ชายชราผู้นี้เป็โรคเพ้อละเมอคิดว่าตนจะถูกผู้อื่นให้ร้ายใช่หรือไม่?
หยางหนิงเอ่ยออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “เลิกพูดมากเสียที ชายชั่วอย่างเ้าทำให้ข้าได้รับาเ็ ตอนนี้ยังคิดจะสังหารข้า บัญชีนี้พวกเราควรคิดอย่างไรดี?” พลางทำการป้องกันผู้าุโมู่ที่อาจลงมือได้ทุกเมื่อ
ดวงตาของผู้าุโมู่จ้องค้างไปที่ม้วนหนังสือภาพในมือของหยางหนิง เขาเงียบไปชั่วขณะก่อนจะค่อยเอ่ยออกมาว่า “เ้ามอบม้วนหนังสือภาพคืนมา ข้าจะช่วยรักษาอาการาเ็ของเ้า อีกทั้งยังจะปล่อยเ้าจากไปด้วย ข้าเป็คนพูดจริงทำจริง ไม่มีทางหลอกเ้าโดยเด็ดขาด”
ผีเท่านั้นสิถึงจะเชื่อคนอย่างเ้า
“ผู้าุโมู่ ม้วนหนังสือภาพนี้เกรงว่าท่านคงจำได้ขึ้นใจแล้ว เช่นนั้นยังจะเอามันไปทำอันใดอีก?” หยางหนิงเอ่ย “หรือว่าท่านยังไม่ได้เข้าใจลึกซึ้งถึงม้วนหนังสือภาพเล่มนี้?”
“เ้าหมายความว่าอย่างไร?” น้ำเสียงของผู้าุโมู่เยือกเย็นขึ้น
หยางหนิงยิ้มเย็นออกมาพร้อมเอ่ยตอบ “หากข้าทายไม่ผิด ที่อยู่ๆ ท่านก็มีอาการคลุ้มคลั่งในถ้ำนั้นจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับม้วนหนังสือภาพนี้แน่” ก่อนจะกรอกตาไปมา “หรือว่าท่านฝึกฝนพลังเทพหกประสานจนธาตุไฟเข้าแทรก คิดอยากจะหาวิธีไขพลังยุทธ์อีกประเภทหนึ่งจากม้วนหนังสือภาพนี้?”
เขาเองก็แค่เอ่ยออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร ใครจะรู้ว่าอยู่ๆ ผู้าุโมู่ก็จะเกิดอารมณ์แปรปรวน และเอ่ยถามเสียงหลงว่า “เ้า...เ้ารู้ได้อย่างไร?” เมื่อคำพูดเอ่ยออกไป เขาก็รู้แล้วว่าตัวเองพลั้งปาก จึงรีบยิ้มและเอ่ยต่อ “ข้าจะธาตุไฟเข้าแทรกได้อย่างไร เ้าพูดเพ้อเจ้ออะไรกัน”
หยางหนิงแน่ใจแล้วว่าตนคาดเดาไม่ผิด เมื่อเป็เช่นนี้ ดูเหมือนว่าม้วนหนังสือภาพนี้จะมีความสำคัญต่อผู้าุโมู่เป็อย่างมาก ในใจก็ยิ่งมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น พลางยกมือขึ้นลูบคางของตัวเองเบาๆ “ข้าพูดจาเพ้อเจ้อหรือไม่นั้น ในใจของท่านรับรู้เป็อย่างดี จริงสิ ก่อนหน้านี้ที่ท่านไม่สามารถก้าวเดินได้ คงไม่ใช่เพราะว่าถูกพิษแต่เป็เพราะท่านธาตุไฟเข้าแทรกสินะ?”
ผู้าุโมู่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ยตอบ “เสี่ยวป๋ายทู่ เ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็ใคร?”
“ไม่รู้”
ผู้าุโมู่ยิ้มเย็นพร้อมเอ่ยต่อ “เ้าเคยได้ยินหอเก้านภาหรือไม่?”
“หอเก้านภา?” หยางหนิงขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น “นั่นคืออะไร?”
