เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องมาบนน้ำตก ทำให้แสงสีสันที่เกิดจากการกระทบระหว่างแสงอาทิตย์กับน้ำตกผ่านทะลุเข้ามาด้านในห้องหิน ภายในห้องหินมีแสงสว่างหลากสีสะท้อนระยิบระยับ ขณะที่สายตาของหยางหนิงได้ลากผ่านโครงกระดูกไปที่กำแพงหินเบื้องหน้าของตนแทนแล้ว
และสิ่งที่ทำให้หยางหนิงรู้สึกแปลกใจมากก็คือ กำแพงหินเบื้องหน้าของตนนั้นมันเงามาก ไม่ได้มีพื้นผิวขรุขระของหินูเา ทั่วทั้งผิวกำแพงหินนั้นเงาราวกับกระจก ไม่เพียงแต่เป็เช่นนี้ ขณะที่กำแพงหินอีกสองฝั่งที่เหลือก็เป็เช่นเดียวกัน
กำแพงผิวมันเงา ก็ไม่ถือว่าเป็เื่ที่น่าแปลกใจนัก เพียงแต่บนกำแพงหินทั้งสามด้านล้วนสลักภาพเอาไว้จำนวนมาก กระจัดกระจายแต่ไม่เละเทะ ก่อให้เกิดภาพกำแพงเป็กลุ่มๆ
ภาพบนกำแพงสามด้านนั้นเหมือนกำลังแสดงการร่ายรำชุดหนึ่ง รูปร่างของคนที่เหนือเอวขึ้นไปนั้นวาดอย่างคร่าวๆ เท่านั้น และก็ดูไม่ออกด้วยว่าหญิงหรือชาย แต่ว่าทางท่อนล่างนับั้แ่เอวนั้นกลับวาดได้อย่างละเอียดมาก เขาลองคำนวณดูคร่าวๆ แล้วว่าภาพวาดบนกำแพงสามด้านนั้นมีราวๆ สี่สิบถึงห้าสิบภาพ ทุกภาพล้วนแต่ถูกสลักด้วยฝีมือของมนุษย์
หยางหนิงเหลือบมองโครงกระดูกนั่นแวบหนึ่ง ก่อนจะคิดว่าหากตนคาดเดาไม่ผิดแล้วล่ะก็ ภาพวาดแกะสลักบนกำแพงหินนี้จะต้องเป็คนผู้นี้สลักไว้ยามมีชีวิตอยู่แน่ คิดว่าคนผู้นี้อยู่ในถ้ำอย่างเปล่าเปลี่ยว รู้สึกอ้างว้างยิ่งนักจึงใช้เวลาว่างมาสลักภาพบนกำแพงหินนี้กระมัง
ทว่าคนเมื่อเข้ามาในถ้ำแห่งนี้แล้ว ย่อมรู้ว่าจะออกจากที่นี่ได้อย่างไร ไม่ว่าจะเดินผ่านรอยแยกเส้นนั้นออกไปหรือว่าะโลงน้ำตกแห่งนี้ก็ล้วนสามารถออกจากที่คุมขังไปได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงยังอยู่ในที่แห่งนี้ต่อ?
