ฮ่องเต้แตะบ่านางเบาๆ “ไม่ต้องกังวลไป ข้าแค่มีเวลาว่างพอดี ได้ยินว่าเ้าพักอยู่ในวังหลวง เลยสั่งให้คนไปตามเ้ามาถามดูเท่านั้น ต่อให้เ้าไม่รู้อะไรเลย ข้าก็ไม่กล่าวโทษเ้าหรอก ตอนนี้ก็ดึกแล้ว ท่านราชครูเหนื่อยล้ามาทั้งวัน หากเรียกเขามาเข้าเฝ้าในเวลาเช่นนี้ ผู้คนจะมองว่าข้าแล้งน้ำใจได้ ไม่เป็ไร เื่อาการของสนมอวี๋เอาไว้ค่อยถามวันพรุ่งนี้ก็ได้”
เฟิ่งสือจิ่นตอบ “ในเมื่อเป็เช่นนี้ ยามนี้ก็ดึกมากแล้ว สือจิ่นมิบังอาจรบกวนเวลาพักผ่อนของฝ่าา จึงขอทูลลา”
“รอก่อน” ฮ่องเต้พูดรั้ง
เฟิ่งสือจิ่นก้มหน้าให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ นางเห็นน้ำบนเส้นผมหยดลง และซึมหายเข้าไปในพรมเบื้องล่างอย่างต่อเนื่อง ของเหลวที่ไม่ทราบว่าเป็เหงื่อที่เกิดจากความตื่นตระหนก หรือน้ำจากบึงที่ติดอยู่ปลายจมูกเองก็ค่อยๆ หยดลงเพราะท่าทางการก้มหัวของนาง
เฟิ่งสือจิ่นพยายามข่มให้เสียงที่สั่นเทาฟังดูราบเรียบคล้ายไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น “ฝ่าายังมีรับสั่งอื่นใดหรือเพคะ?”
ฮ่องเต้แย้มรอยยิ้มเป็มิตรออกมา “รอดื่มน้ำขิงจากหวังหย่งฝู และเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อนค่อยออกไปเถิด ไม่เช่นนั้น หากเ้าเจ็บป่วยขึ้นมา ท่านราชครูจะถือโทษโกรธข้าเอา แบบนั้นต้องไม่ดีแน่”
เฟิ่งสือจิ่นตอบ “ฝ่าาเป็ัที่แสนสูงส่ง เป็บุตรแห่งเทพเ้าที่ยิ่งใหญ่ อาจารย์จะกล้าถือโทษโกรธฝ่าาได้อย่างไรเพคะ”
“เ้าคิดเช่นนั้นจริงๆ หรือ?” ฮ่องเต้ถามโดยยกหางเสียงขึ้นสูง
เฟิ่งสือจิ่นหัวใจหล่นวูบ นี่เป็ครั้งแรกที่นางนึกอยากกัดลิ้นตัวเองให้ขาดไปเลย “นี่เป็เพียงความคิดของสือจิ่นเท่านั้น ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์จะคิดเช่นเดียวกันหรือไม่ สือจิ่นมิอาจหยั่งรู้ความคิดของท่านอาจารย์ได้”
“ขืนยังก้มหน้าลงอีก หน้าของเ้าต้องชนพื้นแน่”
เฟิ่งสือจิ่นยังคงก้มหน้าลงต่ำดังเดิม เพียงไม่นาน ขันทีหวังก็กลับเข้ามาพร้อมกับเสื้อผ้าชุดใหม่และน้ำขิงหนึ่งถ้วย ของเ่าั้ถูกวางลงที่โต๊ะเบื้องหน้าเฟิ่งสือจิ่น
ฮ่องเต้พูดขึ้น “ไปเปลี่ยนชุดเถอะ”
ที่นี่เป็ห้องบรรทมของฮ่องเต้ ต่อให้เฟิ่งสือจิ่นจะโง่เง่าแค่ไหนก็ไม่มีทางเปลี่ยนเสื้อผ้าในที่แห่งนี้แน่ นางตอบ “ทูลฝ่าา เสื้อผ้าของสือจิ่นเกือบจะแห้งสนิทแล้ว ขอบพระทัยที่ทรงเมตตา แต่สือจิ่นมิบังอาจทำให้สถานที่ส่วนพระองค์ต้องแปดเปื้อน ท่านอาจารย์สั่งว่า เมื่อเข้าวัง ต้องทำตามกฎระเบียบของวังหลวงอย่างเคร่งครัด สือจิ่นจดจำคำสั่งสอนของท่านอาจารย์ได้ขึ้นใจ จึงมิกล้าลบหลู่เบื้องสูง อีกอย่าง ชุดนักพรตที่สือจิ่นสวมใส่อยู่ก็เป็ชุดที่ท่านอาจารย์มอบให้ เป็การสั่งให้สือจิ่นจดจำฐานะของตนเองให้ขึ้นใจ อย่าได้ลืมตัวแม้แต่วินาทีเดียว”
ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาไม่ได้โกรธเกรี้ยว แต่กลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบดังเดิม “ท่านราชครูสั่งสอนศิษย์ได้ยอดเยี่ยม ช่างน่าชื่นชมยิ่งนัก” เขาบอกกับเฟิ่งสือจิ่น “ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าก็ไม่ฝืนใจเ้า รีบดื่มน้ำขิงในถ้วยเถิด นี่ก็ดึกมากแล้ว ดื่มเสร็จก็กลับไปเสียเถอะ ข้าเองก็จะนอนพักผ่อนแล้วเช่นกัน”
เฟิ่งสือจิ่นมองไปที่น้ำขิงถ้วยนั้น พลันเสียงของฮ่องเต้ก็ดังขึ้น “ข้าอนุญาตให้เ้าขึ้นมานั่งดื่มบนเก้าอี้ได้”
เฟิ่งสือจิ่นค่อยๆ นั่งลงและยกน้ำขิงบนโต๊ะขึ้นมา นางคล้อยตาลงต่ำอย่างถ่อมตนพลางพูดขึ้น “ขอบพระทัยฝ่าา” อาจเพราะมีนิสัยขี้ระแวง จึงมักจะคิดทุกเื่ไปในทางที่เลวร้ายเสมอ แต่จนถึงตอนนี้ฮ่องเต้ก็ยังไม่ได้บังคับหรือกลั่นแกล้งนางแม้แต่ครั้งเดียว อาจเพราะเห็นแก่ที่นางเป็ศิษย์เอกของราชครู จึงไม่ได้บังคับฝืนใจนาง หรือไม่นางก็อาจจะมองผิดไป ฮ่องเต้อาจไม่ได้คิดอะไรต่ำทรามเช่นนั้นก็ได้ ที่เรียกนางมาเข้าเฝ้าก็อาจเพื่อถามถึงอาการของพระสนมอวี๋เท่านั้น เป็นางที่ระแวงจนเกินเหตุ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฟิ่งสือจิ่นก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก รีบยกน้ำขิงมาทาบที่ริมฝีปาก แล้วดื่มคำใหญ่ๆ หลายครั้ง รีบดื่มให้เสร็จ จะได้กลับไปเสียที
น้ำขิงอุ่นมาก แถมยังเผ็ดร้อนไม่น้อย เมื่อกลืนมันลงไป ความอุ่นก็แทรกซึมไปทั่วทุกอณูของร่างกาย ร่างที่เคยหนาวเย็นก็เริ่มอบอุ่นขึ้นมา
นางเพิ่งวางถ้วยลง ฮ่องเต้ก็พูดขึ้น “ท่านราชครูเป็ราชครูที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของแคว้นจิ้น และเป็ผู้ที่มีความสามารถมากที่สุดของเผ่าเย่เสียนเช่นกัน เดิมที ข้าคิดว่าชาตินี้ เขาคงไม่รับคนของแคว้นจิ้นเป็ศิษย์เอกแน่ คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายเขาจะรับสาวน้อยเช่นเ้าไปเป็ศิษย์เช่นนี้”
เฟิ่งสือจิ่นชะงักลงเล็กน้อย เผ่าเย่เสียนงั้นหรือ? นางติดตามจวินเชียนจี้มานานหกปี แต่ยังไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงเื่เผ่าเย่เสียนมาก่อน คิดไม่ถึงว่าเขายังมีฐานะเช่นนี้อยู่ด้วย
เมื่อเห็นเฟิ่งสือจิ่นชะงักลง รอยยิ้มของฮ่องเต้ก็เด่นชัดขึ้น เขาพูดต่อ “เผ่าเย่เสียนเป็เผ่าลึกลับที่ปลีกตัวออกจากทางโลก พวกเขาทำสัญญากับฮ่องเต้รุ่นแรกๆ ของแคว้นจิ้นว่าจะให้หัวหน้าเผ่าทุกรุ่นมาเป็ราชครูของแคว้น แต่ราชครูกลับให้ความสำคัญกับเ้ามากกว่าคนอื่นๆ คาดว่าเ้าคงจะมีความสามารถบางอย่างที่โดดเด่นมากกว่าผู้อื่นสินะ ราชครูรุ่นต่อไปของแคว้นจิ้นอาจเป็เ้าก็ได้ แคว้นจิ้นฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล แผ่นดินอุดมสมบูรณ์มานานนับร้อยๆ ปี แต่ยังไม่เคยมีราชครูที่เป็สตรีมาก่อน ทว่านั่นก็ไม่ได้แปลว่าจะทำไม่ได้หรอกนะ” เมื่อเห็นเฟิ่งสือจิ่นฟังอย่างตั้งใจ ฮ่องเต้ก็ถามขึ้น “เ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดราชครูถึงรับเ้าเป็ศิษย์?”
