ในใจของหยางหนิงรู้ดีว่าคนในร้านเหล้าส่วนใหญ่น่าจะเป็คนของสำนักคุ้มกันทั้งหมด เมื่อพวกเขาเห็นคนที่เดินเข้ามานั้นสวมเสื้อผ้าขาดๆ ก็ไม่ได้สนใจอะไร
ที่นั่งส่วนใหญ่ก็มีคนจับจองจนเต็มเกือบหมดแล้ว โดยไร้ซึ่งแสงไฟ น่าจะมีคนอยู่ราวสิบยี่สิบคนโดยประมาณ หยางหนิงเห็นว่าโต๊ะตรงมุมห้องนั้นยังพอมีที่ว่าง ภายใต้ความมืดสลัวนั้น เห็นเพียงคนสองคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น เขาจึงเดินเข้าไป เขาเห็นหน้าตาของทั้งสองไม่ชัด แต่ก็ยิ้มทักทายแล้วกล่าวว่า “ขออภัย แต่ไม่มีที่นั่งอื่นแล้ว ข้าขอร่วมโต๊ะด้วยนะ”
ทั้งสองไม่ได้ว่าอะไร หยางหนิงก็เลยลากเก้าอี้มานั่ง ในตอนนี้เขาได้กลิ่นอาหารลอยมาจากโต๊ะข้าง ๆ เขาที่ไม่ได้กินอะไรดีๆ มาตลอดหลายวัน ในเมื่อเข้าร้านนี้มาแล้ว เป็ธรรมดาที่ต้องจัดมื้อใหญ่เสียหน่อย
เศษเงินที่เขาได้มาจากมู่เซิ๋นจวิน น่าจะเพียงพอสำหรับอาหารมื้อนี้
สายฝนที่ตกลงมาภายนอกยังไม่มีท่าทีที่จะหยุด หยางหนิงรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ภายในห้องโถงร้านมันมืดไปหมด ทำไมถึงไม่มีใครจุดไฟ มันน่าสงสัยจริงๆ แต่แล้วก็มีเสียงดังขึ้นมาว่า “นายท่านทั้งหลาย ไฟมาแล้ว!” พร้อมกันนั้นเขาก็สังเกตเห็นแสงไฟจากด้านหลัง มีคนถือตะเกียงน้ำมันเข้ามาสองดวง ซ้ายข้างขวาข้างก่อนนำไปแขวนบนกำแพงของร้าน
ทันใดนั้นภายในร้านก็สว่างขึ้น หยางหนิงอาศัยแสงไฟที่สว่างขึ้นมามองไปที่คนแก่หนึ่งคนกับเด็กอีกหนึ่งคนที่นั่งโต๊ะเดียวกับเขา คนมีอายุที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาสวมเสื้อคลุมสีเทา ดูๆ ไปแล้วอายุน่าจะประมาณห้าสิบปีได้ ไว้หนวดเคราสีดำ ใบหน้าเรียว ดูมีสง่าราศี แม้จะอายุเกินครึ่งร้อยไปแล้วก็ตาม แต่ยังคงมีเืฝาดดูสุขภาพดี จนไม่เหมือนคนแก่เลย ดูเหมือนว่าเขาจะดูแลตัวเองเป็อย่างดี
ส่วนอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เป็วัยรุ่นอายุราวสิบห้าสิบหกปี ใบหน้าดูสว่างสดใส ดวงตากลมโตกำลังจ้องมองมาที่ตัวเขา สีหน้าแสดงความสงสัย
บนโต๊ะมีเครื่องเคียงอยู่สามจาน พะโล้หนึ่งชาม และเหล้าอีกหนึ่งขวด ด้านข้างของชายแก่เสื้อคลุมเทามีแก้วเหล้าอยู่จอกหนึ่ง ดูเหมือนอาหารบนโต๊ะยังไม่ได้ถูกแตะต้องเลยแม้แต่น้อย
หยางหนิงเห็นเด็กวัยรุ่นมองเขาด้วยสายตาสงสัยก็ยิ้มให้แล้วพูดว่า “ข้าขอแนะนำตัวก่อนนะ ข้าชื่อ...เสี่ยวป๋ายทู่ ออกจากบ้านหวังจะมาพึ่งพาเพื่อนฝูง ขอท่านทั้งสองอย่ารังเกียจกันเลยนะ”
วัยรุ่นกล่าวเรียบๆ ว่า “เราไม่ใช่เพื่อนกัน” จากนั้นก็ละสายตาออกไป โดยไม่ได้พูดอะไรอีก หยางหนิงมองท่าทีที่เหมือนมีอะไรหลายอย่างเก็บไว้ในใจของเขา ลอบคิดในใจว่าเด็กคนนี้อายุยังไม่มากแต่กลับมีความคิดความอ่านไม่น้อย
เขาหันหน้าไปเห็นเสี่ยวเอ้อของร้านยืนอยู่ข้างๆ กำลังมองเขาด้วยสายตาประหลาด จึงกระแอมไอก่อนถามออกไปว่า “มองอะไร?”
