที่ดี เพื่อนสนิทและเคยเป็สาวสวยรวยในสาขาวิชาภาษาจีนตลอดสี่ปีในมหาวิทยาลัยของเธอทั้งยังเคยเห็นเธอกับเหยียนจิ่งจื้อค่อยๆ รู้จักกัน รักกันและจากกัน
เจินเนี้ยนในตอนนี้เท้าตัวอยู่บนโต๊ะทำงานและจูบลงไปบนใบหน้าของเหยียนจิ่งจื้อราวกับเทพธิดาในน้ำค้างยามเช้าเพียงแต่รูปลักษณ์ภายนอกของนางฟ้าตนนี้ได้เปลี่ยนไปโดยที่ไม่ได้ม้วนผมให้เป็ลอนคลื่นยาวจรดเอวอีกแล้ว แต่สีผมนั้นเป็สีลินินเหมือนกับเนี่ยเซิงเสี่ยว
“เซิงเสี่ยว สีผมของเธอเป็สีผมธรรมชาติหรือ?”
“ใช่แล้ว หลายคนบอกว่ามันจะโชคร้าย แต่ว่าจิ่งจื้อชอบ”
“เหยียนจิ่งจื้อชอบ?”
เนี่ยเซิงเสี่ยวออกมาจากความทรงจำในอดีตก็พบว่าเจินเนี้ยนได้หันกลับมาและมองมาที่เธอด้วยความตกตะลึงเช่นกันไม่บางทีอาจจะพูดว่าเป็ความตื่นตะลึงของความหวาดหวั่นจนเธอแทบจะทำให้แก้วน้ำหวานข้างมือของเหยียนจิ่งจื้อแตก
แต่ว่าเพียงครู่เดียวเธอก็เก็บอาการเข้าไปและเปลี่ยนมาใช้แววตาที่ไม่รู้จักมองไปที่เนี่ยเซิงเสี่ยว ซึ่งเนี่ยเซิงเสี่ยวใกล้จะเป็บ้าแล้วไม่ เธอรู้สึกว่าโลกนี้ใกล้จะบ้าเต็มที
“คุณรู้จักเธอหรือ?” เหยียนจิ่งจื้อเหมือนจะมองอะไรบางอย่างออก
“จะเป็ไปได้อย่างไร ฉันแค่เห็นว่าผมของเธอเหมือนกับฉันมาก”เจินเนี้ยนส่ายหน้า และถามเหยียนจิ่งจื้อกลับ “ใช่แล้ว เธอเป็ใครหรือคะ?”
“เป็ผู้ช่วยคนหนึ่งเท่านั้น”
เนี่ยเซิงเสี่ยวรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความสบายๆเวลาที่เหยียนจิ่งจื้อพูดกับเจินเนี้ยน ตอนที่มือของเหยียนจิ่งจื้อวางทับมือของเจินเนี้ยนและยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนนี่กลายเป็คำพูดระหว่างคนรักกัน
คนรักในอดีตจำตัวเองไม่ได้ เพื่อนสนิทในอดีตกลายเป็คู่รักของอดีตคนรัก ส่วนเธอถูกลืมและกลายเป็ส่วนเกิน
ความสามารถในการยอมรับแต่เดิมของเนี่ยเซิงเสี่ยวก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในตอนนี้ก็ยิ่งยากจะยอมรับ เธอพูดกับเหยียนจิ่งจื้อด้วยความหวาดหวั่นว่า“ห้องพักผ่อนเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วค่ะ” จากนั้นก็รีบเดินออกมาเธอ้าเวลาจัดการความรู้สึก
“พูดสิว่าผู้หญิงคนนั้นคือใครกันแน่?” หลังจากเนี่ยเซิงเสี่ยวจากไปแล้วเหยียนจิ่งจื้อก็ไม่ยอมปล่อย “ท่าทางเมื่อครู่ พวกเธอจะต้องรู้จักกันแน่ๆแต่ก่อนฉันรู้จักเธอใช่ไหม?” เขานวดขมับของตัวเองั้แ่เขากินยาผิดไป เขาก็สูญเสียความทรงจำไปเกือบสิบปี
เจินเนี้ยนที่ถูกถามก็หน้าซีด ทั้งๆที่เมื่อครู่เก็บซ่อนความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ได้ดีแล้ว แต่ว่าจู่ๆก็เห็นเนี่ยเซิงเสี่ยวเดินออกมาจากห้องพักผ่อนในห้องทำงานของเขา เธอก็ไม่สามารถปกปิดอารมณ์ได้
ความสามารถในการสังเกตของเขาก็ดีมาก ในจุดนี้เจินเนี้ยนไม่สามารถต่อต้านได้จึงทำได้แค่พยักหน้า “ใช่”
“ความจริงแล้วเธอคือเพื่อนร่วมชั้นของฉันเองตอนที่ฉันคบกับคุณเธอก็แค่ปลื้มคุณอยู่ ต่อมาฉันก็ไม่ได้ติดต่อกับเธอแล้ว”