ภายในห้องทรงพระอักษร เหล่าข้าหลวงล้วนกลั้นหายใจและจดจ่อกับสถานการณ์ตรงหน้า ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียง หลังจากคำพูดนั้นของเป่ยเหลียนโม่ถูกเปล่งออกมา ก็ยิ่งทำให้บรรยากาศน่าอึดอัดถูกดันไปถึงจุดเยือกแข็ง
“ราชโองการถูกเผยแพร่ออกไปแล้ว จะแก้ไขได้อย่างไร”
ฮ่องเต้ทอดถอนใจ ซ่งอีอีผู้นี้ช่างไม่เอาไหนเหลือเกิน เขาอุตส่าห์เมตตาส่งนางไปอยู่ข้างกายเ้าสี่ เพื่อแบ่งเอาความรักที่มีให้เหยาเชียนเชียนมา ผู้ใดเล่าจะคิดว่าจะเป็การกระทำที่ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย
ขาข้างหนึ่งยังไม่ทันก้าวเข้าไปในจวนชิงผิงอ๋องแต่การแต่งงานก็ล่มเสียแล้ว
“แม้จะออกราชโองการไปแล้ว แต่การแต่งงานครั้งนี้ก็ยังไม่ถูกจัดขึ้น คาดว่าพี่สามกับคุณหนูซ่งคงมีใจต้องกัน ในเมื่อเป็เช่นนี้ ขอให้พี่สามอ้อนวอนต่อเสด็จพ่อ เสด็จพ่อทรงมีเมตตา หากพระองค์ทรงเห็นแก่ความรักอันลึกซึ้งของพี่สามที่มีมาเสมอ ไม่แน่ว่าพระองค์อาจจะรับปากก็เป็ได้”
วิธีนี้ช่างดูคุ้นเคยเหลือเกิน ซ่งอีอีมองไปที่เป่ยเหลียนโม่อย่างว่างเปล่า นี่คือวิธีที่เขาใช้เพื่อสู่ขอเหยาเชียนเชียนในคราแรกมิใช่หรือ?
ทว่ายามนี้เขากลับให้องค์ชายสามใช้วิธีเดียวกันนี้ในการสู่ขอนาง แม้ว่าฟังแล้วผลลัพธ์ดูจะไม่ต่างกันนัก แต่เหยาเชียนเชียนถูกท่านอ๋องอ้อนวอนครั้งแล้วครั้งเล่าและสู่ขอแต่งเข้าจวนอย่างจริงใจ
ส่วนนางกลับถูกบีบบังคับให้จำต้องเล่นละครบทนี้เพราะความรังเกียจ
รำพึงรักอยู่เสมอแล้วอย่างไร ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ไปก็เท่านั้น สุดท้ายนางก็ไม่สามารถเสพสมไปกับความอิจฉาของผู้อื่นได้เลย เพราะนางรู้ว่านี่เป็เพียงละครที่ชิงผิงอ๋องบังคับให้องค์ชายสามแสดงเพื่อสลัดนางออกไปเท่านั้น
ในละครฉากนี้ นางเป็เพียงเบี้ยที่พยายามรักษาเกียรติยศของราชวงศ์ และนางไม่สามารถแม้แต่จะพูดปฏิเสธอะไรได้เลย
“สิ่งที่น้องสี่กล่าวก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้” เป่ยเซวียนเฉิงที่เงียบมาตลอดค่อยๆ ค้อมศีรษะต่อฮ่องเต้ ไม่อาจคาดเดาอารมณ์ในน้ำเสียงของเขาได้ “ลูกวอนขอเสด็จพ่อโปรดพระราชทานสมรส เห็นแก่ที่ลูกและคุณหนูซ่งรักใคร่กัน โปรดเสด็จพ่อทรงแก้ไขราชโองการด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
คำว่า ‘รักใคร่กัน’ เมื่อกล่าวออกมา ฟังแล้วช่างชวนให้อยากเยาะเย้ย ซ่งอีอีคุกเข่าลงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ราวกับหุ่นเชิดที่ไร้ซึ่งสายควบคุม