ภาพวาดบนกำแพงนี้ไม่มีทางผ่านการสลักเพียงแค่่ระยะสั้นๆ แน่ คนผู้นี้ถึงขั้นแม้แต่ตายก็ยังจะอยู่ในถ้ำหินแห่งนี้ต่อ ไม่รู้จริงๆ ว่าสาเหตุมาจากอะไร
หยางหนิงนั้นไม่ได้สนใจในการร่ายรำ จึงเดินกลับมาที่ข้างโต๊ะหินนั่น เขามองเห็นว่าบนกล่องนั้นมีฝุ่นหนาๆ ปกคลุมอยู่้าแล้วชั้นหนึ่ง กระทั่งที่มุมขอบยังมีไยแมงมุมอย่างหนาพันเกี่ยวกันอีกด้วย จึงใช้แขนเสื้อของตนเช็ดเอาฝุ่นที่สะสมอยู่้านั้นออก ก่อนจะพบว่ากล่องใบนี้ทำมาจากทองเหลือง โดย้ามีการสลักเป็รูปสัญลักษณ์ดอกบัวดอกหนึ่งอยู่ สีของทั่วทั้งกล่องนั้นเป็สีทองเหลือง มีเพียงดอกบัวเท่านั้นที่เหมือนจะถูกทาด้วยสีดำ กลายเป็ดอกบัวสีดำดอกหนึ่ง
กล่องใบนี้ไม่มีแม่กุญแจผนึกเอาไว้ เมื่อหยางหนิงเปิดมันออกมากลับพบว่าด้านในมีหมึกกระดาษพู่กันจำนวนมากอยู่ด้านใน กองกระดาษหนานั้นเริ่มมีคราบเหลืองอยู่บ้างแล้ว
“ดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะเป็บุรุษสายบุ๋น” หยางหนิงคิดว่าในกล่องจะมีสมบัติอะไรเก็บไว้เสียอีก เมื่อเห็นว่าเป็เพียงแค่หมึกกระดาษพู่กันธรรมดาแล้วนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ก่อนจะปัดหาจุดสะอาดบนโต๊ะและเอาของแต่ละชิ้นในกล่องออกมาวางเรียงกัน นอกจากพู่กันสองแท่ง แท่นฝนหมึก หมึกแท่งไม่กี่แท่ง และกระดาษที่มีคราบเหลืองหนาๆ กองหนึ่งแล้วนั้น ด้านล่างของกล่องกลับมีมีดสั้นเล่มหนึ่งวางไว้อีกด้วย
หยางหนิงหยิบมีดสั้นขึ้นมา ปลอกมีดนั้นดูเก่าแก่และเรียบง่ายมาก ไม่ได้มีการประดับตกแต่งอะไรมากนัก เมื่อออกแรงดึงตัวดาบออกมาจากปลอกแล้ว แสงสว่างแวบผ่านทำให้แสบตามาก ก่อนจะนำมาซึ่งไอเย็นะเืที่พุ่งทะยานออกมาจากตัวดาบ
หยางหนิงอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านด้วยความเหน็บหนาว
มีดสั้นนี้ดูคล้ายกับกริซ ทว่ากลับยาวกว่ากริซธรรมดาอยู่คืบหนึ่ง เพียงแต่เมื่อมองดูคมดาบแล้ว กลับมีความคมแหลมยิ่งนัก
เขายื่มนิ้วหนึ่งออกไปทาบบนคมดาบ ก็รู้สึกราวกับทาบลงบนน้ำแข็งที่หนาวเย็นมากก็ไม่ปาน เหน็บหนาวจนเข้าถึงกระดูก จนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยว่า “เ้าของเล่นนี้พิสดารยิ่งนัก”
แน่นอนว่าเขาเคยใช้มีด ทว่ากลับไม่เคยรู้สึกถึงคมมีดที่มีความหนาวเย็นเช่นนี้มาก่อน
“หรือว่าภาพที่สลักบนกำแพงนี้จะเป็ฝีมือของมีดสั้นเล่มนี้?” หยางหนิงอดไม่ได้ที่จะคิดว่าคมดาบเล่มนี้กระจ่างใสไม่มีที่เปรียบ ไม่ว่าจะเป็ตัวมีดหรือคมมีดก็ล้วนแต่ไร้ซึ่งรอยขีดข่วน เขาจึงถือมีดสั้นนี้แล้วเดินไปข้างกำแพงหินก่อนจะหาจุดที่ว่างเปล่าและลากมีดลงบนนั้น จุดที่ลากผ่านก็ได้เกิดรอยลึกเส้นหนึ่งขึ้น รอยกรีดนี้เฉียบคมมาก อีกทั้งตัวมีดสั้นก็ไม่มีร่องรอยเสียหายเลยแม้แต่น้อย
