หยางหนิงแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
เขากล่าวโทษฟ้าโทษดินโทษชะตาชีวิต เดิมคิดว่าผ่านไปสามวันแล้ว มู่เซิ๋นจวินน่าจะจากไปตั้งนานแล้ว หรือต่อให้อยู่ในเขา เทือกเขากว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ โอกาสที่คนทั้งสองจะพบกันได้นั้นก็ถือว่ามีน้อยมาก
แต่เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตนออกจากห้องหินมาได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ปีศาจแก่นี้ก็จะปรากฏข้างกายตนราวกับิญญาร้าย คล้ายกับว่าติดเครื่องมือติดตามตำแหน่งไว้ที่ตัวตนก็มิปาน
ผมของมู่เซิ๋นจวินถูกปล่อยสยาย เสื้อผ้าขาดวิ่น ดวงตาแดงก่ำ ท่าทางราวกับคนบ้าก็มิปาน แววตาคู่นั้นจ้องหยางหนิงราวกับจะเชือดเฉือนร่างกายของเขา ขณะที่น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาก็แหบพร่าไม่น้อยเช่นกัน “เ้าเป็วิชาทะยานฟ้าทะลวงดินด้วยงั้นหรือ? พลังเทพหกประสานนี้ข้าใช้เวลาถึงสองวันกว่าจะได้มา จะให้เ้าเอาไปง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไรกัน” เขาคำรามเสียงต่ำออกมาก่อนจะยื่นมือพุ่งมาทางหยางหนิง
หยางหนิงร้องะโออกมาเสียงดังก่อนจะรีบหมุนตัววิ่งหนีทันที มู่เซิ๋นจวินนั้นพูดได้ทำได้ ตอนนี้หยางหนิงก็รู้สึกได้ถึงแรงลมที่กระแทกมาจากทางด้านหลังแล้ว เขารู้ว่าตนจะต้องตายแน่ ทว่าทันใดนั้นเองในสมองก็เหมือนมีแสงสว่างปรากฏขึ้น ก่อนที่อยู่ๆ ร่างกายของตนจะพลิกตัวหมุน ก้าวเท้าก้าวหนึ่งขยับตัวหลบอย่างทันเวลา โดยท่าทางการเคลื่อนไหวนี้ก็คือการขยับฝีเท้าของเดินทางอย่างเริงใจนั่นเอง
หลายวันมานี้เขาแทบจะทำการฝึกซ้อมเดินทางอย่างเริงใจชุดนั้นอยู่ตลอดเวลา ท่วงท่าการขยับฝีเท้านั้นก็เชี่ยวชาญเป็อย่างดี เวลานี้เรียกได้ว่าเขาขยับก้าวเท้าไปเองโดยสัญชาตญาณ ทว่ากลับสามารถช่วยให้ตนหลบฝ่ามือที่พุ่งเข้ามาจากด้านหลังของมู่เซิ๋นจวินได้พอดี
มู่เซิ๋นจวินมีสีหน้าแปลกใจปรากฏขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขาคิดไม่ถึงว่าหยางหนิงจะสามารถหลบการโจมตีของตนได้ ทว่าในใจกลับคิดว่าที่หยางหนิงสามารถขยับตัวได้พลิ้วไหวราวกับิญญานั้นเป็แค่เื่บังเอิญเท่านั้นก่อนที่มือไม้เปื่อยตายจะพุ่งไปด้านหน้าเพื่อเตรียมจับตัวหยางหนิงไว้อีกครั้ง
หลังจากที่หยางหนิงขยับตัวหลบได้แล้ว ในสมองกลับครุ่นคิดเพียงแต่การขยับฝีเท้าของท่าเดินทางอย่างเริงใจ เมื่อก้าวแรกได้ขยับแล้ว ก้าวที่สองก็ขยับเดินต่ออย่างเป็ธรรมชาติ มู่เซิ๋นจวินที่ครั้งแรกได้พลาดพลั้ง เดิมก็คิดว่าครั้งที่สองจะต้องเอื้อมจับได้อย่างไม่มีพลาดแน่ กลับคิดไม่ถึงว่าในวินาทีที่ตนใกล้จะถูกตัวหยางหนิงแล้วนั้น ร่างกายของหยางหนิงกลับขยับตัวพลิ้วไหวราวกับิญญา เคลื่อนไปทางด้านข้างด้วยความเร็วที่น่าใ
มู่เซิ๋นจวินร้องเสียง “อ๊า” ออกมาอย่างตื่นตระหนก รอจนเขาทำการโจมตีหลายครั้งแล้วไม่อาจถูกตัวหยางหนิงได้นั้น สีหน้าของเขาก็ได้ปรากฏความหวาดกลัวและตกตะลึงออกมาแทน