นางไม่อยากแต่งงานกับองค์ชายสาม ทว่านางก็ไม่มีทางเลือก ชิงผิงอ๋องปิดตายเส้นทางหลบหนีของทั้งคู่แล้ว กระทั่งที่คิดหาคำอธิบายในการแก้ไขราชโองการไว้แล้ว หากนางยังคงยืนกรานไม่แต่ง สุดท้ายแม้แต่ชื่อเสียงของตัวนางเองก็จะรักษาไว้ไม่ได้เป็แน่
ฮ่องเต้เหลือบมองบุตรชายคนที่สี่ซึ่งมีสีหน้าไม่สะทกสะท้าน พลางรู้สึกว่าปอดของตนกำลังเ็ปเพราะโทสะ
รู้ทั้งรู้ว่าจะทำให้บุตรชายไม่พอใจ แต่เขาก็ยัง้าจะส่งเช่อเฟยไปให้ ทว่าครั้งนี้กลับผิดพลาดไปหมด เพียงหันหลังสถานการณ์ก็กลายเป็เช่นนี้ไปเสียแล้ว
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเื่ระหว่างเป่ยเซวียนเฉิงและซ่งอีอีนั้นมีลับลมคมใน แต่ถ้ามองจากภายนอก ผู้ที่เสียหายมากที่สุดก็คือเป่ยเหลียนโม่ ดังนั้นแม้จะรู้สึกว่าเื่นี้มีความผิดปกติอยู่มาก แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่สามารถพูดอะไรมากไปกว่านี้ได้
“ช่างเถิด” เขาโบกมือ “วันรุ่งขึ้นเจิ้นจะถ่ายทอดราชโองการ พวกเ้าออกไปเถิด เ้าสี่ เ้าอยู่ก่อน”
ซ่งอีอีถูกข้าหลวงประคองออกไป ส่วนเป่ยเซวียนเฉิงทำเพียงแค่เหลือบมองไปยังเป่ยเหลียนโม่เล็กน้อย จากนั้นก็จากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เื่นี้เขาประมาทไปจริงๆ คาดไม่ถึงว่าเป่ยเหลียนโม่จะผลักไสซ่งอีอีถึงเพียงนี้ ที่เมื่อครู่เขาไม่ได้กล่าวอะไรเลย ประการแรก ถึงอย่างไรในสายตาของเสด็จพ่อเื่นี้เขาก็เป็คนผิด
ประการที่สอง คงไม่เสียหายอะไรหากจะแต่งงานกับคุณหนูตระกูลอัครมหาเสนาบดีผู้นี้
“ยังมองอะไรอีกเล่า” ฮ่องเต้เอ่ยอย่างโกรธเคือง “นับวันเ้าก็ยิ่งเก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ หากไม่พอใจจริงๆ ก็ควรจะบอกกล่าวต่อเจิ้น เ้าดูเอาเถิด ก่อเื่จนสถานการณ์เป็เช่นนี้ สร้างความอับอายให้เจิ้นอย่างยิ่ง”
ชิงผิงอ๋องกระแอมเล็กน้อยอย่างใจเย็น ท่าทางราวกับ ‘พระองค์ทรงหมายความว่าอย่างไร ข้าไม่เข้าใจ’ โดยสมบูรณ์
นอกจากนี้ ในยามที่พระองค์พระราชทานสมรสเขาได้กล่าวอย่างชัดเจนแล้วั้แ่แรก เสด็จพ่อ พระองค์ทรงหนักแน่นมากไม่ใช่หรือ หากพระองค์ไม่ทรงยืนกรานเช่นนั้น เขาก็คงไม่คิดวิธีเช่นนี้ขึ้นมา
ฮ่องเต้เป็ฝ่ายบังคับเขาก่อน ยามนี้ภายนอกรับรู้เื่นี้แล้ว และล้วนวิพากษ์วิจารณ์ถึงหมวกสีเขียว [1] ของชิงผิงอ๋อง หากจะกล่าวตำหนิต่อไป ฮ่องเต้ก็ไม่สามารถกล่าวอะไรได้มากเช่นกัน
“เหยาเชียนเชียนผู้นั้น…”
“เสด็จพ่อ เชียนเชียนเป็คนดีจริงๆ และลูกพึงใจนางจากใจจริง” เป่ยเหลียนโม่รีบร้อนกล่าวขึ้นมา “เชียนเชียนไม่ใช่คนโหดร้ายเช่นนั้น ในวันที่ซ่งอีอีถูกลอบสังหาร เื่นี้ไม่เกี่ยวข้องกับนางอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ชิงผิงอ๋องถอนหายใจยาว ฮ่องเต้ได้ยินสิ่งที่เขากล่าวมาทั้งหมดก็เริ่มขบฟัน