“ข้าว่าเ้าคงมาหลบฝนไม่ได้มากินเหล้าหรอกใช่ไหม” เสี่ยวเอ้อมองอย่างเหยียดหยาม “หากว่ามาแค่หลบฝน ไปยืนข้างนอกร้านที่มีคานโน้น อย่ามารบกวนแขกสองท่านนี้”
หยางหนิงยังคงสวมชุดขาดหลุดลุ่ยของเขา มันก็ดูเก่าเป็ทุนเดิมอยู่แล้ว หลายวันมานี้ยังคลุกฝุ่นมาอีก ตอนนี้ใครเห็นก็แยกไม่ออกหรอกว่าเจอขอทานหรือเจอผีกันแน่
หยางหนิงไม่ได้โต้เถียงกลับไป เพียงยืนเศษเงินออกไปวางที่โต๊ะ แล้วชี้ไปที่อาหารที่อยู่บนโต๊ะ “เงินพวกนี้พอที่จะซื้ออาหารพวกนี้ได้ไหม? เอามาให้ข้าอีกชุดหนึ่ง”
เสี่ยวเอ้อในร้านยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า “เงินนี่ได้มาจากไหน? คงไม่ได้ขโมยมาใช่ไหม?”
วัยรุ่นข้างๆ หยางหนิงขมวดคิ้ว แล้วพูดเสียงเรียบๆ ว่า “ไม่ว่าใครก็ไม่ควรตัดสินคนอื่น เ้าไม่มีหลักฐาน ทำไมถึงกล่าวหาคนอื่นเช่นนี้เล่า?”
หยางหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าวัยรุ่นคนนี้จะพูดแทนตัวเขา ทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีกับวัยรุ่นคนนี้ขึ้นมาไม่น้อย แต่กลับได้ยินชายชุดเทาส่งเสียงกระแอม แล้วยกจอกเหล้าขึ้นมาดื่ม ก่อนเหลือบสายตาไปยังวัยรุ่นคนนั้น วัยรุ่นที่ได้ยินเสียงกระแอม รู้ตัวว่าได้ทำอะไรผิดพลาดไปเลยก้มหน้าลง
เสี่ยวเอ้อเห็นวัยรุ่นเอ่ยปากพูดขึ้นมา ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก หันตัวแล้วเดินจากไป
หยางหนิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ หันหน้าไปมองรอบๆ โต๊ะอีกด้านมีคนนั่งอยู่ประมาณห้าหกคน ทั้งหมดสวมชุดแขนสั้น ทุกคนต่างวางอาวุธเอาไว้บนโต๊ะ ส่วนมากจะเป็ดาบกับแส้ ถึงแม้บนโต๊ะจะมีถ้วยชามมากมาย แต่กลับไม่มีเหล้าแม้แต่น้อย เหมือนคนพวกนั้นจะไม่กินเหล้า
คิดๆ ดูแล้ว คนพวกนั้นเป็คนของสำนักคุ้มกัน ขณะคุ้มกันสินค้า ก็อาจจะต้องระวังตัวให้มาก ไม่กินเหล้ามันก็อาจจะเป็หนึ่งในวิธีป้องกันก็ได้
เสียงฟ้าผ่าสายฝนด้านนอกดังสนั่นหวั่นไหว ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลงเลย แต่กลับเหมือนตกหนักขึ้นไปอีก เขาได้ยินคนของโต๊ะข้างๆ พูดขึ้นมาว่า “ผู้าุโหลู ดูท่าฝนคงไม่หยุดตกในเร็วๆ นี้แน่ เราจะเดินทางกันเลยไหม?”