“ถือเป็ของชั้นดีโดยแท้” ในใจของหยางหนิงก็รู้สึกยินดียิ่งนัก งานอดิเรกอย่างหนึ่งของเขาก็คือสะสมอาวุธประเภทมีด อีกทั้งเขายังค่อนข้างเอนเอียงความสนใจไปที่ประเภทมีดสั้น ชาติก่อนเขาก็ทำการสะสมกริซจำนวนไม่น้อยเช่นกัน
คนทั่วไปนั้นมองไม่ออกถึงประโยชน์และจุดเด่นของอาวุธประเภทมีด ทว่าผู้เชี่ยวชาญด้านนี้กลับรู้ว่ามันมีการแบ่งประเภทหลากหลายชนิดมาก
ไม่ว่าจะดูจากลักษณะหรือว่าความคมแหลมของมันแล้ว หยางหนิงก็มั่นใจได้เลยว่ามีดสั้นนี้จะต้องเป็อาวุธชั้นยอดที่หาได้ยากมาก หากมันอยู่ในโลกอนาคตแล้ว จะต้องมีราคาตลาดที่สูงค่ามากแน่
หยางหนิงเก็บดาบเข้าฝักก่อนจะเอามันยัดเข้าไปในอกเสื้อแล้วจึงค่อยเดินกลับไปนั่งที่ข้างโต๊ะ เขาพลิกดูกระดาษที่มีคราบเหลืองเ่าั้ กระดาษกว่าครึ่งนั้นมีตัวอักษรเขียนเอาไว้อยู่ แม้ว่าหยางหนิงจะไม่รอบรู้เื่ตัวอักษรโบราณ ทว่าเขาก็ดูออกว่าตัวอักษรของคนผู้นี้เขียนได้มีพลังอำนาจ พลิ้วไหวไร้ขอบเขต มีความสง่างามน่านับถือ มีพร์ทางด้านโคลงกลอนอยู่ไม่น้อย
อยู่ๆ ก็เหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่เขียนในลักษณะเหมือนจดหมาย เมื่อทำการพิจารณาดูอย่างละเอียดแล้วถึงจะพอวิเคราะห์สิ่งที่บนนั้นเขียนเอาไว้ได้ว่า “ใจมีความสงสัย ความสัมพันธ์กว่าครึ่งชีวิตที่ผ่าน ยากจะหาทางออกได้ ซ่อนตัวหลบหนีจากผู้คน ทว่าก็ยังคงเป็เช่นวันวาน” ก่อนจะเว้นไว้ท่อนหนึ่งแล้วเขียนด้านล่างต่ออีกว่า “กำจัดความขัดแย้ง ตัดต้นตอของตน เมื่อถึงยามที่ต้องพบกันใหม่ ฝีมือยังคงต่างกัน ยากใช้ประโยชน์ได้ ทว่าสามารถออกเดินทางอย่างเริงใจ และคนยากจะทำร้ายข้า!”
หยางหนิงอ่านจนงุนงง ไม่อาจทำความเข้าใจได้ และก็ไม่รู้ด้วยว่าเนื้อหาบนนี้มีความหมายอะไรกันแน่
เขานำหมึกพู่กันกระดาษเก็บกลับเข้าไปในกล่องทองเหลืองเช่นเดิม ก่อนจะหยิบเอาม้วนหนังสือภาพออกมาจากอกเสื้อและกางมันบนโต๊ะหิน พลางคิดในใจว่านี่เป็ม้วนหนังสือภาพที่มู่เซิ๋นจวินให้ความสำคัญมาก ดูเหมือนว่าพลังเทพหกประสานนี้จะไม่ธรรมดาเสียแล้ว
เขาจดจำหกภาพแรกของสิบเอ็ดภาพวาดได้แล้ว เวลานี้เมื่อไม่มีอะไรทำจึงเริ่มวิเคราะห์ภาพที่เจ็ดต่อ ได้แต่หวังว่าความฉลาดหลักแหลมของตนจะสามารถมองเห็นจุดน่าสงสัยอะไรได้
เวลานี้หยางหนิงกลับไม่มีความคิดที่จะรีบจากออกไปโดยเร็ว
เขาแน่ใจเป็อย่างมากว่าเพื่อม้วนหนังสือภาพนี้แล้ว มู่เซิ๋นจวินจะต้องไม่ยอมรามือแน่ เป็ไปได้อย่างมากว่าจะทำการเดินสำรวจดูบริเวณโดยรอบ หากตนออกไปเวลานี้ เมื่อพบเขาแล้วก็ต้องจบชีวิตลงเป็แน่