“เชียนเชียนถูกใส่ร้าย นางเป็ทุกข์มาหลายวันแล้ว เดิมทีลูกอยากพานางออกไปผ่อนคลายสักหน่อย ทว่าเมื่อกลับมาและได้ทราบข่าวเื่นี้ เชียนเชียนก็ยิ่งกังวลและวุ่นวายใจมากขึ้นจนล้มป่วย ดังนั้นจึงไม่สามารถมาพบเสด็จพ่อได้ ลูกขอพระราชทานอภัยแทนนางด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เหลือบมองเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก พอได้แล้ว ที่นี่ไม่มีผู้ใดอยู่แล้ว
แต่ช่วยไม่ได้ ดูเหมือนว่าชิงผิงอ๋องกำลังเสพติดการแสดง สีหน้าของเขาเศร้าโศกราวกับเป็ห่วงหวังเฟยผู้ซึ่งนอนป่วยอยู่ที่จวนเหลือเกิน ทั้งยังยึดติดกับระเบียบพิธีไม่ยอมลุกขึ้น
“เสด็จพ่อ เชียนเชียนร่างกายอ่อนแอ ลูกหวังว่าเื่นี้จะไม่ถูกกล่าวถึงอีกในอนาคต เสด็จพ่อทรงอยากมีหลานมาตลอดไม่ใช่หรือ เมื่อเชียนเชียนร่างกายแข็งแรงดีแล้ว หลานชายตัวน้อยจะได้มีแหล่งที่อยู่อย่างไรเล่า”
ฮ่องเต้จ้องบุตรชายเขม็ง เขาอยากบอกอีกฝ่ายว่าผู้เป็เ้าเหนือหัวไม่สามารถมีความรักระหว่างชายหนุ่มและหญิงสาวได้ยืดยาว แม้ว่าเขาจะรักอดีตฮองเฮาอย่างสุดซึ้ง แต่ก็ไม่สามารถไม่โปรดปรานสตรีนางอื่นได้
บุตรชายผู้นี้เก่งกาจไปเสียทุกอย่าง เดิมทีเขาวางใจในตัวบุตรชายคนนี้มากที่สุด แต่ยามนี้กลับถูกควบคุมโดยสตรีผู้หนึ่ง ในอนาคตหากเหยาเชียนเชียนให้กำเนิดบุตร ไม่ว่าจะเป็หรือตาย สำหรับเป่ยเหลียนโม่ล้วนจะคงอยู่ในใจไปอย่างยาวนาน เป็ชิ้นเนื้อที่ไม่สามารถตัดขาดจากกันได้
“เ้ากลับไปได้แล้ว” ฮ่องเต้พลันสิ้นความคิดที่อยากจะสนทนากับเขาต่อให้ยืดยาว “ต่อไปไม่ว่าจะทำอะไรเ้าต้องระมัดระวังให้มาก ท้ายที่สุดแล้วเื่นี้ก็เกินขอบเขตไปมากแล้ว”
เป่ยเหลียนโม่ไม่ส่งเสียงอะไร ถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็ไม่มีหลักฐาน อยากจะใช้คำสองประโยคนี้มาทำให้เขายอมรับก็คงจะง่ายดายเกินไป
หลังจากถูกไล่ออกจากห้องทรงพระอักษร ชิงผิงอ๋องก็รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นรถม้าจอดอยู่หน้าประตูวังหลวง นั่นคือรถม้าของจวนเฉิงเซี่ยง
ซ่งอีอีรออยู่ข้างนอกอย่างดื้อรั้น อยากให้นางยอมแพ้ในการแต่งงานครั้งนี้อย่างง่ายดายคงยากเกินไปจริงๆ แม้ว่ายามนี้ผลลัพธ์ที่ต้องแต่งงานกับองค์ชายสามจะไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว แต่นางก็ยังอยากเห็นชายที่นางรักอย่างลึกซึ้งอีกสักครั้ง
“ท่านอ๋อง” ซ่งอีอีเอ่ยเสียงเบา “ท่านอ๋องน่าจะรู้ว่าเื่นี้อีอีถูกใส่ร้าย อีอีเพียงแค่อยากถามท่านอ๋องสักข้อ ในสายตาของท่านอ๋อง ความจริงใจทั้งหมดนี้ไม่มีความหมายใดเลยหรือเพคะ?”
