ภายในจุดถานจงของหยางหนิงมีพลังอันมหาศาล แต่มู่เซิ๋นจวินกลับรู้สึกว่าทั่วทั้งร่างกายกำลังค่อยๆ ทรุดลง
ถึงอย่างไรเสียเขาก็มีวรยุทธ์ล้ำเลิศ ในตอนนี้กลับเพิ่งเข้าใจเื่บางอย่าง สีหน้าอันซีดเซียวของเขาปรากฏความตระหนก พูดด้วยเสียงที่ขาดหายว่า “เ้า...นี่มันพลังเทพ...พลังเทพหกประสาน?” เสียงของเขาในตอนนี้แทบไม่มีเรี่ยวแรง และเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
หลังจากที่หยางหนิงตกหน้าผา ในตอนแรกมู่เซิ๋นจวินรู้สึกสิ้นหวังมาก แต่เขาไม่เต็มใจที่จะจากไป ความเป็ความตายของหยางหนิงเขาไม่สนใจอยู่แล้ว แต่ “พลังเทพหกประสาน” ที่ได้มาอย่างยากลำบาก เขาจะไม่ยอมสูญเสียมันไปแน่
สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็เหมือนที่หยางหนิงคาดเอาไว้ เป็เพราะมู่เซิ๋นจวินฝึกฝน “พลังเทพหกประสาน” ทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง ถึงแม้ว่าจะยังไม่ถึงจุดที่ธาตุไฟเข้าแทรกจนเป็อสูร แต่ก็ไม่ไกลแล้ว
มู่เซิ๋นจวินรู้ดีว่าหากใครเรียนผูกคนนั้นก็ต้องเรียนแก้เอง ถึงแม้ว่าในสมองจะเข้าใจจุดชีพจรทั้งหมดไปถึงฝ่ามือได้แล้วตามม้วนภาพทั้งสิบเอ็ดแบบ แต่กลับรู้สึกว่ามันไม่ง่ายอย่างที่เห็นในม้วนภาพเลย กลัวแต่ว่ามันจะมีอะไรลึกลับซ่อนอยู่ ตัวเขาเองอยากจะกลับเป็ปกติ จำเป็จะต้องหาเคล็ดลับที่อยู่ในม้วนภาพให้ได้
เขาค้นหารอบๆ บริเวณหน้าผาอยู่หลายคืน อย่างไม่หลับไม่นอน ถึงแม้ในท้ายที่สุดจะได้มาพบกับ
หยางหนิง แต่ในตอนนี้ก็เหนื่อยล้าจนไม่ไหวแล้ว ในสมองก็มึนๆ งงๆ ไปหมด หลังจากที่ถูกหยางหนิงดูดซับพลังภายในเข้าไปตามจุดถานจงไม่หยุด ในตอนแรกมู่เซิ๋นจวินไม่ทันได้คิดอะไร คิดแต่ว่าจะเดินพลังภายในกระตุ้นพลังเพื่อสังหารหยางหนิงเท่านั้น
แต่เมื่อทำแบบนี้ไปแล้ว ผลที่ได้กลับตรงข้ามกับความคาดหวัง
หากก่อนที่หยางหนิงจะเดินลมปราณผ่านชีพจรทั้งหมด มู่เซิ๋นจวินหยุดมือเสียก่อน ก็จะสามารถเลี่ยงที่จะถูกหยางหนิงดูดพลังภายในไปได้
ถึงแม้ว่ามู่เซิ๋นจวินรู้ดีว่าพลังเทพหกประสานนั้นเป็วิชายอดเยี่ยมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่ในความเป็จริงแล้วก็เหมือนกับหยางหนิง ที่ไม่รู้ว่าความหมายที่ลึกซึ้งจริงๆ ของพลังเทพหกประสานนั้นมันอยู่ตรงไหน
หากเขาไม่คิดอยากจะได้ท่าเดินทางอย่างเริงใจของหยางหนิง และซัดฝ่ามือใส่ไปที่สมองของหยางหนิงั้แ่ตอนนั้น ไม่มีทางที่หยางหนิงจะมีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้แน่