บางทีมู่เซิ๋นจวินอาจจะไม่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ แต่เขาจะต้องไม่มีทางล้มเลิกความคิดที่จะค้นหาม้วนหนังสือภาพนี้ไปง่ายๆ แน่ ไม่เห็นทางตันไม่ยอมเลิกรา เป็ไปไม่ได้ว่าเห็นตัวเขาตกเขาแล้วจะยอมรามือไปได้ง่ายๆ
หยางหนิงรู้ดีว่าความหวังที่จะตามขบวนคุ้มกันและหาเสี่ยวเตี๋ยพบนั้นได้ห่างไกลออกไปมากแล้ว ทว่าตอนนี้ชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตราย ได้แต่ต้องรักษาตัวเองให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่
หากตนพุ่งออกไปโดยพลการแล้วพบกับมู่เซิ๋นจวินเข้าจริงๆ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะช่วยเสี่ยวเตี๋ย แค่ชีวิตนี้ของเขาก็คงต้องบอกอำลาแล้ว ขอเพียงตนมีชีวิตอยู่ต่อเท่านั้นถึงจะสามารถมีโอกาสไปตามหาเสี่ยวเตี๋ยและช่วยนางออกมาจากภัยอันตรายได้
ห้าภาพที่เหลือนั้น หยางหนิงใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งวันก็สามารถจำแนกจุดชีพจรที่เส้นสีแดงลากผ่านได้หมด เพียงแต่เมื่อดูภาพที่สิบเอ็ดเสร็จแล้วนั้น หยางหนิงกลับดูไม่ออกว่ามันมีความเทพที่ตรงใด ทว่าทิศทางที่เส้นสีแดงลากผ่านจุดชีพจรนั้นกลับพอจะจำได้คร่าวๆ แล้ว
เมื่อผ่านเวลากลางวันแล้ว ท้องของเขาก็รู้สึกหิวโหยยิ่งนัก หยางหนิงกวาดตามองดูรอบห้องหิน กลับไม่พบเจออาหารแม้แต่อย่างเดียว ในใจก็รู้สึกประหลาดใจยิ่งนักว่าก่อนหน้านี้โครงกระดูกผู้นั้นใช้ชีวิตอยู่ได้เช่นไร? หรือว่าคนผู้นั้นหิวตายอยู่ในห้องหินแห่งนี้?
เขาได้แต่เอาน้ำของน้ำตกขึ้นมาดื่มก่อน น้ำก็ได้เติมกระเพาะไปครึ่งหนึ่งแล้ว ยังดีที่น้ำนี้มีรสชาติหวานช่ำ ช่วยระงับอาการหิวได้ชั่วคราว
จากนั้นเขาก็เดินรอบห้องหินไปรอบหนึ่ง มองดูภาพสลักแต่ละรูป เมื่อเดินครบรอบหนึ่งแล้ว อยู่ๆ เขาก็พบว่าภาพแรกที่กำแพงทางด้านซ้ายนั้นเหมือนกับภาพสุดท้ายของกำแพงด้านขวาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน โดยภาพแรกของฝั่งซ้ายนั้นดูคล้ายกับเป็ท่าเริ่มต้นของการร่ายรำ และภาพสุดท้ายนั้นเหมือนกลับไปที่จุดเริ่มต้นเดิม
เมื่อดูรูปสลักภาพสุดท้ายแล้ว หยางหนิงถึงจะเห็นว่าตรงมุมนั้นกลับมีสลักตัวอักษรไว้หลายบรรทัด เมื่อสังเกตดูให้ละเอียดก็เหมือนว่าจะเป็บทกลอนบทหนึ่ง เขียนว่า “ทะเลทรายกว้างไกลนับหมื่นลี้ สายลมวันนี้พัดผ่านป่า สุดขั้วขอบเขตแห่งจักรวาล มีเพียงข้านี้เดินทางอย่างเริงใจ”
“มีเพียงข้านี้เดินทางอย่างเริงใจ?” หยางหนิงอ่านออกมาเบาๆ ประโยคหนึ่ง ก่อนจะคิดถึงเนื้อหาที่แสนประหลาดเมื่อครู่บนกระดาษขึ้นมาได้ พลางคิดในใจว่าหรือภาพแกสะสลักนี้จะเกี่ยวข้องกับเนื้อหาท่อนนั้น?