เฟิ่งสือจิ่นคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะพูดเื่นี้ขึ้นมา นางลืมว่าต้องรีบไปจากที่นี่ แต่กลับคล้อยไปตามคำพูดของฮ่องเต้แทน “เพราะอะไร?” เฟิ่งสือจิ่นเงยหน้าขึ้นอย่างลืมตัว
ทว่าทันทีที่เงยหน้า สิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็เกิดขึ้น
นางพบว่าฮ่องเต้กำลังจ้องมาที่ตนตาไม่กะพริบ
แม้อยากปิดบังเพียงใด แต่ผ้าคลุมแค่ตัวเดียวก็ไม่อาจบดบังสัดส่วนที่แสนยั่วยวนภายใต้อาภรณ์ที่เปียกโชกได้อยู่ดี
เฟิ่งสือจิ่นรีบก้มหน้าลงอีกครั้ง และลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว “โปรดประทานอภัยด้วยเพคะ ฝ่าาควรพักผ่อนได้แล้ว สือจิ่นทูลลา...” ทว่าเพิ่งพูดจบ จู่ๆ ก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ภาพตรงหน้าก็ค่อยๆ เลือนรางลงเรื่อยๆ เพราะไม่ทันตั้งตัวจึงเสียหลักล้มลงไปนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง ในที่สุดนางก็ตระหนักได้ว่าบางสิ่งไม่ปกติ น้ำขิงถ้วยนั้น... ความอ่อนระทวยแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย สติค่อยๆ ลดน้อยลงเรื่อยๆ
เฟิ่งสือจื่นยกมือกุมขมับ พลางส่ายหน้าแรงๆ หลายครั้ง แต่สุดท้ายข้อศอกก็ร่วงลงบนโต๊ะอย่างหมดแรง นางหมอบอยู่บนโต๊ะ พยายามสู้กับเปลือกตาหนักๆ และลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ นางอยากออกไปจากที่นี่ก่อนที่จะควบคุมสติไม่อยู่
น้ำขิงถ้วยนั้นผสมยาบางอย่าง เฟิ่งสือจิ่นคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าฮ่องเต้แห่งแคว้นจะใช้วิธีสกปรกเช่นนี้!
นางเข้าใจแล้ว ที่ฮ่องเต้พูดเื่พวกนั้น ไม่ใช่เพราะอยากเล่าเื่เกี่ยวกับอาจารย์ให้ฟัง แต่กำลังถ่วงเวลาต่างหาก ถ่วงเวลารอให้ยาในน้ำขิงออกฤทธิ์ รอให้นางออกไปจากที่นี่ไม่ไหว!
ก่อนหน้านี้ นางยังคิดว่าตนหวาดระแวงจนเกินเหตุ... คิดว่าตนสามารถผ่านคืนนี้ไปได้อย่างปลอดภัยเสียอีก... นางประมาทเกินไป จึงตามเล่ห์เหลี่ยมของตาเฒ่าคนนี้ไม่ทัน!
คนแรกที่เฟิ่งสือจิ่นนึกถึงก็คือท่านอาจารย์ นางรู้ไม่เท่าทันคน คิดว่าตาเฒ่านี่ไม่กล้าทำอะไรตนแบบโจ่งแจ้งเช่นนี้ คิดว่าหากตนอยากหลบ อยากหนี ย่อมทำได้ไม่ยาก... ทว่าวังหลวงแห่งนี้แฝงไปด้วยเล่ห์กลมากเกินกว่าที่นางจะหยั่งรู้ วังแห่งนี้เปลี่ยนแปลงไป ไม่เหมือนในความทรงจำวัยเด็กของนางอีกแล้ว
ฮ่องเต้เดินเข้ามาดึงแขนของเฟิ่งสือจิ่นเอาไว้ เฟิ่งสือจิ่นสะดุ้งเฮือก เพียงอีกฝ่ายออกแรงเบาๆ ร่างที่พยายามอย่างหนักจึงประคองตัวลุกขึ้นได้ ก็ถูกดึงกลับไปอีกครั้ง นางนอนหมอบอยู่ข้างโต๊ะ ใบหน้าที่เคยขาวซีดค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็สีแดงระเรื่อ ดวงตาหรี่เล็ก ทว่าเต็มไปด้วยความเย้ายวน
เฟิ่งสือจิ่นพยายามสลัดมือของอีกฝ่ายออกไป นางพูดพึมพำด้วยเสียงหอบ “ท่านอาจารย์...”