ที่สถานการณ์เป็เช่นนี้ ก็เป็เพราะเขามอบโอกาสนั้นเอง
ฝ่ามือของเขาวางอยู่บนหัวไหล่ของหยางหนิงพอดี ส่วนบริเวณหัวไหล่ก็เป็หนึ่งในจุดการฝึกฝนพลังเทพหกประสาน
หากแค่วางไว้บนหัวไหล่อย่างเดียวก็คงไม่เป็ไร แต่เขากลับเค้นถามท่าเดินทางอย่างเริงใจ ใช้พลังภายในทรมานหยางหนิง หากไม่ใช่เพราะพลังภายในนี้ หยางหนิงก็ไม่สามารถอาศัยพลังภายในเปิดจุดชีพจรในร่างกายได้ และไม่อาจที่จะทำให้พลังภายในของมู่เซิ๋นจวินวิ่งผ่านได้ลื่นไหลอย่างสายน้ำแบบนี้
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว รู้แล้วว่ามันเป็เพราะพลังเทพ** แต่รู้ตอนนี้มันก็สายไปแล้ว
มือซ้ายติดอยู่บนหัวไหล่ซ้ายของหยางหนิงเอาออกไม่ได้ ในตอนนี้มู่เซิ๋นจวินคิดอยากจะยกมือขวาของเขาขึ้นมาสังหารหยางหนิง แต่กลับรู้สึกว่าทั่วทั้งร่างกายไร้เรี่ยวแรง แขนซ้ายยกไม่ขึ้นเลย
พลังภายในของเขาไหลไปตามแขนซ้ายของหยางหนิง คิดจะขยับร่างกายกับมือขวาก็ไม่มีพลังภายในเหลือแล้ว
แน่นอนว่าหยางหนิงไม่รู้ว่ามู่เซิ๋นจวินรู้สึกอย่างไรในตอนนี้ เขาแค่พยายามจะคลายจุดชีพจรแล้วถ่ายพลังภายในไปยังจุดถานจงเท่านั้น คิดแค่ว่ามู่เซิ๋นจวินแค่ใช้พลังภายในมาสังหารตนเอง แต่ไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังดูดพลังภายในของมู่เซิ๋นจวินอยู่ จุดถานจงถูกแผดเผาจนเ็ป หยางหนิงกลับคิดว่าเป็เพราะมู่เซิ๋นจวิน
ในตอนนี้ปวดหัวแทบจะะเิ คิดแค่ว่าครั้งนี้จะต้องตายในเงื้อมมือของมู่เซิ๋นจวินแน่ๆ ขาสองข้างอ่อนแรง ทรุดลงนั่งไปกับพื้นทั้งตัว ส่วนมู่เซิ๋นจวินเองก็อ่อนแรงฟุบลงไปกับพื้นเช่นกัน
หยางหนิงเอียงตัวผิงต้นไม้เอาไว้ รู้สึกว่าทำแบบนี้แล้วร่างกายเหมือนจะสบายขึ้นมาหน่อย ส่วนมือของมู่เซิ๋นจวินก็ยังคงอยู่ที่หัวไหล่ของเขา หยางหนิงคิดว่าคงไม่รอดแน่แล้ว อีกทั้งยังปวดหัวอย่างหนัก แน่นหน้าอกมาก จนสลบไปในที่สุด
แต่ก็ไม่นานนัก หยางหนิงก็ฟื้นขึ้นมา ทั้งสี่ด้านเงียบมาก แสงของดวงจันทร์สาดส่องลงมา หยางหนิงเข้าใจว่าตัวเองนั้นตายไปแล้ว แต่เมื่อมองไปด้านซ้ายขวา ถึงได้พบว่าตัวเองยังคงอยู่ที่ใต้ต้นไม้ เมื่อหันศีรษะไปดูข้างๆ สีหน้าท่าทางก็เปลี่ยนไป
ด้านหลังของเขาตอนนี้ มู่เซิ๋นจวินยังคงนอนอยู่อย่างนั้น แต่ตอนนี้มู่เซิ๋นจวินไม่ใช่มู่เซิ๋นจวินคนเดิมที่หยางหนิงรู้จักแล้ว
เห็นเพียงแขนของมู่เซิ๋นจวิน เหมือนกับกิ่งไม้เท่านั้น ถึงแม้ว่าิัของเขาก่อนหน้านี้จะแห้งผาก แต่ก็ไม่เหมือนกับตอนนี้ แขนของเขาในตอนนี้มันเหมือนหนังหุ้มกระดูก เหมือนไม่มีเืเนื้ออีกแล้ว
