จ้าวซีเหอมองหนิงมู่ฉืออย่างเป็ห่วง น้ำเสียงที่เอ่ยถามจึงอ่อนโยนประหนึ่งสายลมก็ไม่ปาน “เ้าเป็อันใดไป”
หนิงมู่ฉือรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจนร่ำไห้ออกมา น้ำตาผสมปนเปไปกับน้ำมูก ทว่ากลับพูดไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ
จ้าวซีเหอเหลือบเห็นผงพริกไทยและผงพริกที่อยู่ในมือหนิงมู่ฉือ ในใจพอจะคาดเดาได้บ้างแล้วว่าเกิดอันใดขึ้น เขาแย่งผ้าเช็ดหน้าในมือนางมา ค่อยๆ เช็ดดวงตาให้นางอย่างเบามือ แววตาที่มองนุ่มนวลราวกับสายน้ำ
“เ้าโง่หรืออย่างไร เอาผงพริกไทยกับผงพริกไปป้ายตาตัวเองเพื่อเหตุใด!” จ้าวซีเหอกล่าวด้วยน้ำเสียงต่อว่า ขณะที่มือเช็ดตาให้หนิงมู่ฉืออย่างเอาใจใส่ “ตอนนี้เ้าสามารถลืมตาได้หรือไม่”
หนิงมู่ฉือลองลืมตาที่ยังคงมีหยาดน้ำตาคลออยู่อย่างยากลำบาก นางลองกระพริบตาให้จ้าวซีเหอดู ครั้นมองเห็นได้อย่างชัดเจน นางก้าวถอยหลังเพื่อรักษาระยะห่างกับเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเขินอาย “บ่าวขอบคุณซื่อจื่อมากเ้าค่ะ”
จ้าวซีเหอเห็นหนิงมู่ฉือถอยห่างตัวเอง พอฟังคำขอบคุณจากนาง ในใจรู้สึกหนักหน่วง ทว่าเพียงครู่เดียวก็กลับมามีท่าทีสนุกสนานเช่นเดิม “หนิงมู่ฉือ เ้าโง่หรือไร เป็ครั้งแรกเลยนะที่ข้าเห็นคนนำผงพริกไทยกับผงพริกมาป้ายตาตัวเอง!”
หนิงมู่ฉือได้ยินจ้าวซีเหอเอ่ยเช่นนี้ ในใจยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เล่าด้วยน้ำเสียงเกรงใจ “ซื่อจื่อ บ่าวเจอพวกขันทีจะมาจับตัวบ่าว บ่าวจึงใช้ผงพริกไทยกับผงพริกสาดใส่ตาพวกเขา แต่บ่าวลืมไปว่าที่มือบ่าวยังมีผงเหล่านี้อยู่ ถึงได้เผลอเอาป้ายตาตัวเอง”
“อีกอย่าง! เื่นี้มีอันใดน่าขำกันเ้าคะ!” นางกลอกตาใส่เขา
จ้าวซีเหอได้ฟังรู้สึกโมโหยิ่ง “ผู้ใดกันที่ใจกล้าถึงเพียงนี้! กล้ามาบังคับจับตัวแม่ครัวแห่งตำหนักอ๋อง! ทำเช่นนี้เท่ากับเป็ศัตรูกับข้า!”