หรือว่าท่าระบำนี้ จะมีชื่อว่าเดินทางอย่างเริงใจ?
ที่แห่งนี้เองก็ไม่มีอย่างอื่นแล้วจริงๆ หยางหนิงอดไม่ได้ที่จะทำท่าขยับตามภาพสลักรูปแรก จากนั้นก็ค่อยขยับเท้าไปตามภาพที่สอง เมื่อดูไปถึงภาพที่เจ็ดที่แปดแล้ว ก็พบว่าการขยับตัวของท่าร่ายรำนี้ประหลาดมาก ดูจากรูปแล้วท่วงท่านั้นชัดเจนมาก ทว่าตอนขยับจริงๆ กับพบเจอถึงความผิดปกติ ตัวอย่างเช่นการก้าวเท้าของภาพหนึ่งนั้นเมื่อเปลี่ยนเป็อีกภาพหนึ่งกลับต้องหมุนตัวมากกว่าครึ่งวงกลมเสียอีก
เขามองภาพสลักไปพลางทำท่าตาม ท่วงท่าที่เชื่อมโยงกันยิ่งไปถึงด้านหลังก็ยิ่งดูพิสดาร บ้างก็เดินหน้าบ้างก็ก้าวเอียงถอยไปด้านหลัง บางก็เอียงขยับไปทางซ้าย บ้างก็หมุนตัวเอียงไปทางด้านขวา มองดูแค่ภาพบนพนังนั้นอาจไม่รู้สึกอะไรมาก ทว่าเมื่อลงมือทำเองแล้วกลับรู้ได้ว่าความยากของมันมีไม่น้อยเลย
หยางหนิงค่อยๆ ขยับก้าวไปทีละก้าว ทว่าท่วงท่าของเขานั้นเกร็งแข็งมาก แตกต่างจากความรู้สึกพลิ้วไหวไร้กังวลที่ภาพนั้นแสดงออกมาเป็อย่างมาก ทำให้ในใจอดไม่ได้ที่จะคิดว่าผู้แกะสลักคิดอยากจะออมแรงจึงลดทอนไปหลายขั้นตอนหรือไม่?
เมื่อเดินตามภาพแกะสลักไปได้สิบกว่าก้าวแล้วนั้น หยางหนิงก็เริ่มรู้สึกร้อนใจ นี่ไม่ใช่เพราะว่าเขามีความอดทนต่ำ แต่เพราะว่าทุกย่างก้าวนั้นดูประหลาดมาก แม้แต่ตัวเขายังรู้สึกว่าท่วงท่าดูอัปลักษณ์มาก เดินแล้วไม่มีความรู้สึกเหมือนพลิ้วไหวไร้กังวล นี่เป็การทำลายความมั่นใจในตัวเองของหยางหนิงเป็อย่างมาก เขาจึงยอมแพ้ไม่ฝึกฝนต่อและนอนหลับลงบนพื้นแทน
เพียงแต่เมื่อนอนราบลงไปแล้ว สมองกลับไม่อาจสุขสงบได้ สักพักก็นึกถึงจุดชีพจรต่างๆ บนม้วนภาพวาด สักพักก็นึกถึงท่วงท่าที่ตนก้าวเดินเมื่อครู่นี้ ก่อนจะคิดว่าต้องทำเช่นใดตนถึงจะสามารถเดินได้พลิ้วไหวเหมือนภาพบนกำแพงได้
เมื่อนอนลงไปได้ไม่นาน เขาก็ปีนขึ้นมาฝึกซ้อมอีกครั้ง เมื่อซ้อมได้ระยะหนึ่งก็เริ่มรู้สึกหมดหวัง จึงหยุดการกระทำของตนไม่สนใจมันอีก ทว่าเมื่อผ่านไปอีกสักระยะหนึ่ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะทำการฝึกซ้อมต่อ ระบำนี้เหมือนว่ามีเสน่ห์บางอย่าง ท่วงท่าแม้จะดูประหลาด ทว่าเหมือนมีแรงดึงดูดที่ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะคิดอยากทำการฝึกซ้อม
ความจริงแม้ว่าภาพบนกำแพงนี้จะมีราวห้าสิบภาพ ทว่าสรุปโดยรวมแล้วก็มีท่วงท่าแค่สี่สิบถึงห้าสิบก้าวเท่านั้น เพียงแต่สี่สิบถึงห้าสิบก้าวนี้พิสดารมาก เมื่อเอามาเดินเรียงกัน ก็บิดไปบิดมา ทำให้ทั่วร่างของหยางหนิงอาบท่วมไปด้วยเหงื่อ
ต่อจากนี้อีกสองวัน หยางหนิงก็ทำการฝึกซ้อมท่วงท่าบนภาพนี้ไม่หยุด ก้าวเดินไปมาั้แ่ต้นจนจบนับครั้งไม่ถ้วน เขาจำวิธีการก้าวเดินได้อย่างแม่นยำแล้ว เพียงแต่ยังไม่อาจเดินให้ความรู้สึกพลิ้วไหวเช่นนั้นได้ ทว่ายังคงดีกว่าท่าทางเกร็งแข็งที่มีในตอนแรก สองวันมานี้เขาก็คุ้นชินกับมันไม่น้อยแล้ว
รอจนถึงวันที่สามยามโพล้เพล้ หยางหนิงก็รู้สึกหิวจนทนต่อไปไม่ไหวแล้ว หลายวันมานี้เขาเอาน้ำของน้ำตกมาดับความหิวเท่านั้น ทว่าอย่างไรเสียมันก็ไม่ใช่อาหารที่ช่วยเพิ่มพลังงานได้ ร่างกายก็รู้สึกอ่อนแรง บวกกับหลายวันมานี้ทำการฝึกซ้อมเดินทางอย่างเริงใจ เหนื่อยกายยิ่งนัก เวลาเช่นนี้เขาก็หิวจนรู้สึกตาหูลายไปหมดแล้ว เขารู้ว่าหากตนยังอยู่ที่แห่งนี้ต่อไป เกรงว่าคงจะต้องหิวตายในที่นี่แน่
พลางคิดว่านี่ก็เป็เวลาสามวันแล้ว ต่อให้มู่เซิ๋นจวินจะมีความอดทนมากมายเพียงใด ก็น่าจะเดินทางจากไปแล้ว เวลาเช่นนี้หากตนออกไปคงไม่เป็อันตรายอะไรมากนัก
ทางออกนั้นมีอยู่สองทาง ทางหนึ่งคือเดินออกไปตามรอยแยกนั้นและเมื่อไปถึงกำแพงของหน้าผาก็ใช้เถาวัลย์ช่วยปีนขึ้นไป้า อีกทางหนึ่งก็รวบรัดมาก นั่นก็คือะโลงไปจากน้ำตกนี้
ความสูงประมาณสิบกว่าเมตรนี้ แน่นอนว่าเป็อันตรายมาก หยางหนิงรู้ว่าหากะโลงไปด้วยความสูงเช่นนี้ แรงกระแทกจะต้องรุนแรงมาก หากผิดพลาดอะไรไป กระดูกทั่วร่างการอาจจะต้องหักจนถึงแก่ชีวิตก็เป็ไปได้
ทว่าหากออกไปทางรอยแยก ก็ได้แต่กลับไปที่ยอดหน้าผา ที่แห่งนั้นอย่างไรเสียก็ไม่ปลอดภัย
หยางหนิงชะเง้อคอไปมองใต้เหวด้านล่างปากถ้ำ ตรงนั้นค่อนข้างขรุขระ สามารถทำการปีนลงไปตามกำแพงเหวได้ และต่อให้มือลื่นร่วงลงไป อย่างไรเสียด้านล่างก็เป็บ่อน้ำ ยังไม่ถึงแก่ความตาย
เมื่อคิดได้แล้วเขาก็ลงมือทำเลย หยางหนิงไม่ได้ลังเลอีกต่อไป ก่อนจะค่อยๆ ปีนลงจากทางปากถ้ำ ก่อนจะคิดได้ว่าในอกเสื้อของตนยังมีมีดเย็นที่คมแหลมไร้ที่ติอยู่ จึงหยิบมันออกมาและแทงลงบนกำแพงเหว ปลายมีดแทงลงบนกำแพงราวกับแทงโคลน แทงลึกเข้าไปได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้หยางหนิงถึงเริ่มค่อยๆ ขยับลงไปทางด้านล่าง และยืมแรงของมีดค่อยๆ ปีนลงไปอย่างต่อเนื่อง