ใบหน้ายิ่งสยองเข้าไปใหญ่
มันเหมือนเอาหนังของคนไปหุ้มไว้บนกะโหลกศีรษะ ที่สามารถมองเห็นทุกซอกทุกมุมในกะโหลก รอบดวงตาเป็หลุมลึกโบ๋ เหมือนกับหลุมดำสองหลุม ส่วนร่างกายของมู่เซิ๋นจวิน ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ในตอนนี้ก็เหมือนกับซากศพไม่มีผิด หากไม่ใช่เพราะเสื้อคลุมสีเทาเก่าๆ ที่อยู่บนตัวเขา หยางหนิงแทบจะจำมู่เซิ๋นจวินไม่ได้เลย
สภาพแบบนี้ จะไปมีชีวิตรอดได้อย่างไร น่าจะตายแล้วไม่น่ารอด
หยางหนิงสูดหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมสติ แล้วทบทวนเื่ราว แล้วก็รู้สึกว่า มู่เซิ๋นจวินมีสภาพกลายเป็เหมือนซากศพแบบนี้ น่าจะเกี่ยวข้องกับตัวเองที่สุด
เขาฉลาดเป็ทุนเดิมอยู่แล้ว วิกฤตก่อนหน้านี้ ไม่มีเวลาให้คิดมากเท่าไร ตอนนี้เมื่อทุกอย่างสงบลง ก็นึกขึ้นมาได้ว่าก่อนตัวเองจะสลบไปมู่เซิ๋นจวินพูดถึง “พลังเทพหกประสาน” เมื่อนึกดูแล้วหรือว่าที่มู่เซิ๋นจวินตกอยู่ในสภาพนี้ เป็เพราะผลของพลังเทพหกประสานงั้นหรือ?
เขาจำได้ว่าเพื่อลดความเ็ปของตัวเองลง จึงต้องเดินพลังภายในไปที่จุดถานจง หรือว่าเป็เพราะเหตุนี้ ถึงทำให้มู่เซิ๋นจวินกลายเป็แบบนี้
วรยุทธ์ของมู่เซิ๋นจวินร้ายกาจมาก หยางหนิงคิดว่าเจอกับเขาต้องตายแน่ๆ แต่เมื่อตอนนี้เห็นมู่เซิ๋นจวินกลายเป็ซากศพอยู่บนพื้น แถมสุดท้ายคนที่รอดก็กลายเป็ตัวเอง ความรู้สึกมันเหมือนกับฝัน เพียงแค่ผลลัพธ์มันดูน่าสงสัย
เมื่อคิดถึงตอนที่จุดถานจงเหมือนถูกไฟเผาแบบนั้น หยางหนิงก็รีบยื่นมือไปจับที่จุดถานจง ซึ่งตอนนี้ไม่มีอาการที่ไม่สบายแล้ว ก็ค่อยๆ เบาใจ
มู่เซิ๋นจวินตายแน่แล้ว แต่หยางหนิงกลับไม่รู้สึกดีใจเลย กลับรู้สึกเป็กังวลมากกว่า
มู่เซิ๋นจวินเคยทำร้ายเส้นชีพจรหลายจุด มันเคยอาการกำเริบแล้วครั้งหนึ่ง ตามที่เ้าเฒ่าผีนี่กล่าวไว้ หากไม่รักษาเส้นชีพจรให้ทันท่วงที มันก็จะค่อยๆ เหี่ยวแห้ง จนตายไปในที่สุด
ตอนนี้เ้าเฒ่าผีก็ตายแล้ว ก็เลยไม่รู้ว่าอาการาเ็ดังกล่าวของตัวเองจะต้องฟื้นฟูรักษาแบบไหน
แต่ว่าหลายวันมานี้อาการก็ไม่ได้กำเริบ หยางหนิงสงสัยว่าครั้งที่แล้วที่อาการกำเริบเป็เพราะเหนื่อยเกินไปหรือเปล่า หรือจริงๆ แล้วอาการาเ็ของตัวเองไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่มู่เซิ๋นจวินบอก
ตัวอันตรายที่สุดถูกกำจัดไปแล้ว อย่างไรซะหยางหนิงก็รู้สึกเบาใจไม่น้อย อยู่ในหุบเขานี้เสียเวลาไปนานหลายวัน คนของสำนักคุ้มกันน่าจะพาเสี่ยวเตี๋ยไปไกลแล้ว
