บทที่ 106 ล่อดื้อตัวหนึ่ง
ตลาดนัดครั้งนี้จัดที่หมู่บ้านข้างๆ หมู่บ้านผานสือซึ่งอยู่ไม่ไกล แถมสองวันนี้อากาศดีไม่มีหิมะตก การเข็นรถเข็นของลู่จิ่งซานก็ไม่ลำบากนัก
แต่คนที่อัดอั้นสุดๆ คือหลิวเหมียว เดิมทีเธอเตรียมเื่ซุบซิบมาเต็มกระเป๋าจะเม้าท์กับสวี่จือจือ แต่ดันมีลู่จิ่งซานโผล่มา ถึงเขาจะนั่งรถเข็น แต่ออร่าของเขากลับไม่ธรรมดาเลยสักนิด หลิวเหมียวเลยกลัวจนไม่กล้าพูดอะไร
จะคุยเื่ซุบซิบในหมู่บ้าน? เมียบ้านใครคลอดลูก? หรือเมื่อวานโจวเป่าเฉิงพาอันฉินไปศูนย์พักแล้วถูกฟางย่วนย่วนด่าจนเสียหน้า?
ช่างเถอะ เื่พวกนี้เธอจะกล้าพูดต่อหน้าลู่จิ่งซานได้ยังไง? แถมตอนกลางวันแสกๆ แบบนี้ เธอที่เป็เหมือนหลอดไฟดวงใหญ่ยืนเกะกะอยู่ตรงนี้มันเสียของเปล่าๆ
“ใช่แล้ว” ยังไม่ทันถึงประตูหมู่บ้าน หลิวเหมียวก็ตบหน้าผากตัวเอง “ฉันลืมเอาเงินมา ดูความจำฉันสิ จือจือ เธอไปก่อนเลยนะ ฉันต้องกลับไปเอาก่อน” พูดจบไม่รอให้สวี่จือจือตอบ เธอก็หันหลังวิ่งไปทันที
สวี่จือจือ “…”
ตอนนั้นเองเธอได้ยินน้ำเสียงรู้สึกผิดของลู่จิ่งซาน “หรือว่าผมไม่ควรมาด้วย?”
“เปล่าหรอก” สวี่จือจือได้สติแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “หลิวเหมียวเป็แบบนี้แหละ ขี้หลงขี้ลืม”
“งั้นก็ดี” ลู่จิ่งซานพูด
“แต่…” สวี่จือจือถามเขาด้วยความสงสัย “คุณไม่ได้บอกว่าไม่มีอะไรต้องซื้อเหรอ?”
“สหายสวี่” ยังไม่ทันที่คำพูดของเธอจะจบก็มีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูหมู่บ้าน พอเห็นสวี่จือจือเขาจับกางเกงตัวเองด้วยความตื่นเต้น “เธอ…มาจ่ายตลาดด้วยเหรอ?”
“ปัญญาชนเมิ่ง” สวี่จือจือยิ้มทักทาย “มีอะไรเหรอ?”
“ไม่…มี” เมิ่งไห่หยางส่ายหัวก่อนแล้วค่อยพยัก “ฉัน…อยากถามเธอหน่อย หนังสือมัธยมปลายของเธอ ฉันยืมไปใช้ได้ไหม?”
โควต้าสองที่ของโรงเรียนประถมของประชาคม อันฉินได้ไปหนึ่งที่ อีกที่ตกเป็ของเยาวชนปัญญาชนจากหมู่บ้านเป่ยสุ่ย
แต่เมิ่งไห่หยางกลับมีชื่อเสียงโด่งดังจากการช่วยซ่อมเครื่องปั๊มน้ำของหลายหมู่บ้าน แถมตอนนวดข้าวมีรถแทรกเตอร์เสีย เขาก็ช่วยซ่อมจนสำเร็จ สุดท้ายโชคดีได้เข้าไปเป็ช่างเทคนิคที่ประชาคม แต่การมาขอยืมหนังสือจากเธอ ทำให้สวี่จือจือสงสัย
“ฉัน…อยากดูหนังสือฟิสิกส์มัธยมปลาย” เขาเกาหลังคอ “มีบางความรู้ที่ฉันไม่อยากลืม”
ถ้าไม่รู้ว่าเขาเป็คนรักการเรียนขนาดนี้ สวี่จือจือคงสงสัยว่าเขารู้ข้อมูลวงในอะไรรึเปล่า เช่น การสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่กำลังจะกลับมาอีกครั้ง?