ก่อนหน้านี้เขาก็เคยทดสอบร่างกายของหยางหนิงแล้ว รู้ว่าหยางหนิงนั้นไม่มีพื้นฐานกำลังภายในเลยแม้แต่น้อย เป็เพียงแค่คนธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น
แต่ว่าตอนนี้การขยับฝีท้าของหยางหนิงนั้นกลับลึกล้ำมาก แม้ว่าจะดูเหมือนกับการเดินโซเซไปมาของคนเมาเหล้า ทว่าการเปลี่ยนแปลงของการขยับตัวก็อยู่เหนือการคาดเดา ทำให้คนไม่สามารถรู้ถึงทิศทางการเดินของเข้าได้
ความจริงหยางหนิงเองก็ไม่รู้ว่ามู่เซิ๋นจวินจะพุ่งเข้าโจมตีตนจากทิศใดเช่นกัน เขาเพียงแต่ก้าวเดินไปตามที่สมองสั่ง เมื่อเห็นมู่เซิ๋นจวินขยับตัวผ่านข้างกายตนไปมานั้น ความจริงในใจของเขาเองก็รู้สึกตื่นตระหนกมาก โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าการขยับฝีเท้าของตนนั้นทำให้มู่เซิ๋นจวินรู้สึกหวาดกลัวเป็อย่างมากแล้ว อีกทั้งยังไม่รู้ว่าเพราะตนได้ใช้การขยับตัวแบบเดินทางอย่างเริงใจทำให้สามารถหลบสิบกว่ากระบวนท่าที่พุ่งเข้าโจมตีตนของมู่เซิ๋นจวินไปได้
มู่เซิ๋นจวินรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก แต่อย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่คนด้อยฝีมือ เขาเองก็มองออกว่าแม้การขยับฝีเท้าของหยางหนิงจะลึกล้ำ ทว่าท่วงท่านั้นกลับไม่ได้คล่องแคล่ว ในใจก็รู้ว่าหยางหนิงนั้นเกรงว่าจะเพิ่งร่ำเรียนได้ไม่นานนัก จึงส่งเสียงร้องคำรามออกมาอย่างดังสนั่นโดยใช้พลังภายในของตนส่งเสียงออกไป
เสียงร้องะโนี้ของเขาก็ทำให้หยางหนิงที่เอาแต่สนใจฝีเท้าของตนรู้สึกตื่นใขึ้นทันที จากนั้นท่วงท่าการขยับตัวของเขาเองก็ช้าลงไปมากเช่นกัน เมื่อหางตาเหลือบไปเห็นมือของมู่เซิ๋นจวินที่ยื่นมา หยางหนิงก็ใจนหน้าเปลี่ยนสี ชั่วขณะหนึ่งหลงลืมไปแล้วว่าตนควรจะเดินก้าวไหนต่อ ได้แต่ก้าวเดินไปตามสัญชาตญาณก้าวหนึ่ง กลับคิดไม่ถึงว่าจะเดินชนต้นไม้ไปเสียได้
รอจนเขาเตรียมจะเดินต่ออีกครั้ง หัวไหล่ก็รู้สึกเหมือนถูกบีบรัดซึ่งแรงบีบนั้นก็มาจากมือข้างหนึ่งของมู่เซิ๋นจวินที่ได้วางทาบมาบนไหล่ของตนแล้ว ขณะที่มู่เซิ๋นจวินยิ้มเย็นพร้อมเอ่ยออกมาว่า “จะหนีไปไหน?”
การก้าวเดินของหยางหนิงนั้นผิดจังหวะ และมู่เซิ๋นจวินเองก็มองเห็นจุดบอดนั้น เดิมคิดว่าจะใช้ฝ่ามือสังหารหยางหนิงไปในทันที ทว่าเพราะเห็นท่วงท่าการเดินของหยางหนิงนั้นลึกล้ำ ในใจจึงมีความละโมบเกิดขึ้น เขารู้ดีว่าเป็ไปได้อย่างมากว่าเ้าหนุ่มนี่จะมีโชคเข้าข้างไปพบเจออะไรดีๆ ได้ จึงคิดอยากจะบีบบังคับให้หยางหนิงสารภาพที่มาของการฝึกท่วงท่าเหล่านี้ออกมา
หยางหนิงรู้สึกสิ้นหวัง เมื่อครู่สามารถรอดพ้นจากความตายมาได้ คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วก็ยังยากที่จะหลีกพ้นจากมือมารของปีศาจแก่ผู้นี้ได้ จึงได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่นและเอ่ยว่า “ผู้าุโมู่ สวัสดี!”