ดวงตาสีดำสนิทของเป่ยเหลียนโม่ไร้ซึ่งแววยิ้มแย้ม หรือแม้แต่เมื่อครู่ยามที่อยู่ในห้องทรงพระอักษรก็ไม่อยากกล่าวต่อกันด้วยคำพูดที่เกรงใจกันแม้แต่น้อย
“สำหรับเปิ่นหวัง สิ่งที่ไม่้าล้วนเป็ภาระกวนใจ ไม่มีประโยชน์ใดๆ เลยนอกเสียจากทำให้รู้สึกรำคาญ” เขากล่าวอย่างเ็า “ที่ตำหนักเปิ่นหวังได้อธิบายอย่างชัดเจนไปแล้ว ในยามนั้นเปิ่นหวังไม่สนใจในตัวเ้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการกระทำทุกอย่างที่เ้ากระทำต่อหวังเฟย มันไม่ต่างอะไรจากการตบหน้าของเปิ่นหวังเลย ผลสรุปในวันนี้เห็นแก่เฉิงเซี่ยง เ้าควรจะดูแลจัดการตัวเองให้ดี”
เพื่อที่จะได้แต่งงานกับเขา นางไม่คำนึงถึงฐานะและเกียรติยศ แต่สุดท้ายนางก็จบลงด้วยการที่ต้องดูแลจัดการตัวเองให้ดีเพียงเท่านั้น
ซ่งอีอีหันกลับไปมองยังแผ่นหลังนั้น และกรีดร้องใส่เขาอย่างรุนแรง
“ท่านอ๋อง พระองค์ทรงคิดว่าเหยาเชียนเชียนจะรักพระองค์จริงๆ หรือ ผู้ที่พระองค์ปรารถนาเป็เพียงคนที่เ็าและไร้หัวใจคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ช้าก็เร็วพระองค์จะต้องเสียใจ พระองค์จะไม่มีวันได้พบกับคนที่รักพระองค์ได้อย่างอีอีอีกต่อไปแล้ว!”
เป่ยเหลียนโม่หัวเราะเยาะโดยที่ไม่ได้หยุดฝีเท้าลง ก่อนจะขึ้นหลังม้าจากไป
ผู้อื่นจะรู้ได้อย่างไรว่าระหว่างเขากับเหยาเชียนเชียนเป็อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น เหยาเชียนเชียนไม่ใช่คนเ็าและไร้หัวใจ นางมีหัวใจที่อบอุ่นที่สุด ส่วนเมื่อไรที่เขาจะสามารถนำหัวใจนี้ไปสู่อ้อมแขนของนางได้อย่างเต็มที่ เขามั่นใจว่าเป็เพียงเื่ของเวลาเท่านั้น
ที่จวนอ๋อง เหยาเชียนเชียนถูกบังคับให้แกล้งนอนป่วยอยู่บนเตียง และไม่รู้ว่าชิงผิงอ๋องให้นางดื่มยาชนิดใดเข้าไป คาดไม่ถึงเลยว่าจะสามารถตบตาหมอหลวงจนกลับไปได้
“ยามนี้ท่านอ๋องคงกำลังร้องไห้อยู่ในวัง” นางถอนหายใจ “ถึงแม้จะมีเื่แบบนี้เกิดขึ้น แต่ราชโองการของฮ่องเต้ก็ถูกถ่ายทอดไปแล้ว ้าแก้ไขย่อมไม่ง่ายดาย หากท่านอ๋องร้องไห้ บางทีฮ่องเต้อาจจะ...จะเป็คนใจเย็น”
นางยังรู้สึกว่าเหตุการณ์ระหว่างองค์ชายสามกับซ่งอีอีนั้นแปลกเกินไป แต่ถ้าเป็ฝีมือของเป่ยเหลียนโม่จริงๆ เช่นนั้นชิงผิงอ๋องผู้นี้ก็ไม่แยแสเกินไปแล้ว
เขาวางแผนสวมเขาด้วยตัวเองเพื่อขัดขวางการแต่งงานครั้งนี้ เหยาเชียนเชียนรู้สึกซาบซึ้งเหลือเกิน บุรุษผู้นี้เมื่อถึงเวลาไม่พอใจขึ้นมาก็สามารถทำได้ทุกอย่าง
“หวังเฟย ท่านอ๋องเสด็จกลับมาแล้วเพคะ” สาวใช้เข้ามารายงาน
เหยาเชียนเชียนรีบลุกจากเตียง หมายจะไปสืบถามเื่ซุบซิบ แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวออกจากห้องก็พลันปะทะเข้ากับชิงผิงอ๋องเสียก่อน
“วิ่งไปที่ใด” เป่ยเหลียนโม่ประคองนางไว้ “ยามนี้เ้ากำลังป่วย ต้องพักผ่อนให้ดีสิ”
เหยาเชียนเชียนนั่งลงบนเตียงกับเขาโดยไม่พูดอะไร นางไม่ได้ป่วยจริงเสียหน่อย เหตุใดถึงยังต้องแสดงอยู่อีกเล่า?
