บทที่ 67 ผมขอกอดหน่อยนะ
จ้าวเจี้ยนเซ่อรู้สึกอัดอั้นตันใจแทบตาย
การไม่มีลูกสืบสกุลก็ทำให้เขาแทบไม่กล้าเงยหน้าในตระกูลจ้าว หรือแม้แต่ในหมู่บ้านตระกูลจ้าวอยู่แล้ว ตอนนี้กลับถูกลู่ซือหยวนผู้หญิงหน้าเหม็นนั่นขอหย่าอีก
แม่ไก่ที่ออกไข่ไม่ได้ ยังไงก็ต้องเป็เขาจ้าวเจี้ยนเซ่อที่เป็ฝ่ายเอ่ยปากขอหย่าก่อนสิ!
อัดอั้นตันใจมาก!
ที่น่าหงุดหงิดยิ่งกว่าคือไม่รู้ว่าใครปล่อยข่าว ตอนนี้คนทั้งหมู่บ้านรู้เื่การหย่าของเขาหมดแล้ว มีสารพัดคำพูด
นี่คือต่อหน้า ลับหลังเอาเื่น่าอับอายของเขาไปพูดจาเสียๆ หายๆ อีกเท่าไหร่
“นังผู้หญิงน่าตาย นังแพศยาไร้ยางอาย!” จ้าวเจี้ยนเซ่อหันหน้าเข้าไร่ข้าวโพด มือก็ทำนู่นนี่ ปากก็ด่ากราด “ฉันจะเอาแกให้ตาย!”
เวลานี้ในไร่ไม่มีใคร เขาสามารถปลดปล่อยความอัดอั้นในใจออกมาได้อย่างเต็มที่ ปากก็ด่าทอด้วยคำหยาบคายที่ไม่อาจทนฟัง มือก็ไม่ได้ว่าง สั่นระริกด้วยความตื่นเต้น
กำลังด่าอย่างเมามัน พลันรู้สึกเหมือนของในมือใกล้จะปลดปล่อยออกมาแล้วก็รู้สึกเจ็บที่ก้น ร่างทั้งร่างก็เซถลาไปข้างหน้า
เมื่อกี้จ้าวเจี้ยนเซ่อหันหน้าเข้าคันนาอยู่ แถมเขากำลังก่นด่าอย่างเมามัน เลยไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าข้างหลังเลย แต่คิดดูแล้วในยามค่ำคืนป่านนี้ ใครจะมาเดินเล่นแถวคันนากัน
เมื่อก่อนการรดน้ำตอนกลางคืนเป็หน้าที่ของลู่ซือหยวน เขานานๆ จะมาสักที แต่พอมาไม่ทันไร ลู่ซือหยวนก็เอาข้าวเอาน้ำมาให้แล้วก็สงสารสามีแล้วให้เขากลับไปพักผ่อน ส่วนแม่ของเขายิ่งเป็ไปไม่ได้ที่จะมาส่งของให้เขาถึงในไร่ในยามค่ำคืน ดังนั้นจ้าวเจี้ยนเซ่อจึงด่าทอได้อย่างเต็มที่
แถมในทุ่งโล่งๆ แบบนี้ การพ่นคำหยาบคายออกมาเหมือนจะยิ่งกระตุ้นความรู้สึก แล้วก็ถูกใครบางคนเตะเข้าที่ด้านหลังอย่างแรงโดยไม่ทันตั้งตัว
ตอนล้มลงใบหน้าก็กระแทกเข้ากับคันนาพอดี ร่วงลงไปในคูน้ำส่งน้ำ กางเกงหลุดลุ่ยอยู่ที่เอว ร่างทั้งร่างอยู่ในท่าทางที่บิดเบี้ยวอย่างประหลาด นอนคว่ำอยู่ในคูน้ำ
น้ำเย็นๆ ที่ใช้รดน้ำในยามค่ำคืนทำให้เขาสั่นเทิ้ม คว้าจับสิ่งที่อยู่ในมือ ปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน แต่แล้วเขาก็ถูกใครบางคนกดหัวกระแทกเข้ากับขอบคูน้ำซ้ำๆ ขอบคูน้ำที่เสียดสีอย่างใกล้ชิด
“อื้อ...อย่าตี...อย่าตี...” จ้าวเจี้ยนเซ่อร้อง