ชายวัยห้าสิบกว่าๆ ข้างๆ เขาลูบหนวดเครา แล้วพูดว่า “รอบนี้เร่งด่วนมาก ระหว่างทางจะให้มีอะไรมาขัดไม่ได้ พักอีกสักหน่อย อย่างไรเราก็ต้องเดินทางต่อกัน เราจะอยู่ที่นี่กันทั้งคืนไม่ได้ ห่างจากที่นี่ไปอีกยี่สิบลี้ จะมีจุดพักของหลวง เราค่อยไปนอนพักที่จุดพักหลวงก็ยังไม่สาย”
“ยังคงเป็ผู้าุโหลูที่ฉลาดนัก” ด้านข้างก็มีคนหัวเราะขึ้นมาและพูดว่า “ถนนทุกสายในแคว้น ในเมืองหรือแม้แต่ในอำเภอล้วนถูกบันทึกไว้ในสมองของผู้าุโหลูทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็กำแพงเมือง คูคลองหรือแม้กระทั่งป้อมต่างๆ ที่อยู่ข้างทาง ก็ไม่มีที่ไหนที่ผู้าุโหลูไม่รู้จัก”
อีกคนก็หัวเราะตามแล้วพูดว่า “เส้นทางนี้ ต้องพึ่งเส้นสาย หากผู้าุโหลูบอกสอง ไม่มีใครกล้าบอกหนึ่งหรอก พวกเ้าสองคนก่อนหน้านี้ไม่เคยมาทางนี้ คงไม่รู้จุดพักหลวงที่ผู้าุโหลูบอกไปเมื่อกี้ หากเป็คนอื่น คงจะพักกันที่นี่แล้ว นี่เป็เพราะผู้าุโหลูทำงานคุ้มกันมานานหลายปี ก็เลยคุ้นเคยกับเส้นทางต่างๆ ได้ดี มีสัมพันธ์ที่ดีกับทางเ้าหน้าที่จุดพักเป็อย่างดี เราไปถึง ก็จะมีที่ให้เราได้พักกันแน่นอน”
ชายแก่คนนั้นชักสีหน้าแล้วพูดว่า “สำนักคุ้มกันของเรา เส้นสายของเราคือเพื่อนฝูง มีเพื่อนมากก็ได้เส้นทางที่มากขึ้น หากว่าเอาแต่ไปเป็ศัตรูกับคนอื่น ต่อให้มีวรยุทธ์เก่งกาจมากแค่ไหน ข้าวสักชามก็ไม่ได้กินหรอก”
“ผู้าุโหลูพูดถูก” หลายๆ คนเริ่มกระซิบกระซาบกัน “ท่านเป็ผู้าุโของเรา ความรู้ตรงนี้ ต้องสอนเราบ้างนะ”
ผู้าุโหลูยิ้มแล้วพูดว่า “จริงๆ ก็ไม่มีอะไรจะสอน จำไว้อย่าไปสร้างศัตรูก็พอ ยิ้มเข้าไว้ใช้กระบี่ใช้ดาบให้น้อยเป็พอ” ทันใดนั้นเองเขาก็ลุกขึ้น แล้วพูดว่า “ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม เราจะเดินทางกันอีกยี่สิบลี้ ไปให้ถึงจุดพักหลวงแล้วเราค่อยพักกัน กลางป่ากลางเขาแบบนี้ อย่าอยู่นานจะดีกว่า”
หลายคนค่อยๆ ลุกขึ้น และมีคนจำนวนไม่น้อยที่หยิบเสื้อกันฝนกับหมวกฟางมาวางไว้ที่หน้าประตู
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเตรียมพร้อมกันมานานแล้ว
บางคนเริ่มสวมชุดและหมวกเพื่อกันฝนแล้ว ส่วนคนที่ชื่อผู้าุโหลูนั้นยกชาขึ้นมาดื่ม เพื่อแก้ง่วง หยางหนิงเห็นชายแก่ที่อยู่ตรงข้ามตัวเองลุกขึ้นเดินไปอยู่ด้านข้างคนที่ชื่อผู้าุโหลูนั่น แล้วพูดเบาๆ ว่า “สำนักคุ้มกันของท่านจะไปที่ไหนกันหรือ?”