“หยุดพร่ำเพ้อได้แล้ว ท่าเดินชุดนี้ของเ้าได้มาจากที่ใด?” แววตาของมู่เซิ๋นจวินในตอนนี้ปรากฏความละโมภขึ้น “สารภาพมาตามตรง ข้าอาจจะไว้ชีวิตเ้าได้”
หยางหนิงครุ่นคิดในใจว่าเื่มาถึงขั้นนี้แล้ว ตนจะต้องตายอย่างแน่นอน แต่หากตายก็จะให้ปีศาจแก่ผู้นี้ได้เปรียบไปไม่ได้ เมื่อคิดได้ว่าตนเพิ่งข้ามภพมาที่โลกใหม่ได้ไม่ถึงสิบวัน จิตใจก็รู้สึกย่ำแย่มาก จึงเอ่ยเสียงเรียบตอบกลับไปว่า “ท่าเดินอะไร? ท่านมองผิดไปแล้ว นี่มันเป็การเดินมั่วไปเรื่อยของข้าเท่านั้น”
“เ้ามีความสามารถเช่นนั้นด้วย?” แววตาของมู่เซิ๋นจวินมีความดูิ่เหยียดหยามปรากฏขึ้น พลางยิ้มเย็นและเอ่ยต่อว่า “ดูเหมือนเ้าจะไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาสินะ ข้าจะทำให้เ้าเห็นเองว่าอะไรเรียกว่าน่ากลัว” มือไม้เปื่อยตายที่ทาบบนไหล่ของหยางหนิงเอาไว้ก็ปล่อยพลังภายในออกมา เป้าหมายก็เพื่อทำให้หยางหนิงรู้สึกเ็ปจนยากจะทน ให้เขาจำต้องสารภาพที่มาของท่าการเดินนั้นออกมา
เมื่อมู่เซิ๋นจวินปล่อยพลังภายในออกมาจากแขนตนนั้น แน่นอนว่าหยางหนิงก็รู้สึกได้ทันที ไหล่ของเขาเหมือนถูกกดไว้ด้วยของหนักราวพันชั่ง จากนั้นก็มีแรงที่เหมือนคลื่นั์พุ่งเข้าผ่านหัวไหล่มายังร่างกายของเขา ทำให้ชั่วขณะหนึ่งเส้นเืที่หัวไหล่ก็รู้สึกเหมือนพองตัวจนแทบจะะเิออกมา ความเ็ปนั้นทรมานเสียยิ่งกว่าการเ็ปบนิัเป็หลายสิบเท่า
แม้ว่าหยางหนิงจะมีความอดทนสูง ทว่าความเ็ปเช่นนี้ก็ยังคงทำให้เขาเจ็บจนต้องร้องออกมา ขณะที่มู่เซิ๋นจวินใช้สายตาเยือกเย็นและเสียงที่เ็าเอ่ยต่อว่า “จะพูดไม่พูด?”