ผู้าุโมู่เริ่มมีโทสะ ทว่าก็ยังคงสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเองไว้และเอ่ยต่อ “เ้าไม่เคยได้ยินก็ไม่ใช่เื่แปลก ข้าจะบอกเ้าให้ หอเก้านภานั้นถือเป็หออันดับหนึ่งของเป่ยฮั่น รับคำสั่งโดยตรงจากฮ่องเต้ของเป่ยฮั่น รองรับผู้มีความสามารถ มียอดฝีมือนับไม่ถ้วน ข้าเป็หนึ่งในเทพห้าธาตุของหอเก้านภา มู่เซิ๋นจวิน!”
“มู่เซิ๋นจวิน?” หยางหนิงยิ้ม “ชื่อนี้ดูสง่างามกว่าผู้าุโมู่ไม่น้อยเลย จริงสิ เทพ...มู่เซิ๋นจวิน ท่านเป็คนเป่ยฮั่น เช่นนั้นเดินทางมาที่หนานฉู่นี้เพื่ออะไร?”
ผู้าุโมู่ไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับเอ่ยต่อเสียงเ็า “ขอเพียงเ้ามอบม้วนหนังสือภาพคืนมา ข้าไม่เพียงแต่จะปล่อยเ้า ยังจะรับเ้าเป็ศิษย์ด้วย ให้เ้าได้เข้าร่วมหอเก้านภา คนของหอเก้านภา ล้วนแต่กินเบี้ยหลวง ไม่เพียงแต่ไม่ต้องกังวลเื่ของกินของใช้ วันหน้าหากทำคุณความดียังสามารถเข้าราชสำนักไปรับราชการ นำชื่อเสียงมาให้แก่วงตระกูลด้วย” พร้อมส่งเสียงหัวเราะออกมา “เสี่ยวป๋ายทู่ ข้าให้โอกาสเช่นนี้กับเ้า เ้ายินยอมที่จะติดตามข้าหรือไม่?”
หยางหนิงรู้ดีอยู่แก่ใจว่าผู้าุโมู่กำลังเอาผลประโยชน์มายั่วตน พลางลอบคิดในใจว่าชายแก่นี้เห็นตนเป็เด็กจริงๆ ด้วย เวลานี้จึงได้แต่หวังว่าม้วนหนังสือภาพนี้จะแลกกับการที่อีกฝ่ายรักษาาแให้ตนได้ จากนั้นตนก็จะสามารถหลบพ้นจากฝ่ามือมารของชายแก่ผู้นี้ไปได้อย่างปลอดภัย ขณะกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ผู้าุโมู่กลับก้าวเท้ามาด้านหน้าก้าวหนึ่งและเอ่ยต่อเสียงต่ำ “เ้ากำลังลังเลอะไรอยู่?”
หยางหนิงรีบก้าวเท้าเล็กๆ ถอยไปด้านหลังทันที และเอ่ยตอบว่า “ท่านจะเอาม้วนหนังสือภาพไปนั้นก็ย่อมได้ เพียงแต่...!” ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยจน ก็รู้สึกว่าฝ่าเท้าตนขยับเล็กน้อย ขณะที่หินก้อนนั้นที่เหยียบอยู่ก็ได้คลายตัวออกจากดิน ตัวของเขาเอนล้มลงไปทางด้านหลัง หยางหนิงเกิดอาการตกตะลึงอย่างหนักก่อนจะเหลือบไปเห็นว่าผู้าุโมู่นั้นได้ก้าวเท้ายาวๆ และออกแรงที่เท้าโดยคิดหวังจะถีบตัวเองให้ไปด้านหน้าได้สะดวกขึ้น ทว่าทีแรกที่ไม่ใช้แรงนั้นยังพอทน เมื่อใช้แรง ก้อนหินที่ปลายหน้าผาก็ขยับเอนไปทางเหวลึก โดยที่ตัวของเขาเองก็เอนหลังตกลงไปตามก้อนหินก้อนนั้นด้วย
หยางหนิงคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้านั้นจะไม่แข็งแรงถึงเพียงนี้ ร่างกายของเขาดิ่งลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว เวลานี้ได้แต่หวังว่าจะสามารถจับอะไรเอาไว้และรักษาชีวิตต่อได้ ทว่ามือซ้ายกลับถือม้วนหนังสือภาพเอาไว้อยู่ ขณะที่มือขวาจับของสิ่งหนึ่งเอาไว้ได้ เหมือนกับว่ามันเป็เถาวัลย์ซึ่งถือว่าเป็เส้นฟางเส้นสุดท้ายของชีวิต แน่นอนว่าหยางหนิงไม่กล้าปล่อยมือออกจากมัน
ร่างกายยังคงดิ่งลงด้านล่าง ขณะที่ข้างหูมีเสียงลมกระแทกอย่างต่อเนื่อง มือที่กำเถาวัลย์เอาไว้กลับถูกมันทิ่มแทงจนเ็ปอย่างสุดจะทนได้
เหวลึกใต้หน้าผานั้นดูเหมือนจะไม่ได้เป็กำแพงเรียบลงไป แต่กลับมีเนินโค้งอยู่เล็กน้อย ราวกับว่ามันคดเคี้ยวไปตามสภาพของูเา ไม่ง่ายเลยกว่าความเร็วในการร่วงหล่นจะลดน้อยลง หยางหนิงใช้แรงสุดกำลังของตนในการกำเถาวัลย์มือขวาเอาไว้แน่น ในที่สุดร่างกายของเขาก็ห้อยลอยอยู่กลางอากาศแล้ว
หยางหนิงหอบหายใจอย่างหนัก ปลายเท้าก็พยายามตะเกียดตะกายไปใส่กำแพง ในที่สุดก็สามารถเหยียบโดนโขดหินข้างกำแพงได้ เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างโล่งอก เมื่อลมราตรีพัดผ่าน ทั่วร่างของเขาก็รู้สึกถึงความหนาวเย็นที่พุ่งกระทบเข้ามา ที่แท้ตอนนี้ทั้งร่างกายของเขาได้อาบชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นแล้ว
เหมือนจะได้ยินเสียงร้องเบาๆ ของมู่เซิ๋นจวินดังมาจาก้า เหมือนมีเหมือนไม่มี หยางหนิงแหงนหน้ามองขึ้นไปกลับเห็นเพียงแต่ดวงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้าราตรีเท่านั้น ชั่วขณะหนึ่งเขากลับมองไม่เห็นยอดหน้าผาที่ตนตกลงมา เมื่อก้มลงมองไปด้านล่าง ด้านล่างเองก็มืดสนิทมองไม่เห็นสิ่งใด ในใจตอนนี้ก็รู้แล้วว่าตนอยู่ในสถานการณ์ที่ขึ้นไม่ได้ลงไม่ถูก ทว่าข้างกำแพงเหวนั้นกลับมีเถาวัลย์ไหลพันเต็มไปหมด แต่ละเส้นล้วนพุ่งลงไปยังเหวด้านล่าง ยังดีที่มีเถาวัลย์เหล่านี้ มิเช่นนั้นตัวเขาคงมีแต่ต้องตายเท่านั้น
เขานำม้วนหนังสือภาพในมือยัดเข้าไปในอกเสื้อ ก่อนที่มือสองข้างจะจับเถาวัลย์เอาไว้แน่น เมื่อออกแรงแค่เพียงเล็กน้อย ก่อนจะรู้สึกเ็ปเป็อย่างมากที่ฝ่ามือด้านขวาของตน เมื่อพลิกขึ้นมามองก็พบว่ามือด้านขวาของตนได้เป็แผลถลอก เืไหลซึมออกมาไม่หยุดแล้ว ขณะที่ตอนนี้ทั่วทั้งร่างของเขาเองก็รู้สึกปวดตัวเมื่อยล้าเป็อย่างมาก อีกทั้งร่างกายยังถูกขีดข่วนจนมีแผลเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน
หยางหนิงส่ายศีรษะพร้อมยิ้มออกมาอย่างขมขื่น เดิมคิดว่าหากเดินผ่านเทือกเขาหัววัวแล้วจะเป็ถนนทางลัดให้ไปต่อได้เร็วขึ้น วันนี้กลับพบว่าไม่เพียงแต่จะไม่เป็ทางลัด อีกทั้งยังเกือบเป็เส้นทางจบชีวิตของตนด้วย