แต่ยิ่งเขาขอร้อง ลู่จิ่งซานก็ยิ่งโกรธ
ขี้ขลาดเป็บ้า
พอนึกถึงคำพูดที่อีกฝ่ายด่าเมื่อกี้ก็ยิ่งลงมือหนักขึ้น
“ช่วย...ช่วยด้วย...” จ้าวเจี้ยนเซ่อร้องอย่างอ่อนแรง
แต่คนที่อยู่ข้างหลังเหมือนจะไม่สนใจเขาเลย เพียงแต่กดหัวเขาลง ให้หน้าของเขาเสียดสีกับคันนาไม่หยุดหย่อน เขาคิดว่าในที่สุดอีกฝ่ายก็จะปล่อยมือ แต่กลับดึงคอเสื้อของเขาแล้วเหวี่ยงลงไปในคูน้ำ กดเขาลงในน้ำ
ความรู้สึกของการขาดอากาศหายใจทำให้จ้าวเจี้ยนเซ่อกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
ค่ำคืนมืดมิดลมพัดแรง เป็เวลาเหมาะแก่การฆ่าคนชิงทรัพย์ โดยเฉพาะตอนนี้รอบข้างไม่มีใครสักคน ถึงเขาจะถูกฆ่าตายก็ไม่รู้ว่าใครเป็คนฆ่าเขา
ตกลงเป็ยมบาลตนไหนมาปรากฏกายที่นี่แล้วเล่นงานเขากัน? หรือว่าจะเป็ลู่จิ่งซาน?
แต่พอนึกดูแล้วไม่น่าใช่ ถ้าลู่จิ่งซานได้ยินคำที่เขาด่าเมื่อกี้ คงจะพุ่งเข้ามาชกเขาให้ตายไปแล้ว ตอนนี้เขาไม่กล้าแม้แต่จะดึงกางเกงขึ้น ได้แต่หมอบอยู่บนพื้นร้องขอความเมตตา “ไม่กล้าแล้วครับ ผมไม่กล้าอีกแล้ว ท่านจอมยุทธ์ได้โปรดไว้ชีวิตผมด้วยเถิด...”
ไอ้คนพรรค์นี้ถึงกับได้แต่งงานกับลู่ซือหยวน
ลู่จิ่งซานคิดแล้วก็รู้สึกว่าพี่สาวของเขาเสียเปรียบ อยากจะจับไอ้เวรนี่ไปตอนทิ้ง
สวี่จือจือยืนรออยู่ริมไร่ ได้ยินเสียงร้องครวญครางขอความเมตตาของจ้าวเจี้ยนเซ่อที่อยู่ตรงนั้น ตอนแรกก็รู้สึกสงสัย แต่พอนึกถึงสีหน้าของลู่จิ่งซานเมื่อกี้ ในที่สุดก็เอาชนะความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองได้ อีกทั้งยังกลัวว่าเขาจะซ้อมจนปางตายแล้วจะถูกตระกูลจ้าวตามรังควานอีก ก็อดเป็ห่วงไม่ได้
เธอกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่ก็เห็นลู่จิ่งซานเดินหน้าถมึงทึงมา
เขาสะบัดน้ำออกจากมืออย่างรังเกียจไปด้วย ถึงจะล้างมือแล้ว ตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่ามันสกปรกอยู่ดี เขารู้สึกขยะแขยงจ้าวเจี้ยนเซ่ออย่างมาก
“คุณไม่เป็ไรนะ?” สวี่จือจือเดินเข้าไปข้างหน้า อยากจะจับมือเขา
เขากลับหลบ “สกปรก” ชายหนุ่มพูดเสียงอู้อี้
หลังจากสั่งสอนผู้ชายเฮงซวยแล้ว ไม่ใช่ว่าน่าจะรู้สึกดีขึ้นหรอกเหรอ? ทำไมดูแย่กว่าเมื่อกี้อีก?
“เขาคงไม่ได้ดูออกใช่ไหม?” สวี่จือจือถามด้วยความเป็ห่วง
วินาทีต่อมา เธอก็ถูกดึงเข้าไปกอด
นี่มันอะไรกัน?