“ได้สิ” สวี่จือจือพูดยิ้มๆ “ต่อไปถ้าอยากยืมหนังสืออะไรก็ไปที่บ้านได้เลย” ไม่ต้องมายืนรอแบบนี้ อากาศหนาวๆ ไม่กลัวหนาวเหรอ?
“จริงเหรอ?” เมิ่งไห่หยางทั้งตื่นเต้นทั้งละอาย “สหายสวี่ ฉัน…ขอโทษนะ ที่เคยพูดกับเธอแบบนั้น!”
เขานึกถึงอดีต เขาเคยเชื่อคำพูดไม่กี่คำของอันฉินแล้วไปร้องเรียนสวี่จือจือที่ประชาคมด้วยกัน โชคดีที่หลังจากนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“มีอะไรอีกไหม?”
ลู่จิ่งซานที่เงียบอยู่นาน จู่ๆ ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ถ้าไม่ไปตอนนี้ เดี๋ยวจะพลาดตลาด”
“อ้อ?” เมิ่งไห่หยางรีบพูด “ฉัน…ไม่รู้ว่าพวกเธอจะไปจ่ายตลาด ขอบคุณนะ ฉัน…ไม่รบกวนแล้ว” พูดจบเขาไม่กล้ามองสวี่จือจืออีก แล้วรีบวิ่งหนีไป
อาจเพราะวิ่งเร็วเกินไปจนเขาเกือบล้ม
สวี่จือจือมองท้องฟ้า “…ตลาดมันจะหมดเร็วขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ไปช้า ของที่อยากซื้อก็ไม่มี” ลู่จิ่งซานก้มหน้าพูด เขาไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าที่พูดแบบนั้นเพราะเห็นสวี่จือจือยืนยิ้มคุยกับเมิ่งไห่หยางแล้วรู้สึกไม่สบายใจ
“ก็จริง” สวี่จือจือพยักหน้าเข็นรถเขาเดินเร็วขึ้น เดินไปได้สักพัก เธอก็ได้ยินเสียงลู่จิ่งซาน “ทำไมคุณไม่พูดอะไรเลย?”
สวี่จือจือ “…” จะพูดอะไร?
“ไม่มีอะไรจะพูดน่ะสิ” สวี่จือจือบ่นงึมงำ
ถึงจะผ่านมาสองเดือนกว่าแล้ว แต่พอนึกถึงคำพูดของลู่จิ่งซานกับสัญญาที่อยู่ในกล่อง เธอก็โมโหจนอยากกัดเขาให้หายแค้น
เธอไม่ดีตรงไหน? ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนักเขียนถึงชอบเขาขนาดนั้น
นี่มันล่อดื้อชัดๆ!