ร่างกายของเขาแนบเข้ากับกำแพงถ้ำ ชั่วขณะหนึ่งนี้ไม่ถือว่ามีอันตรายถึงชีวิตแล้ว ขณะที่้ายังมีเสียงของผู้าุโมู่ดังมาเป็ครั้งคราว ซึ่งแน่นอนว่าหยางหนิงไม่มีทางขานรับกลับไป
ปีศาจเฒ่าผู้นั้นแน่นอนว่าไม่ได้เป็กังวลถึงความเป็ตายของตน เขาเพียงแต่เป็ห่วงม้วนหนังสือภาพพลังเทพหกประสานเท่านั้น
ทว่าอารมณ์ในตอนนี้ของผู้าุโมู่จะต้องสิ้นหวังอย่างถึงที่สุดแน่ ม้วนหนังสือภาพได้ตกลงมาพร้อมกับเขาแล้ว ชายแก่นั้นเกรงว่าคงจะมีแม้แต่ใจที่คิดอยากจะตายแล้วกระมัง
ผ่านไปเนิ่นนาน เสียงของผู้าุโมู่ก็ไม่ได้ดังขึ้นอีกแล้ว หยางหนิงดึงเถาวัลย์เส้นหนึ่งแรงๆ เมื่อแน่ใจว่ามันแข็งแรงทนทานแล้ว เขาถึงจะค่อยอดทนต่อแรงเจ็บบนฝ่ามือตนและทำการปีนขึ้นไป้า
การปีนเขานั้นก็ถือว่าเป็หนึ่งในวิชาที่เขาเคยต้องฝึกฝนมาก่อน เพราะฉะนั้นหยางหนิงจึงค่อนข้างคุ้นชินกับมัน
เวลานี้เขากลับไม่คิดอยากจะรีบปีนขึ้นไปให้ถึงยอดหน้าผา เพียงแต่อยากจะลองดูว่าตนสามารถปีนขึ้นไปได้หรือไม่ แม้ว่าจะไม่มีเสียงของมู่เซิ๋นจวินแล้ว ทว่าหยางหนิงไม่เชื่อโดยเด็ดขาดว่าเขาจะยอมจากไปง่ายดายถึงเพียงนี้ เป็ไปได้อย่างมากว่าเขากำลังเฝ้ารออยู่บนยอดหน้าผา
เมื่อปีนไปได้ระยะหนึ่ง ฝ่ามือของเขาก็รู้สึกเ็ปจนยากจะทน จึงได้แต่ต้องหยุดพักก่อน ทันใดนั้นเขากลับรู้สึกว่าด้านหลังเถาวัลย์นั้นค่อนข้างแปลกประหลาดอยู่บ้าง จึงออกแรงแหวกพวกเถาวัลย์ที่กรอบแห้งเ่าั้ ก่อนจะพบว่าด้านหลังเถาวัลย์เหล่านี้กลับมีรอยแยกอยู่รอยหนึ่ง นี่ถือเป็รอยแยกโดยธรรมชาติของกำแพงเขา เมื่อถูกเถาวัลย์ปิดทับเอาไว้ด้านหลังแล้ว หากไม่สังเกตดูให้ดีก็ยากที่จะพบเห็นได้จริงๆ
รอยแยกนั้นไม่ได้ใหญ่มาก ทว่าเพียงพอให้คนผู้หนึ่งรอดผ่านเข้าไปได้
การห้อยตัวอยู่บนกำแพงเขาเช่นนี้แน่นอนว่าเป็เื่ที่อันตรายมาก หยางหนิงจึงไม่มีแม้แต่ความลังเล เขารีบโยกตัวไปด้านข้างโดยใช้แรงเหวี่ยงจากเถาวัลย์ที่ห้อยอยู่ เมื่อเข้าใกล้รอยแยกแล้ว เขาก็รีบจับก้อนหินที่มีรอยแตกตรงมุมพอดี จากนั้นก็รีบะโเข้าไปด้านใน
เดิมเขาคิดว่ารอยแยกข้างกำแพงเขานี้เป็เพียงแค่รอยแยกธรรมดา ทว่าเมื่อะโเข้ามาแล้วกลับพบว่ารอยแยกนี้มีความลึกเป็อย่างมาก ส่วนลึกของเขาลูกนี้ ด้านหน้ามืดสนิทไร้แสงสว่าง เขาเองก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วมันมีความลึกมากเพียงใด