“ผมขอกอดหน่อยนะ” ชายหนุ่มพูดด้วยเสียงแหบแห้ง
“ลู่จิ่งซาน?” สวี่จือจือตอนแรกก็แข็งทื่อ ไม่รู้จะวางมือไว้ตรงไหน เหมือนจะรับรู้ได้ถึงความอัดอั้นของเขา จึงลองเอามือไปวางไว้บนหลังของเขา แล้วลูบเบาๆ “ไม่เป็ไรนะ พวกเราไม่จำเป็ต้องเอาเื่ของคนเฮงซวยแบบนั้นมาทำให้เสียอารมณ์หรอก”
์ ยกโทษให้ฉันด้วย ฉันไม่ค่อยถนัดเื่ปลอบใจคนเท่าไหร่
“อืม คุณพูดถูก” ลู่จิ่งซานพูด พร้อมกันนั้นก็ปล่อยเธอ
แต่แค่ปล่อยตัว ไม่ได้ปล่อยมือเธอ
สวี่จือจือก้มหน้าเม้มปาก ในใจกลับหวานชื่น ปล่อยให้เขาจับมือเธอไว้อย่างนั้น
ใต้แสงจันทร์ เงาของคนทั้งสองแนบชิดกัน ผู้หญิงน่ารัก ผู้ชายหล่อเหลา
เขาจับมือเธอไว้ เธอถูกเขาจูงไว้ ข้างหูมีแต่เสียงกบเขียดหรือเสียงจิ้งหรีด
“หิ่งห้อย!” ทันใดนั้นสวี่จือจือก็ร้องออกมาเบาๆ
เห็นหิ่งห้อยหลายตัวถือโคมไฟเต้นระบำอยู่ในพุ่มไม้ที่ไม่ไกลออกไป
สวี่จือจือปล่อยมือจากลู่จิ่งซาน เดินเข้าไปอย่างอยากรู้อยากเห็น เธอค่อยๆ ย่อตัวลงไม่ไกล มองหิ่งห้อยที่สัญจรไปมาในพุ่มไม้
ลู่จิ่งซานมองมือของตัวเอง แล้วมองเด็กสาวด้วยความเอ็นดู
“ให้ผมจับให้สักตัวไหม?” เขาเข้าไปกระซิบ
“ไม่ต้องหรอก” สวี่จือจือยิ้ม “ดูพวกมันเล่นกันอย่างมีความสุขสิ พวกเราอย่าไปรบกวนพวกมันเลย”
มีความสุข? ดูออกด้วยเหรอ?
เขาส่ายหัวแล้วหัวเราะออกมาอย่างเงียบๆ
อารมณ์ก็ไม่ได้หม่นหมองเหมือนเมื่อกี้ เหมือนว่าอยู่กับเธอ ไม่ว่าเจอเื่เศร้าแค่ไหนก็ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร
ลู่จิ่งซานอดคิดไม่ได้ว่าเธอเคยผ่านอะไรมาบ้างถึงได้มีนิสัยแบบนี้ อย่างน้อยหวังซิ่วหลิงก็ไม่มีทางอบรมสั่งสอนออกมาได้
ไม่รู้ว่าพระจันทร์หายเข้าไปในเมฆั้แ่เมื่อไหร่ ถนนหนทางมืดมิด สวี่จือจือกลับไม่กลัวเลยสักนิด นั่งอยู่บนเบาะหลัง เอามือโอบเอวของลู่จิ่งซานไว้
“สวี่จือจือ” ลู่จิ่งซานพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ร้องเพลงให้ฟังหน่อยได้ไหม?”
“ได้สิ” สวี่จือจือพูดเสียงใสจากด้านหลัง
...ท้องฟ้ามืดมิดคลี่ม่านลง ดวงดาราเจิดจ้าส่องประกายอยู่เคียงข้าง หิ่งห้อยโผบิน หิ่งห้อยโผบิน เธอคิดถึงใครอยู่...
เพลงนี้เป็เพลงที่ไม่มีในยุคนี้ แต่ตอนนี้สวี่จือจืออยากจะร้อง มันช่างเข้ากับบรรยากาศตอนนี้เหลือเกิน
“...หิ่งห้อยโผบิน ดอกไม้หลับใหล อยู่เคียงคู่กันจึงงดงาม ไม่กลัวฟ้ามืด กลัวแค่หัวใจแตกสลาย ไม่สนว่าจะเหน็ดเหนื่อยหรือไม่ และไม่สนว่าจะเป็ทิศใด...”
ถ้าจะบอกว่าในเวลานี้มีเสียงหนึ่งที่สามารถเยียวยาทุกสิ่งได้ก็คงจะเป็ตอนนี้
เสียงนี้เหมือนดาวสว่างในความมืดมิด ส่องนำทางไปข้างหน้า
ทุกครั้งที่เขาแทบจะทนไม่ไหวก็จะนึกถึงเพลงนี้ แล้วก็จะกลับมากระตือรือร้นอีกครั้ง!
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้