แต่ว่ายังไม่ถึงที่สุด หยางหนิงก็ยังคงไม่ละความพยายาม อย่างไรเสียทั้งชีวิต ขอแค่ยังมีความหวัง หยางหนิงก็จะยืนหยัดต่อไป
ถึงแม้จะเสียเวลาไประยะหนึ่ง ั้แ่เสี่ยวเตี๋ยออกจากเมืองฮุ่ยเจ๋อ จนถึงตอนนี้ก็น่าจะไม่เกินสิบวัน ตามระยะทางแล้ว ก็น่าจะอยู่ที่กลางทางได้ หากตัวเองเดินเท้าไป คงไม่มีหวังจะตามทัน หากว่าเรามีม้าสักตัว ก็อาจจะมีโอกาส
เื่ที่ต้องทำตอนนี้ก็คือ จะต้องออกจากูเาลูกนี้ก่อน
การใช้ชีวิตในป่าแบบนี้หยางหนิงคุ้นเคยเป็อย่างดี ส่วนการทำเข็มทิศนั้นก็ง่ายมาก เมื่อแยกทิศทางได้แล้ว ก็เดินต่อไปทางทิศใต้ ทันใดนั้นเองก็คิดขึ้นมาได้ ก็เลยกลับไปยังข้างศพมู่เซิ๋นจวิน แล้วยื่นมือไปค้นข้างในเสื้อของเขา
ของในตัวของเ้าเฒ่านี่มีไม่มาก นอกจากเศษเงินในถุงเงินแล้ว ก็มีป้ายเหรียญทองแดงทรงกลมที่ประณีตมากชิ้นหนึ่งเท่านั้น
บนป้ายเหรียญทองแดงสลักคำว่า “หอเก้านภา” สามคำ ส่วนที่ด้านหลังสลักตัวอักษรตัวใหญ่ว่า “มู่” มุมด้านล่างก็มีอักษรอีกสองตัวว่า “คำสั่งหลวง”
หยางหนิงจำได้ว่าเ้าเฒ่าเคยพูดถึงหอจิ่วเทียน เป็หน่วยงานของฮ่องเต้เป่ยฮั่น ที่มียอดฝีมือมากมาย
ถึงตอนนี้ เื่ที่นี้มู่เซิ๋นจวินกล่าวมาก็ไม่ได้เป็การหลอกลวงอะไร ป้ายเหรียญทองแดงชิ้นนี้เป็เครื่องยืนยันได้เป็อย่างดีว่าเขาคือมู่เซิ๋นจวินแห่งหอเก้านภา ส่วน “คำสั่งหลวง” อาจจะมีความเกี่ยวเนื่องกับราชสำนักเป่ยฮั่นจริงๆ
แต่หยางหนิงกลับไม่ได้สนใจเื่ของหอเก้านภาแต่อย่างใด แถมรู้สึกว่าหากป้ายเหรียญทองแดงชิ้นนี้อยู่ในมือเขาจะเป็ภัยเสียมากกว่า ก็เลยโยนทิ้งไป หยิบเอาแค่ถุงเงินแล้วจึงจากไป
ตลอดเส้นทางลงใต้ เมื่อถึง่กลางวันของวันที่สาม ในที่สุดก็เดินออกมาจากสันเขาได้เสียที ลงจากเขาได้ไม่ทันไร เมฆหมอกก็เปลี่ยนแปลงไป พริบตาเดียว ฝนก็ตกลงมา
หยางหนิงบ่นเบาๆ ว่าโชคร้าย ทั้งสี่ด้านล้อมรอบไปด้วยป่า แต่ก็ไม่้าจะกลับไปหลบฝนในเขาอีก จึงต้องเดินตากฝนต่อไป ฝนห่านี้ตกลงมาจนถึง่เย็นก็ยังไม่หยุด หยางหนิงตากฝนจนตัวเปียกชุ่ม ฝนที่ตกลงมาั้แ่เที่ยงนี้ ทำให้ต้องเปลี่ยนไปเดินเส้นทางหลัก
ฟ้าเริ่มมืดลง สายฝนยังคงตก เมื่อเดินไปทางเส้นทางหลักได้ระยะหนึ่ง ทันใดนั้นเองท่ามกลางสายฝน ก็ปรากฏบ้านหลังหนึ่ง คิดๆ ดูแล้วคงสามารถเข้าไปหลบฝนได้ จึงได้เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
เมื่อเดินเข้าไปใกล้บ้านหลังนั้น ก็พบว่าหน้าบ้านมีรถม้าจอดอยู่สี่ถึงห้าคัน บนรถเต็มไปด้วยสินค้า ใช้ผ้าคลุมกันฝนเอาไว้ ส่วนม้าอีกเจ็ดแปดตัวก็ถูกผูกเอาไว้ที่หลักที่ใช้ผูกม้าตรงด้านข้างของบ้าน