ความรู้สึกเหมือนเส้นเืจะฉีกขาดนั้น ทำให้หยางหนิงแทบจะสูญเสียสติของตนไป
ตอนนี้เขารู้สึกเพียงแต่ว่าเส้นเืที่หัวไหล่ของตนนั้นเหมือนกับถูกสูบลมเอาไว้ ค่อยๆ พองตัวขึ้นเรื่อยๆ และหากลมนั้นไม่ได้ถูกปล่อยออก ชีพจรและเส้นเืของเขาจะต้องะเิแน่
เพียงแต่พลังภายในถูกส่งมาที่หัวไหล่เขาไม่มีหยุด ราวกับคลื่นสมุทรที่ซัดมาอย่างต่อเนื่องเป็ระลอกๆ ไม่อาจขับออกไปได้ อยู่ๆ ในสมองก็นึกถึงเส้นสีแดงที่เกี่ยวข้องกับไหล่ซ้ายบนม้วนหนังสือภาพพลังเทพหกประสานขึ้นมาได้ทันที จุดเริ่มต้นของชีพจรในภาพนั้นได้เริ่มขึ้นจากจุดเชวียเผินที่หัวไหล่พอดี จากนั้นก็ลากผ่านจุดจงฝู่ ไปทางจุดเสินฉาง แล้วจึงค่อยลากยาวไปที่จุดหลิงซวีและจุดเสินเฟิง ก่อนที่สุดท้ายจะไปจบที่จุดถานจงบริเวณทรวงอก
เวลานี้เขารู้สึกเหมือนจะสลบลงไปแล้ว ทว่าในสมองกลับยังคงคิดถึงเส้นสีแดงเส้นนั้น และเวลานี้ก็สามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงพลังภายในที่ขับเคลื่อนอยู่ในจุดเชวียเผิน พลางคิดว่าหากเคลื่อนย้ายพลังภายในจากจุดเชวียเผินไปที่จุดจงฝู่ได้นั้น บางทีอาจจะลดความเ็ปจากการขยายของเส้นชีพจรได้
ว่าแล้วก็แปลก เมื่อเขาหลับตาคิดถึงสิ่งเหล่านี้ พลังภายในที่จุดเชวียเผินนั้นก็เหมือนจะเริ่มเคลื่อนย้ายแล้วจริงๆ ราวกับว่าตัวเขาสามารถเคลื่อนย้ายพลังภายในนั้นได้ก็มิปาน แต่เดิมพลังภายในนั้นเหมือนจะต่อต้านตนอยู่บ้าง ทว่าเพียงชั่วพริบตาเดียว พลังภายในนั้นก็ไหลลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว และพุ่งตรงเข้าไปที่จุดจงฝู่ทางด้านล่างแทน
หลังจากที่พลังภายในเคลื่อนย้ายจากจุดเชวียเผินไปที่จุดจงฝู่แล้วนั้น ความรู้สึกเหมือนเส้นชีพจรจะฉีกขาดที่หัวไหล่นั้นก็ลดลงไปไม่น้อย แต่ว่าทางเส้นเืและชีพจรด้านข้างของจุดจงฝู่กลับค่อยๆ ขยายตัวแทน
หยางหนิงรู้สึกหมือนว่าตนจะสามารถควบคุมทิศทางการวิ่งของพลังภายในนี้ จึงไม่มีการลังเลอีกก่อนจะรีบดำเนินต่อไปตามทิศทางเส้นสีแดงที่เกี่ยวของกับหัวไหล่ในพลังเทพหกประสานทันที โดยนำพลังภายในนั้นเคลื่อนย้ายจากจุดจงฝู่ต่อไปยังจุดเสินฉาง ก่อนจะต่อไปยังจุดหลิงซวีและจุดเสินเฟิง และสุดท้ายไปจบที่จุดถานจง
เห็นได้ชัดว่ามู่เซิ๋นจวินไม่รู้ว่าพลังภายในของเขาได้ถูกหยางหนิงขับเคลื่อนไปที่จุดถานจงแล้ว เขายังคงถ่ายทอดพลังภายในเข้าไปในร่างกายของหยางหนิงอย่างต่อเนื่อง โดยคิดอยากจะให้หยางหนิงทนต่อไปไม่ไหวจนต้องร้องขอความเมตตาจากตน
ทีแรกตอนที่ได้ยินหยางหนิงร้องออกมาอย่างเ็ปนั้น บนใบหน้าของมู่เซิ๋นจวินก็ยังคงมีความิ่หยามปรากฏออกมา ทว่าไม่นานนักเสียงร้องของหยางหนิงก็หยุดลง มู่เซิ๋นจวินก็คิดขึ้นมาว่าหรือเ้าเด็กนี่จะทนต่อไปไม่ไหวจนสลบลงไปแล้ว แต่เดิมตอนเขาเพิ่งเห็นหยางหนิงนั้นก็รู้สึกอยากจะสังหารหยางหนิงทิ้งเสียให้ได้ ทว่าเมื่อเห็นท่าเดินของเดินทางอย่างเริงใจของหยางหนิงแล้ว เขาก็ได้เปลี่ยนความคิดของตน แน่นอนว่าตอนนี้เขาไม่อยากให้หยางหนิงตายแล้ว