หนิงมู่ฉือมองท่าทางกราดเกรี้ยวของจ้าวซีเหอ ในใจพลันรู้สึกอบอุ่น บางทีจ้าวซีเหออาจมิได้แย่อย่างที่นางคิดก็เป็ได้ ครั้นเขากับนางขึ้นไปนั่งบนรถม้า ทั้งคู่ต่างเงียบไม่ได้เอ่ยวาจาอันใดออกมาอีกเลย
นางใช้ดวงตาที่ยังคงแดงก่ำจากการร้องไห้เมื่อสักครู่มองเขา นานกว่าจะเอ่ยคำสามคำออกมา “ขอบคุณท่าน”
จ้าวซีเหอได้ยินหนิงมู่ฉือเอ่ยขอบคุณก็เผยยิ้มที่น่าหลงใหลตอบกลับไป “เกรงใจไปไย เห็นคนงามเป็เช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องทำแบบข้าทั้งนั้น”
หนิงมู่ฉือได้ยินคำเกี้ยวพาของเขาก็ก้มหน้า ในใจรู้สึกผิดหวังยิ่ง
จ้าวซีเหอเห็นท่าทางเช่นนี้ของหนิงมู่ฉือ รู้ทันทีว่าตัวเองพูดผิดไป แต่ไม่รู้จะทำเช่นไร ได้แต่มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความรู้สึกไม่ยินยอม
รถม้ามาถึงตำหนักอ๋อง
ครั้นท่านอ๋องเห็นสภาพของหนิงมู่ฉือ เขามีน้ำโหขึ้นมาทันควัน เอ่ยถามด้วยโทสะกับหนิงมู่ฉือ “นางหนูหนิง บอกข้ามาสิว่าขันทีคนใดทำให้เ้ามีสภาพเช่นนี้! ทำแบบนี้เท่ากับไม่เคารพข้า!”
หนิงมู่ฉือไม่้าให้ท่านอ๋องต้องเดือดร้อนไปด้วยจึงส่ายหน้าออกมา “ไม่เป็ไรเ้าค่ะ ข้าคงไม่ทันระวังจึงล่วงเกินพวกเขาเข้า ครั้งหน้าข้าระวังตัวหน่อยก็ใช้ได้แล้ว ท่านอ๋องไม่ต้องเป็ห่วงบ่าวหรอกเ้าค่ะ”
ท่านอ๋องถอนหายใจออกมา มองสภาพน่าสงสารของหนิงมู่ฉือพลางเอ่ย “นางหนูหนิงช่างน่าสงสารเหลือเกิน หากสกุลหนิงยังคงอยู่ เ้าไม่มีทางได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจเช่นนี้แน่”
หนิงมู่ฉือก้มหน้าอย่างเศร้าสลด น้ำตาเริ่มคลออีกครา ทว่านางพยายามกล้ำกลืนมันลงไป
ท่านอ๋องรู้ตัวแล้วว่าตัวเองไม่ทันระวังไปสะกิดโดนแผลของหนิงมู่ฉือเข้า เขายิ้มแก้เก้อพร้อมกับเปลี่ยนเื่ “นางหนูหนิง ข้าได้ยินว่าฝ่าาทรงมีรับสั่งให้เ้ารับผิดชอบเื่อาหารของแขกต่างแคว้นที่กำลังจะมาถึงหรือ”
หนิงมู่ฉือพยักหน้า
ท่านอ๋องมีท่าทีเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน ตบโต๊ะเสียงดังพลางกล่าวอย่างไม่พอใจ “แขกต่างแคว้นเหล่านี้ไม่ได้มาด้วยเจตนาดี! ทุกครั้งที่มาจะพาพ่อครัวของตัวเองมาด้วย มักบอกว่าอาหารของที่ราบภาคกลางของพวกเรารสชาติไม่ดี!”