ที่มุมด้านข้างของรถม้าหลายคัน มีธงเล็กๆ ปักอยู่ แต่ด้วยความที่ว่ามีฝนตก ธงเลยเปียกและม้วนตัวเป็กลุ่มก้อน ทำให้เห็นได้ไม่ชัดว่าเขียนว่าอะไร
หยางหนิงหยุดความตื่นเต้นเอาไว้ชั่วครู่
เขาเดินเข้าไปใกล้รถม้าคันหนึ่ง หันหน้าไปมองที่บ้านหลังนั้น พบว่ามันคือร้านเหล้าข้างทางร้านหนึ่ง เมื่อเทียบกับร้านน้ำชาที่พบครั้งที่แล้วมันใหญ่กว่ากันเยอะมาก คิดว่าคนที่ใช้เส้นทางหลักนี้คงมีไม่น้อย แล้วร้านเหล้าชั่วคราวแบบนี้ก็คงมีไม่น้อยเช่นกัน
“เฮ้ เ้าขอทาน หลบไป!” หยางหนิงกำลังจะเปิดธงที่ม้วนตัวไว้ออกมา ว่าบนธงเขียนตัวอักษรอะไรเอาไว้ ก็ได้ยินเสียงหยาบๆ ดังมา “นั่นเป็ของที่เ้าจะจับได้หรือไงกัน? หากจับธงนั่น เ้าจะต้องถูกตัดมือ อยากจะลองดูไหมล่ะ?”
ร่างกายของหยางหนิงสั่นเล็กน้อย เขาสงสัยเป็ทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้ได้ยินคนๆ นี้พูดอีก ถึงได้รู้ว่าเป็ขบวนของสำนักคุ้มกัน
ในใจของเขารู้สึกหวั่นไหว แต่ก็ต้องสงบลงให้ได้
สำนักคุ้มกันก็คือสำนักคุ้มกัน แต่สำนักคุ้มกันที่เดินทางโดยใช้เส้นทางหลักนี้ก็มีไม่น้อย อีกอย่างหากคำนวณตามเวลาแล้ว ขบวนสำนักคุ้มกันที่พาตัวเสี่ยวเตี๋ยไปก็น่าจะห่างจากตรงนี้ไปแล้วประมาณสามสี่วัน ขบวนของสำนักคุ้มกันนี้น่าจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสำนักคุ้มกันขบวนนั้น
อีกอย่างบนรถของสำนักคุ้มกันนี้ก็ไม่เหมือนจะมีคนอยู่
เขาหันหน้าไปดู ก็เห็นชายรูปร่างสูงใหญ่กำยำยืนอยู่หน้าร้านเหล้า ในมือถือกระบอกทองแดงไว้ กำลังยืนมองมาที่ตัวเองอย่างเืเย็น
หยางหนิงตั้งใจยิ้ม แล้วก็เดินเข้าไปใกล้ เมื่อเดินไปที่หน้าร้านเหล้าแล้ว ก็พูดกับคนๆ นั้นว่า “ท่านอา พวกท่านเป็คนของสำนักคุ้มกันหรือ?”
ชายคนนั้นเหมือนจะส่งสายตามาเตือน แล้วสบถเบาๆ แต่ก็ไม่พูดอะไร แล้วหันหลังเดินเข้าร้านเหล้าไป หยางหนิงทักทายไม่สำเร็จ แต่ก็เดินตามคนๆ นั้นเข้าไปในร้านเหล้า
เมื่อเข้าไปในร้านเหล้าแล้ว หยางหนิงกลับรู้สึกแปลกๆ รู้สึกเหมือนกับว่ามีสายตาหลายต่อหลายคู่กำลังจ้องมาที่ตัวเขา หยางหนิงตั้งใจบิดเอว ยิ้มแล้วมองไปรอบๆ เห็นว่าภายในร้านมีโต๊ะอยู่ห้าหกตัวโดยที่ทั้งหมดมีคนนั่งจนเต็ม ห้องบรรยากาศมืดๆ แม้แต่คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะสองตัวที่อยู่ใกล้ประตูใหญ่ก็ยังมองมาที่ตัวเขา
ฟ้าเริ่มมืด ภายในห้องกลับยังไม่จุดไฟ ดังนั้นก็เลยมองไม่เห็นว่าสถานการณ์เป็แบบไหน