เวลานี้ก็แค่อยากให้หยางหนิงทรมานเพื่อบีบให้หยางหนิงสารภาพกระบวนท่าในการเดินของเดินทางอย่างเริงใจเท่านั้น ไม่ได้คิดจะสังหารเขาในทันที เมื่อเห็นหยางหนิงไม่ส่งเสียงร้องออกมา เขาก็คิดเพียงว่าหยางหนิงอดทนต่อไปไม่ไหวแล้วจึงรีบเตรียมพร้อมที่จะดึงพลังภายในของตนกลับคืน
เพียงแต่เมื่อถึงยามที่เขาใช้พลังดึงพลังภายในของตนกลับคืนนั้น กลับพบว่าพลังภายในของตนกลับไหลออกไปเหมือนสายน้ำ ไม่เพียงแต่ไม่อาจดึงกลับคืนได้ อีกทั้งยังไหลออกไปด้านนอกอย่างควบคุมไม่อยู่อีกด้วย
มู่เซิ๋นจวินขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น คิดอยากจะดึงมือกลับทว่าชั่วขณะหนึ่งกลับไม่สามารถยกมือขึ้นได้ พลังภายในที่ไหลออกจากร่างไปนั้นเหมือนกับกาวที่ติดอยู่บนฝ่ามือเขา ทำให้เขาไม่สามารถขยับมันออกไปไหนได้
สีหน้าของมู่เซิ๋นจวินเปลี่ยนไปในทันที
เวลานี้เขาก็ยังคงไม่รู้ว่าพลังภายในของตนได้เดินไปตามเส้นทางที่หยางหนิง้าแล้ว อีกทั้งยังไหลเวียนผ่านเส้นชีพจรเข้าไปที่จุดถานจงของหยางหนิงต่อเนื่องไม่มีหยุด
ความจริงแล้วตอนแรกที่หยางหนิงเคลื่อนย้ายพลังภายในที่หัวไหล่ของตนนั้น ยามที่มันไหลผ่านเส้นชีพจรนั้นก็เป็ไปอย่างยากลำบากมาก อีกทั้งความเร็วก็เชื่องช้ามากดว้ย
เพราะว่าหยางหนิงไม่มีพื้นฐานวิชากำลังภายในเลยแม้แต่น้อย หากใช้วิธีพูดของยอดฝีมือพลังภายในแล้ว เส้นชีพจรของเขาก็เหมือนกับสายน้ำที่ถูกโคลนทรายอุดขวางเอาไว้ หากคิดอยากจะทะลวงเส้นชีพจรเหล่านี้ทั้งหมด หยางหนิงไม่เพียงแต่จะต้องฝึกวิชากำลังภายใน อีกทั้งอย่างน้อยยังต้องฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเป็เวลาหลายปีถึงจะทำสำเร็จได้
ทว่าวันนี้เดิมเป้าหมายของมู่เซิ๋นจวินนั้นคือ้าให้หยางหนิงได้รับความทรมาน ทว่าเขากลับคิดไม่ถึงว่าพลังภายในของตนนั้นจะเหมือนถูกกระตุ้นอย่างแรงและพุ่งทะลวงเข้าไปหาสายน้ำที่อุดตันนั้นและให้ความช่วยเหลืออย่างใหญ่หลวงกับหยางหนิง
และหยางหนิงนั้นก็ได้ยืมแรงกำลังของพลังภายในที่พุ่งเข้าใส่ร่างกายตนนั้น ควบคุมมันไปยังเส้นทางที่ตน้า ก่อนจะช่วยทะลวงเส้นชีพจรเ่าั้ให้ไหลเวียนได้อย่างสะดวก
ถ้าหากบอกว่าแต่แรกนั้นพลังภายในก็เป็เหมือนแค่สายน้ำที่ค่อยๆ ไหลเข้าไปที่จุดถานจงที่ทรวงอกเขานั้น ยามนี้รอจนเส้นชีพจรถูกทะลวงให้เปิดออกหมดแล้ว ก็ไหลลื่นได้ไม่มีสะดุด พลังภายในก็พุ่งเข้ามาในร่างกายเขาเหมือนกับคลื่นมหาสมุทรลูกใหญ่