“ท่านอ๋อง เสด็จพ่อไม่ได้ทรงตำหนิพระองค์ใช่หรือไม่?”
เป่ยเหลียนโม่จิบชาอึกหนึ่งก่อนกล่าวว่า “เปิ่นหวังไม่เคยทำอะไรผิด ท้ายที่สุดแล้วเปิ่นหวังก็เป็คนที่คับข้องใจที่สุด เหตุใดเสด็จพ่อต้องตำหนิเปิ่นหวังเล่า”
อือฮึ ไม่ยอมรับก็ไม่เป็ไร เหยาเชียนเชียนพินิจมองสีหน้าของเขาที่ดูเหมือนว่าจะผ่อนคลายเหลือเกิน ชิงผิงอ๋องขัดขวางการแต่งงานจริงๆ หรือ?
เมื่อนึกเช่นนี้นางก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกอย่างไม่มีเหตุผล คาดว่าน่าจะเป็เพราะนางไม่อยากเจอซ่งอีอีทุกวันในอนาคต ครั้งที่แล้วสตรีผู้นั้นกล่าวหาว่าถูกนางลอบสังหาร อีกทั้งยังผลักนางลงมาจากชั้นสองจนเกือบเสียชีวิต นางยังไม่ได้คิดบัญชีนี้เลยด้วยซ้ำ
“เสด็จพ่อจะถ่ายทอดราชโองการในวันพรุ่งนี้ โดยจะพระราชทานสมรสแก่ซ่งอีอีและ...พี่สาม”
“องค์ชายสาม?” เหยาเชียนเชียนประหลาดใจ “เหตุใดถึงพระราชทานสมรสให้เขาเล่า?”
เป่ยเหลียนโม่เหลือบมองนาง น้ำเสียงของเขาสูงขึ้นเล็กน้อย
“ทำไม หวังเฟยอาลัยอาวรณ์หรือ?”
ล้อเล่นแล้ว นางจะอาลัยอาวรณ์สิ่งใดเล่า เหยาเชียนเชียนส่ายหน้าทันที และยกย่องพระปรีชาของฮ่องเต้อย่างจริงใจ อีกทั้งนางยังรู้สึกว่าซ่งอีอีและเป่ยเซวียนเฉิงช่างเป็คู่ที่เหมาะสมกันมาก เรียกได้ว่าเป็คู่ที่์บรรจงสร้าง
“เื่นี้ไม่สามารถแก้ไขได้อีกแล้ว วันแต่งงานที่กำหนดไว้แต่เดิมยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่ฝ่ายเ้าบ่าวตกไปเป็ของพี่สาม”
เหยาเชียนเชียนนับวัน เดิมทีงานแต่งงานของซ่งอีอีและชิงผิงอ๋องจะเกิดขึ้นภายในอีกไม่กี่วันเท่านั้น ฮ่องเต้ไม่ได้กำหนดวันใหม่ เขาอาจ้าจัดการให้รวดเร็วที่สุดเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันกระมัง
ทว่าสิ่งที่นางไม่รู้ก็คือวันนี้เป่ยเหลียนโม่ก็พายเรือทวนน้ำเช่นกัน ซึ่งจะช่วยให้เหล่าข้าหลวงพ้นจากปัญหาไปอีกสองสามวัน สู้ให้เป็วันเดิมจะดีกว่า สิ่งที่ต้องจัดเตรียมก็ยังจัดเตรียมตามปกติ เพียงแค่เปลี่ยนตัวเ้าบ่าวเท่านั้น
เหยาเชียนเชียนดูเหมือนจะสงบมากหลังจากได้ยินเื่นี้จากเป่ยเหลียนโม่ เพียงเขาเข้าวังหลวงไปอย่างเงียบๆ ก็สามารถแก้ไขมันได้อย่างง่ายดาย
แต่เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น นางถึงได้รู้ว่าเื่นี้ยังไม่จบ คลื่นลมที่โหมซัดสาดภายนอกนั้นเป็เพียงสิ่งที่เป่ยเหลียนโม่ใช้เพื่อเอาใจหวังเฟยของตนเท่านั้น
เชิงอรรถ
[1] หมวกสีเขียว เป็การอุปมาว่า ให้อภัยหรือไม่ถือสาหลังจากโดนสวมเขา