ลู่จิ่งซานสะอึก มือใหญ่ที่วางบนเข่ากำแน่นแล้วคลายออก
เขากำลังจะพูดอะไรก็ได้ยินเสียงกระดิ่งรถดังจากด้านหลัง ทั้งที่พวกเขาเดินชิดขอบทางแล้ว แต่กระดิ่งนั้นยังดังไม่หยุดเหมือนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
สวี่จือจือกำลังจะพูดก็เห็นลู่จิ่งซานหยิบไม้จากข้างทาง หันหลังไม่มองแล้วเหวี่ยงไปทันที ตามด้วยเสียงโอ๊ยดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงโครามครามปนกับเสียงกรีดร้องของผู้หญิง
“ลู่จิ่งซาน แกตั้งใจ” เสียงโจวเป่าเฉิงโมโหจัด
สวี่จือจือเข็นลู่จิ่งซานหันกลับไปก็เห็นโจวเป่าเฉิงนั่งอยู่บนพื้นอย่างน่าสมเพช ข้างหลังมีอันฉินยืนโกรธจัด
โจวเป่าเฉิงลุกขึ้นยกจักรยานพร้อมด่าลู่จิ่งซาน “ไอ้พิการ…”
ยังด่าไม่จบเขาก็เจ็บตัว ถูกสวี่จือจือปาก้อนหินใส่จนต้องหลบ มือปล่อยจักรยานสองแปดล้มลงพื้นอีกครั้ง
“ระวังหน่อยสิ” อันฉินะโด้วยความเสียดายจากด้านหลัง “ยัยผู้หญิงร้ายกาจ” อันฉินชี้หน้าด่าสวี่จือจือ “สามีเธอพิการ แล้วไง? ห้ามคนอื่นพูดเหรอ?”
“ไม่ได้” สวี่จือจือพูดเ็า “พวกเธอนับเป็ตัวอะไรถึงกล้าพูดถึงเขา” เธอพูดพลางหยิบไม้ที่ลู่จิ่งซานใช้ตีเมื่อกี้ “แค่พวกเธอสองคนตาถั่วนี่นะ ถุ้ย!
สามีฉันเป็ยังไง? ถึงนั่งรถเข็นเขาก็ดีกว่าพวกเธอที่สมองพิการร้อยเท่า” สวี่จือจือยิ้มเยาะ “พวกเธอสองคนคู่ควรจะมาเทียบกับเขา?
ไอ้สิ่งน่ารังเกียจ
ทำไม? ขี่จักรยานผุๆ แล้วดีใจจนเหลิงเหรอ? เหมือนจักรยานนี่ซื้อด้วยความสามารถตัวเองยังไงยังงั้น” ถุ้ย!
สวี่จือจือเป็คนปกป้องคนของตัวเอง ถึงจะโกรธลู่จิ่งซานแค่ไหน แต่เธอก็ทนไม่ได้ถ้ามีคนมาพูดถึงเขาในทางไม่ดี ยิ่งเป็คู่สามีภรรยาโจวเป่าเฉิงด้วยแล้ว พวกเขามีสิทธิ์อะไร? เป็แค่ปรสินแท้ๆ ยังมีหน้ามาดูถูกลู่จิ่งซานอีกเหรอ?
สายตาและสีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความรังเกียจและดูถูกแบบไม่ปิดบัง
“พวกเราไปกันเถอะ” สวี่จือจือพูดจบก็เข็นลู่จิ่งซานไป “คุยกับพวกคนตาถั่วแล้วเดี๋ยวสติปัญญาจะต่ำลง”
“เหอะ” อันฉินเยาะเย้ย “บางคนซื้อได้แต่ขี่ไม่ได้จะมีประโยชน์อะไร? สุดท้ายก็ได้แต่มองตาปริบๆ”
“เป่าเฉิง พวกเราไปกันเถอะ” อันฉินเงยคางมองสวี่จือจืออย่างลำพองใจ
เธอไม่มีวันลืม วันนั้นสวี่จือจือขี่จักรยานผ่านหน้าพวกเธออย่างหยิ่งผยองยังไง คราวนี้เธอได้แก้แค้นแล้ว สะใจจริงๆ!
จากนั้นก็ได้ยินเสียงโจวเป่าเฉิงบ่นอย่างหงุดหงิด “จะขี่อะไร? โซ่หลุดแล้ว”
สวี่จือจือหลุดขำออกมา สมน้ำหน้า!
“งั้นก็รีบใส่คืนสิ” อันฉินพูดอย่างร้อนใจ
ขี้แพ้จริงๆ ถึงเวลาสำคัญดันโซ่หลุดซะได้!
“ใส่อะไร? โซ่มันขาดแล้ว”
.............................