พลังภายในนั้นยิ่งไหลเข้ามาก็ยิ่งเพิ่มความเร็วมากขึ้น มู่เซิ๋นจวินเพียงแต่รู้สึกว่าพลังภายในของตนเป็ดุจเขื่อนน้ำที่ถูกเปิดออกให้ไหลไปที่ร่างกายของหยางหนิงอย่างต่อเนื่อง เขาตื่นตระหนกจนใบหน้าเปลี่ยนเป็สีขาวซีด หลายครั้งที่คิดอยากจะยกมือขึ้น ทว่ามือของตนกลับเหมือนได้หลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับไหล่ของหยางหนิงแล้ว ไม่สามารถดึงออกได้เลย แม้ว่าเขาจะมีประสบการณ์พบเห็นอะไรมามาก อีกทั้งยังศึกษาด้านวรยุทธ์มาไม่น้อย ทว่าสถานการณ์เบื้องหน้านี้เขากลับไม่เคยพบเห็นมาก่อน ชั่วขณะหนึ่งก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่
เขารู้ว่าหากเป็เช่นนี้ต่อไป พลังภายในของตนจะต้องสูญสิ้นแน่ แววตาก็แปรเปลี่ยนเป็แสงเยือกเย็นทันที แม้เขาจะไม่รู้เกิดเื่อันใดขึ้นกันแน่ ทว่าผู้ที่ก่อเหตุครั้งนี้จะต้องเป็หยางหนิงแน่ ขอเพียงสังหารหยางหนิงทิ้ง ทุกอย่างก็จะแก้ไขไปเอง จากนั้นเขาก็ร้องะโออกมาและปล่อยพลังภายในที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเข้าใส่ร่างกายของหยางหนิง
เวลานี้ต้องรักษาตัวเองให้ได้เสียก่อน และก็ไม่มีเวลามาสนใจท่าเดินเมื่อครู่ของหยางหนิงแล้ว ตามความคิดของเขาหากพลังภายในแข็งแกร่งเช่นนี้ถูกปล่อยเข้าไป ไม่ต้องพูดถึงว่าหยางหนิงเป็แค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ต่อให้เป็ยอดฝีมือที่มีพลังภายในสูงส่งก็จะต้องเส้นชีพจระเิจนจบชีวิตลงเป็แน่
ทว่าสิ่งที่เหนือกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้ก็คือเมื่อพลังภายในนี้ถูกส่งออกไป หยางหนิงไม่เพียงแต่ไม่ส่งเสียงร้องเ็ปใดๆ ออกมา อีกทั้งพลังเวทนี้กลับเหมือนก้อนหินที่ถูกโยนเข้าไปในมหาสมุทร สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เวลานี้หยางหนิงไม่เพียงแต่จะไม่ตาย อีกทั้งยังไม่ได้รู้สึกเ็ปใดๆ อีกด้วย
พลังภายในที่มู่เซิ๋นจวินส่งมานั้นก็ได้ถูกเขาเคลื่อนย้ายไปที่จุดถานจงเช่นกัน ระหว่างทางที่มันลากผ่านจุดชีพจรอื่นนั้นก็ยังคงให้ความรู้สึกเ็ปไม่น้อย ทว่าเมื่อพลังภายในจำนวนมากถูกส่งเข้าไปที่จุดถานจงแล้ว หยางหนิงก็รู้สึกว่าจุดถานจงของตนเกิดความปั่นป่วนอย่างหนัก ราวกับมีเพลิงไฟรุกไหม้อย่างรุนแรง ยิ่งพลังภายในถูกใส่เข้าไปมากเท่าใด ความรู้สึกร้อนระอุนั้นก็ยิ่งเด่นชัดมากขึ้น
ก็เหมือนกับคนที่ท้องว่างและหิวโหยเป็อย่างมาก เมื่อเห็นอาหารมื้อใหญ่อยู่เบื้องหน้า ตอนแรกที่กินเข้าไปนั้นก็รู้สึกปลาบปลื้มยินดี ทว่าเมื่อถึงตอนหลังที่เริ่มอิ่มแล้ว ทุกครั้งที่กินเพิ่มเข้าไปหนึ่งคำก็จะรู้สึกย่ำแย่มากขึ้นหนึ่งส่วน ไร้ซึ่งความรู้สึกสุขสบายแล้ว เวลานี้หยางหนิงก็มีความรู้สึกเช่นนี้ เขาได้แต่หวังว่ามู่เซิ๋นจวินจะรีบดึงมือกลับ ทว่ากลับไม่รู้ว่าเวลานี้ต่อให้มู่เซิ๋นจวินคิดอยากจะดึงมือกลับ เื่นี้ก็ไม่อยู่ในการควบคุมของตัวเขาแล้ว