ผู้าุโหลูคนนั้นสีหน้าหวาดระแวงขึ้นมา แล้วย้อนถามว่า “ท่านเป็ใครกัน?”
หยางหนิงสงสัยั้แ่แรกแล้วว่าชายแก่กับเด็กหนุ่มสองคนนี้น่าจะไม่ใช่คนของสำนักคุ้มกัน ขณะที่ฟังทั้งคู่สนทนากันนั้น ก็รู้ทันทีว่าตัวเองนั้นเดาไม่ผิด
ชายในชุดเทา ยื่นทองคำหนึ่งก้อน ยัดใส่มือของผู้าุโหลู ในตอนนี้คนของคณะคุ้มกันต่างวุ่นวายอยู่กับการสวมชุดกันฝนจึงไม่มีใครสังเกตเห็น
ผู้าุโหลูขมวดคิ้ว กำลังจะพูด ชายในชุดเทาก็พูดเบาๆ ว่า “ในมือของข้ามีของสิ่งหนึ่ง เตรียมจะเข้าเมืองหลวง แต่เกรงว่าระหว่างทางจะเกิดเหตุร้าย ดังนั้นอยากจะขอรบกวนพวกท่าน ช่วยคุ้มกันไปพร้อมกัน เป้าหมายในการเดินทางของพวกท่าน คิดว่าน่าจะเป็เมืองหลวงเช่นกันใช่ไหม?”
ผู้าุโหลูดูลังเล แล้วพูดว่า “กฎของสำนักคุ้มกัน ระหว่างทางขนส่ง ไม่อาจพาคนนอกไปด้วยได้ ท่าน...!”
“ข้าเข้าใจดี” ชายสวมชุดเทายิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเพียง้าความปลอดภัย ท่านคิดเสียว่าเป็การคุ้มกันชั่วคราว ระหว่างทางพวกเราจะทำตามกฎของท่านทุกอย่าง จะไม่สร้างปัญหาให้พวกท่านเลย”
“พวกเรา?” ผู้าุโหลูมองไปยังเด็กหนุ่ม แล้วถามว่า “มีแค่พวกท่านสองคนเท่านั้น?”
ชายชุดเทาพูดว่า “ถูกต้อง แค่เราสองคน”
คนข้างๆ ผู้าุโหลูเหมือนจะเห็นเหตุการณ์อยู่ ก็พูดเบาๆ ว่า “ผู้าุโหลู ก็แค่คนสองคนไม่ใช่หรือ? ในเมื่อเขาขอร้อง เราก็ไม่ควรปฏิเสธนะ”
ผู้าุโหลูเหลือบไปมองคนข้างๆ แล้วกระแอมไอ สายตาเหมือนกับว่ากำลังตำหนิ ว่าเขาไม่ควรพูดมาก
หยางหนิงอยู่ข้างๆ ได้ยินและเห็นทุกอย่างชัดเจน น่าแปลก ในใจคิดว่าชายแก่กับเด็กหนุ่มจะเข้าเมืองหลวง ทำไมจะต้องตามขบวนของสำนักคุ้มกันไปด้วย? ชายชุดเทาบอกว่าตัวเขามีของสิ่งหนึ่ง กลัวจะหายกลางทาง หากเป็อย่างนั้นจริง ของชิ้นนั้นก็ต้องสำคัญมาก ไม่งั้นคงไม่ยอมเสียก้อนทองคำในมือเป็ค่าจ้างแน่ๆ
ชายชุดเทาเห็นผู้าุโหลูยังคงลังเล ก็พูดเบาๆ ว่า “จริงๆ พวกท่านแทบไม่ต้องออกแรงเลย หรือว่าค่าจ้างนี้มันน้อยเกินไป? หากเป็อย่างนั้น ก็เพิ่มได้”
ผู้าุโหลูส่ายหัวแล้วพูดว่า “มันไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้น ตามหลักแล้ว ระหว่างทางเราไม่อาจรับคนอื่นเข้าร่วมขบวนได้ เว้นเสียแต่ไม่มีทางเลือก แต่ว่าเห็นพวกท่านลำบาก จะตามขบวนสำนักคุ้มกันมันก็ไม่เป็ไร แต่ว่าไม่ว่าอะไรก็ตาม พวกท่านจะต้องทำตามกฎของสำนักคุ้มกันเท่านั้น เรารับประกันว่าพวกท่านจะเข้าเมืองหลวงอย่างปลอดภัย แต่ถ้าหากพวกท่านทำลายกฎของเรา จะมาโทษพวกเราไม่ได้”