รอจนเขาดึงมีดออกมาอีกครั้งและเตรียมจะแทงลงไปใหม่นั้น อยู่ๆ เท้าก็ลื่นและตัวเขาก็ได้ดิ่งลงไปทางด้านล่างทันที หยางหนิงรีบกางมือออกอย่างรวดเร็ว เสียง “ตู๊ม” ดังขึ้นก่อนที่ขาทั้งสองข้างของเขาจะตกลงไปก่อน แล้วร่างกายทั้งร่างจึงค่อยจมดิ่งลงไปในบ่อน้ำ วินาทีที่ตกน้ำนั้น ร่างกายก็รู้สึกสั่นสะท้านอย่างรุนแรง อวัยวะภายในทั่วร่างปั่นป่วน มึนหัวตาลายไปหมด
บ่อน้ำนั้นลึกมาก ในขณะที่หยางหนิงค่อยๆ ทรงตัวในน้ำได้แล้วนั้น เขาก็ขยับแขนขาและออกตัวว่ายน้ำไปสักพักหนึ่ง ก่อนจะโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาได้ เมื่อเหลือบเห็นชายฝั่งก็รีบแหวกว่ายและปีนขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็ว ทั่วทั้งร่างนั้นเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ แรงกระแทกอย่างรุนแรงเมื่อครู่นี้ยังคงทำให้ร่างกายเขารู้สึกเ็ป ทว่ากลับไม่ได้รับาเ็อะไร ยิ่งไม่มีอันตรายถึงชีวิต
เมื่อกวาดตามองบริเวณรอบๆ แล้วถึงพบว่าที่แท้ที่แห่งนี้ถือเป็แหล่งราบเรียบของูเาแล้ว ทุ่งหญ้ารายล้อม บริเวณโดยรอบล้วนมองเห็นเทือกเขาสูงสะท้านฟ้ารายเรียงติดกัน
เพราะกระเพาะรู้สึกหิวโหยมาก เวลานี้เขาจึงคิดแต่จะตามหาผลไม้ป่าดับความหิว ก่อนจะมองเห็นว่าทางด้านหน้าไม่ไกลออกไปนักเป็ป่า จึงรีบเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปด้านใน ท้องฟ้าเริ่มมืดสลัวแล้ว เมื่อตามหาได้ระยะหนึ่งเขาก็เห็นต้นไม้ที่มีผลอยู่หลายต้น จึงไม่มีเวลามาสนใจสิ่งอื่นและรีบเด็ดผลไม้มากินดับกระหายใต้ตนไม้ทันที
เมื่อกินไปได้หกเจ็ดลูกแล้ว ความรู้สึกหิวโหยถึงจะค่อยๆ ดีขึ้น จากนั้นหยางหนิงก็ลุกขึ้นยืนและบิดไปมายืดเส้นยืดสาย และในเวลานี้เองที่เขาได้ยินเสียงดังมาจากข้างกายของตน เมื่อหันหน้าไปมองกลับพบว่ามีแววตาที่ดูแหลมคมดุจมีดกำลังจับจ้องมาที่ตน เงาของร่างนั้นอยู่ห่างจากข้างกายเขาไปเพียงไม่กี่ก้าว ท่าทางราวกับสัตว์ล่าเนื้อที่มองเห็นเหยื่อของตน
คนที่ปรากฏตัวขึ้นนั้นก็คือมู่เซิ๋นจวิน!