จ้าวซีเหอเอ่ยอย่างไม่พอใจเช่นกัน “แขกต่างแคว้นเหล่านี้หยิ่งยโสนัก! ท่านพ่อ พวกเราต้องทำให้พวกเขารู้ถึงความร้ายกาจของพวกเรา ลูกเชื่อมั่นในความสามารถของหนิงมู่ฉือ”
ท่านอ๋องพยักหน้าเห็นด้วย หันไปยิ้มให้หนิงมู่ฉือ “นางหนูหนิง ฝ่าาทรงยอมรับในฝีมือการทำอาหารของเ้า นี่ถือเป็เื่ดี ทุกปีเื่อาหารของแขกต่างแคว้นอยู่ในความรับผิดชอบของเต๋อเฟย ต่อไปจะทำเื่ใดเ้าต้องระวังตัวให้ดี บรรดาขันทีที่มาจับตัวเ้าระหว่างทางคาดว่าน่าจะเป็คนของนาง”
หนิงมู่ฉือพยักหน้ารับรู้ตอบท่านอ๋อง ในใจรู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน นางส่งยิ้มให้ท่านอ๋องและจ้าวซีเหอ “บ่าวขอบคุณท่านอ๋องและซื่อจื่อมากเ้าค่ะที่ดีต่อบ่าวถึงเพียงนี้ ต่อไปบ่าวจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่านอ๋อง จะระวังตัวทุกฝีก้าว”
ท่านอ๋องเอ่ยกับหนิงมู่ฉืออย่างทอดถอนใจ “ต่อไปอยู่ในตำหนักแห่งนี้เ้าไม่ต้องแทนตัวเองว่าบ่าวอีก เดิมเ้าเป็ถึงคุณหนูใหญ่ของจวนแม่ทัพ ต่อให้ตกต่ำอย่างไรก็ยังคงมีลักษณะท่าทางของคุณหนูใหญ่อยู่”
หนิงมู่ฉือมองท่านอ๋องอย่างซาบซึ้ง จ้าวซีเหอส่งยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยนเช่นกัน
จ้าวซีเหอกล่าวด้วยความปวดใจ “วันนี้เ้ามีสภาพเช่นนี้แล้วไม่ต้องทำอาหารหรอก ไปพักผ่อนเถิด อีกไม่กี่วันแขกต่างแคว้นก็จะมาแล้ว ถึงตอนนั้นเ้าจะต้องยุ่งมากแน่”
ท่านอ๋องพยักหน้าเห็นด้วย ในใจหนิงมู่ฉือรู้สึกอบอุ่นยิ่งกว่าเดิม นางคำนับจ้าวซีเหอกับท่านอ๋อง ก่อนจะกลับไปยังห้องของนาง อาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วล้มตัวนอนลงบนเตียง
นางนึกย้อนถึงเื่ราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ทั้งหมด ในใจสับสนวุ่นวาย เริ่มเป็ห่วงอนาคตของตัวเอง นางนอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียง อย่างไรก็นอนไม่หลับ
นางลุกขึ้นนั่งมองดวงจันทร์สีขาวสะอาดตาที่อยู่กลางนภานอกหน้าต่าง ขณะที่หูได้ยินเสียงขลุ่ยแว่วมา นางนึกสงสัย อยากจะออกไปดูเหลือเกินว่าผู้ใดกันที่เป่าขลุ่ย
นางสวมเสื้อคลุม เปิดประตูออกไปข้างนอก แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาทำให้ตำหนักอ๋องคล้ายกับอยู่ในห้วงฝัน
นางก้าวเดินไปข้างหน้า เสียงขลุ่ยที่ได้ยินเต็มไปด้วยความโศกเศร้า นางเดินไปตามเสียง กระทั่งเห็นจ้าวซีเหอในอาภรณ์สีขาวกำลังเป่าขลุ่ยท่ามกลางแสงจันทร์
แววตาของจ้าวซีเหอเต็มไปด้วยความโศกศัลย์ ทำให้นางรู้สึกปวดใจ นางตรงไปหาเขาอย่างช้าๆ จนมาถึงข้างตัว จนได้กลิ่นดอกบัวที่ลอยโชยมาจากตัวเขา
จ้าวซีเหอหันมามองนางพลางส่งยิ้มให้ “ดึกแล้วเหตุใดถึงยังไม่นอน หรือคิดถึงข้าจนนอนไม่หลับ”
นางทรุดนั่งลงข้างกายเขาแล้วเอ่ยตอบ “เสียงขลุ่ยของท่านมีเื่ราวซ่อนอยู่ข้างใน”
จ้าวซีเหอหัวเราะหึๆ “เช่นนั้นหรือ ที่แท้เ้าก็รู้จักข้าดีถึงเพียงนี้ ดึกดื่นเงียบสงัดกลับออกมาหาข้าตามลำพัง หากผู้อื่นรู้เื่นี้เข้าเ้าได้ถูกหัวเราะเยาะเป็แน่!”