ชายชุดเทายิ้มแล้วพูดว่า “ทุกอย่างแล้วแต่พวกท่าน เราจะไม่ทำให้ท่านลำบาก”
ผู้าุโหลูะโขึ้นมาว่า “ใครก็ได้ เอาเสื้อกันฝนมาสองชุดซิ”
ชายชุดเทากลับไปที่โต๊ะ โน้มตัวลงไปหยิบหอผ้า ข้างในเป็ของยาวๆ ชิ้นหนึ่ง ที่ใช้ผ้าสีดำคลุมไว้ แต่ไม่รู้ว่าเป็อะไรกันแน่
เด็กหนุ่มกับชายชุดเทามองหน้ากัน แล้วก็ลุกขึ้น ในตอนนี้ก็มีคนเอาเสื้อกันฝนมาให้ ทั้งสองก็ไม่ได้มีท่าทีเกรงใจอะไร สวมเสื้อและหมวกกันฝนนั้นทันที
คนของสำนักคุ้มกันหลายคนออกไปนอกประตูแล้ว ผู้าุโหลูเองก็สวมเสื้อกันฝน แล้วหันไปมองชายชุดเทา พยักหน้าแล้วก็ยิ้มออกมา ในมือถือห่อผ้ายาว แล้วมองไปที่เด็กหนุ่ม ก่อนจะเดินตามออกไป
เมื่อเดินไปได้สองก้าว ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียง “เพี๊ยะเพี๊ยะ” ภายในร้านเหล้าก็มืดลงทันที ไฟในตะเกียงที่แขวนอยู่ที่กำแพงจู่ๆ ก็ดับไป
พริบตาที่ไฟดับนั้น หยางหนิงเห็นชายชุดเทาดึงมือของเด็กหนุ่มเอาไว้ แล้วดึงตัวเขามาไว้ด้านหลัง การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วมาก ปฏิกิริยาถือว่ายอดเยี่ยมมาก หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงวุ่นวายดังขึ้นภายในร้านเหล้า
หยางหนิงตื่นใ มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปหยิบมีดสั้นที่อยู่ในอกเสื้อ ระวังตัวเต็มที่
หลังจากที่ออกมาจากเมืองฮุ่ยเจ๋อ หยางหนิงก็ระวังตัวตลอดเวลา หลังจากผ่านเื่ของมู่เซิ๋นจวินมา เขายิ่งรู้สึกอ่อนไหวมากเป็พิเศษ เมื่อจู่ๆ ตะเกียงก็ดับลง เขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติ
หากว่าตะเกียงมันดับแค่ดวงเดียว มันอาจจะเป็เื่บังเอิญได้ แต่นี่มันดับทีเดียวสองดวงเลย มันจะต้องมีอะไรแน่ๆ
“อย่าแตกตื่น!” เสียงของผู้าุโหลูดังมาจากความมืด “ทุกคนอยู่ในความสงบ ระวังตัวให้ดี อย่าทำอะไรวู่วามหากยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เฉินลิ่ว เ้าพาคนไปคุมรถของเราเอาไว้ ใครมีไม้ขีดไฟบ้าง รีบจุดขึ้นมาเร็ว!”
ผู้าุโหลูใแต่ไม่ตื่นตูม แบ่งหน้าที่ชัดเจน แสดงให้เห็นว่าเขาท่องยุทธภพมานานและมีประสบการณ์มากจริงๆ
ในตอนนี้เองมีแสงกระพริบบางอย่างตัดผ่านมา มันเต็มไปด้วยกลิ่นอายความเยือกเย็น