หยางหนิงก้มตัวลงไปเก็บก้อนหินก้อนหนึ่งมากำไว้ในมือ ก่อนจะค่อยๆ ย่องเดินเข้าไปด้านใน เมื่อเดินไปได้สิบกว่าก้าว บริเวณโดยรอบก็ยังคงมืดสนิท มองไม่เห็นสิ่งใด มือหนึ่งของเขากำก้อนหินเอาไว้ ขณะที่อีกมือหนึ่งก็เอื้อมออกไปด้านหน้าเพื่อคลำทาง ทว่ายิ่งเดินก็ยิ่งลึกเข้าไปมากขึ้น อีกทั้งรอยแยกนี้ก็ยิ่งเดินก็ยิ่งแคบด้วย
เดิมหยางหนิงคิดว่าไม่นานก็จะถึงขอบสุดแล้ว กลับไม่รู้ว่าเดินมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว รอยแยกนี้กลับเหมือนไม่มีปลายทาง มีเพียงการคดเคี้ยวไปมา อีกทั้งเส้นทางยังค่อยๆ เอียงลงไปด้านล่างอีกด้วย
เมื่อเดินไปได้เกือบครึ่งชั่วยาม ทางเดินที่เดิมแคบเหมือนไส้แพะก็กว้างขึ้นมากะทันหัน จากนั้นก็เหมือนจะได้ยินเสียงน้ำไหลดังมาจากทางด้านหน้า
หยางหนิงเร่งฝีเท้าของตน ผ่านไปไม่นานนัก อยู่ๆ ก็เห็นว่าด้านหน้ามีแสงสว่างลอดเข้ามาเล็กน้อย หยางหนิงก็เกิดอาการตกตะลึงเป็อย่างมาก เขารีบออกตัววิ่งไปด้านหน้า ไม่นานก็เห็นว่าด้านหน้านั้นมีปากถ้ำที่ขนาดใหญ่กว่าทางเดินนี้ หยางหนิงเร่งฝีเท้าก้าวไปด้านใน แม้ว่าด้านในจะค่อนข้างมืด ทว่ากลับไม่ได้มืดสนิทเหมือนเช่นก่อนหน้านี้แล้ว
ที่แห่งนี้เป็ถ้ำหินที่มีขนาดค่อนข้างกว้าง มีกำแพงสามฝั่ง โดยหนึ่งในฝั่งนั้นเปิดออกให้เห็นน้ำตกที่อยู่ด้านนอกที่กำลังรินไหลลงมาด้านล่าง บดบังทัศนียภาพด้านนอกเอาไว้
ตอนนี้หยางหนิงถึงจะรู้ว่า เสียงน้ำไหลที่ตนได้ยินเมื่อครู่นี้ก็คือสายน้ำที่ไหลมาจากน้ำตกเบื้องหน้านี้
แสงสว่างนั้นก็ได้ส่องผ่านม่านน้ำตกเข้ามาด้านใน เวลานี้จึงสามารถมองเห็นว่าด้านนอกนั้นค่อยๆ สว่างขึ้นแล้ว
หยางหนิงถึงจะถอนหายใจยาวๆ ออกมาอย่างโล่งอก ทว่ากลับไม่ได้คิดว่าที่แห่งนี้คือสถานที่ใด เวลานี้เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยจนหมดเรี่ยวแรงแล้ว ก้าวเดินไปอยู่ด้านข้างน้ำตกก่อนจะยื่นมือออกไปล้างคราบเืที่ฝ่ามือ จากนั้นก็ประคองน้ำขึ้นมาดื่ม รสชาติเมื่อเข้าปากนั้นก็หวานช่ำไม่น้อย น้ำแร่จากธรรมชาติ จากนั้นเขาก็นั่งลงและฉีกเศษผ้าจากชายเสื้อของตนเอามาพันมือที่ได้รับาเ็เอาไว้ ก่อนจะเอนตัวนอนไปทางด้านหลังและปิดเปลือกตาลง
ค่ำคืนนี้ทำเขาขวัญเสียไม่น้อย ตัวเองเกือบจะต้องจบชีวิตลงในป่าเขาเสียแล้ว เวลานี้ไม่ว่าจะเป็ทางด้านกายหรือจิตใจก็ล้วนแต่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็อย่างมาก เขารู้สึกว่าทั่วทั้งร่างกายนั้นเ็ปเหลือเกิน เมื่อนอนทาบลงบนพื้น ไม่นานก็นอนหลับไป
การนอนครั้งนี้หลับสนิทมาก เสียงของน้ำตกไม่สามารถส่งผลกระทบใดๆ ต่อเขาได้ เมื่อตื่นขึ้นมา เขาก็ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะเห็นว่าด้านหน้ามีแสงสว่างของพระอาทิตย์ขึ้น เกิดเป็แสงสว่างหลากสีสัน ที่แท้สายน้ำของน้ำตกนี้เมื่อสะท้อนกับแสงอาทิตย์แล้วก็จะเกิดเป็สายรุ้งจางๆ งดงามยิ่งนัก เมื่อแสงสว่างสาดส่องเข้ามา กลับทำให้ในถ้ำสว่างไสวขึ้นไม่น้อย
สภาพร่างกายจิตใจของหยางหนิงก็ฟื้นฟูมาไม่น้อย เขาชะเง้อคอมองลงไปด้านล่างก่อนจะเห็นเพียงว่าน้ำตกนี้มีความยาวเพียงสิบกว่าเมตร ด้านล่างก็มีแอ่งน้ำที่มีสายน้ำของน้ำตกไหลกระแทกลงไป เกิดเป็คลื่นกระทบกันเป็ระลอกๆ ดูยิ่งใหญ่ตระการตาไม่น้อย
“ถือว่ารอดชีวิตออกมาได้แล้ว” หยางหนิงเอ่ยพึมพำเบาๆ ลุกขึ้นยืนบิดี้เีก่อนจะค่อยหมุนตัวดูบริเวณโดยรอบ เมื่อคืนค่อนข้างมืดอีกทั้งร่างกายก็เหน็ดเหนื่อยมาก ทำให้เขาได้มองเพียงแค่คร่าวๆ เวลานี้เขาถึงจะพบว่าที่แห่งนี้คือห้องหินที่มีขนาดกว้างใหญ่มาก ในห้องหินนั้นมีหินขนาดใหญ่ทรงวงรีก้อนหนึ่งวางเอาไว้อยู่ตรงกลาง บนนั้นค่อนข้างมันเงา ทว่า้ากลับมีฝุ่นละอองเกาะอยู่อย่างหนาแน่น ดูคล้ายกับโต๊ะตัวหนึ่ง ทางด้านข้างของก้อนหินใหญ่นั้นมีเสื่อฟางแผ่นหนึ่ง ทว่าสภาพของมันก็เปื่อยโทรมเป็อย่างมากแล้ว ทว่าบนโต๊ะนั้นกลับมีกล่องแบนๆ วางเอาไว้อยู่กล่องหนึ่ง
นอกจากนี้ ในห้องหินนั้นก็ไม่มีของชิ้นอื่นอีก
สายตาของเขากวาดไปโดยรอบ ก่อนที่ร่างกายจะนิ่งค้างอย่างตกตะลึง สีหน้าเองก็เปลี่ยนไปในทันทีเพราะเขามองเห็นว่าที่มุมหนึ่งของห้องหินนั้นกลับมีโครงกระดูกวางอยู่กองหนึ่ง
มือทั้งสองของหยางหนิงกำแน่นโดยสัญชาตญาณ ก่อนจะค่อยๆ ขยับเท้าเข้าไปใกล้และมองสังเกตดูอย่างละเอียด ก่อนจะเห็นเพียงว่าโครงกระดูกนั้นตอนมีชีวิตอยู่เห็นได้ชัดว่ากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ อีกทั้งด้านล่างของโครงกระดูกนั้นก็มีเสื่อฟางแผ่นหนึ่งด้วยเช่นกัน ทว่าเสื่อฟางนี้กลับมีสภาพเหมือนกับเสื่อฟางด้านข้างโต๊ะหิน มันเองก็มีสภาพเปื่อยโทรมเป็อย่างมาก บนโครงกระดูกนั้นยังมีเสื้อผ้าพาดเอาไว้อยู่ด้วย ทว่าตัวเนื้อผ้าส่วนมากแล้วก็ได้ขาดวิ่นไปตามสภาพกาลเวลา
“ที่แท้ห้องหินนี้ก็มีเ้าของมาอยู่ก่อนแล้ว” หยางหนิงลอบคิด ‘เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาตายอยู่ในที่แห่งนี้ได้อย่างไร? ซากศพตอนนี้ก็ได้แปรเปลี่ยนกลายเป็โครงกระดูกขาวแล้ว ดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะเสียชีวิตไปนานแล้ว’