กู้เหยาลูบนิ้วไปบนลายปักเ้าบ่าวเ้าสาวนางพูดด้วยความประหลาดใจว่า “ลายปักนี้แปลกตาจริงๆข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แล้วฐานไม้นี้ก็สวยงามมากเ้าค่ะ”
ตัวการ์ตูนจิบินี้แม้แต่กู้เจิ้งชินที่กำลังหดหู่อยู่ก็แอบมองดูอยู่หลายรอบ
กู้เจิงเห็นปฏิกิริยาของทุกคน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกดูเหมือนทุกคนจะชอบของขวัญของนาง
ชุนหงรีบเอ่ยขึ้นว่า “นี่เป็ของขวัญที่คุณหนูใหญ่ใช้เวลาครึ่งเดือนในการเย็บเพื่อมอบให้คุณหนูสามบ่าวไม่ได้ช่วยอะไรเลยเ้าค่ะ”
“ขอบคุณพี่ใหญ่เ้าค่ะ น้องชอบของขวัญนี้มาก” กู้อิ๋งก็ถนัดเื่เย็บปักถักร้อยเช่นกันลายปักนี้ดูสวยงามและประณีตแสดงให้เห็นว่าพี่ใหญ่ของนางตั้งใจปักเพื่อมอบให้นางจริงๆ
กู้เจิงส่งรอยยิ้มอบอุ่นกลับไปนางแอบเห็นเว่ยซื่อเหลือบมองอย่างสนใจ นางจึงหยิบของของขวัญนี้เดินไปหานายหญิง “ท่านแม่ก็ดูของขวัญที่ข้านำมามอบให้น้องสามด้วยสิเ้าคะ สวยหรือไม่?”
ดวงตาสดใสของกู้เจิงฉายแววอ่อนโยน นางไม่ได้ถือสาอะไรเื่ที่อีกฝ่ายตำหนินางเว่ยซื่อที่อารมณ์ดีขึ้นแล้วนางก็รับไว้ หลังจากสงบสติอารมณ์ลงแล้วนางก็เห็นว่าถ้อยคำที่กู้เจิงพูดก็ไม่ได้ผิดอะไร
“ปักได้ไม่เลว งานปักของเ้าดีั้แ่เด็ก”
กู้เจิงตาเป็ประกาย นี่นับว่าเป็ครั้งแรกที่เว่ยซื่อเอ่ยชมนาง “ขอบคุณท่านแม่ที่ชมเ้าค่ะ”
“พี่ใหญ่ ถ้าว่างๆ ท่านก็ช่วยปักเ้าคนตัวเล็กๆเช่นนี้ให้ข้าด้วยสิเ้าคะ” กู้เหยารีบเข้ามาคล้องแขนกู้เจิงแล้วพูดอย่างออดอ้อน
“ได้ ข้ากลับไปแล้วจะปักให้เ้าบ้าง” กู้เจิงยิ้มพร้อมกล่าวว่า “จริงสิ ข้ายังเอาขนมเข่งกรอบมาให้เ้าด้วย”
ชุนหงรีบนำขนมเข่งกรอบออกมาวางบนโต๊ะแค่หยิบออกมากลิ่นหอมของขนมก็ลอยฟุ้งกระจายไปทั่ว ทำให้แม้แต่เว่ยซื่อก็ยังสนใจ
“หอมจัง” กู้เหยารีบหยิบขนมขึ้นมาชิม
เมื่อเห็นน้องสาวกินอย่างเอร็ดอร่อยกู้อิ๋งกับกู้เจิ้งชินก็หยิบมากินเช่นกัน
“ท่านแม่ก็กินด้วยสิเ้าคะ” กู้เจิงเอ่ยชวนเว่ยซื่อ
เว่ยซื่อมองกู้เจิงนางคิดในใจว่าบุตรสาวอนุผู้นี้ตอนนี้ช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก หากตอนเด็กๆนางฉลาดและเชื่อฟังเช่นนี้ ไม่แน่ว่านางอาจจะรับกู้เจิงมาเลี้ยงและสอนนางให้ดีถึงวิธีการเป็คุณหนูใหญ่แห่งจวนป๋อเจวี๋ย
“นั่งเถอะ” เว่ยซื่อสั่งให้ทุกคนนั่งลง
แม่เฒ่าฉินและแม่เฒ่าซุนเริ่มรินชาร้อนอีกครั้ง
“เื่ที่เกิดขึ้นเมื่อวานพวกเ้าคิดว่าอย่างไร ไหนพูดให้ข้าฟังสิ” ตอนนี้นางอารมณ์เย็นลงแล้ว จึงอยากรู้ความคิดของลูกๆ
“แน่นอนว่าต้องไปโต้เถียงกันที่จวนฟู่และบอกเื่นี้กับนายท่านและนายหญิงตระกูลฟู่เ้าค่ะ” นิสัยของกู้เหยาตรงไปตรงมาจึงไม่น่าแปลกใจที่นางคิดเช่นนี้
นางไม่อยากฟังความคิดของบุตรสาวคนเล็ก เว่ยซื่อชี้ไปที่กู้อิ๋ง “อิ๋งเอ๋อร์ เ้าพูดมา”
กู้อิ๋งตรองอยู่ครู่หนึ่ง “คนแบบนี้ไม่เหมาะที่จะเป็เพื่อน ลูกจะอยู่ห่างจากนางและคอยระวังนางด้วย ตระกูลฟู่ก็เป็ตระกูลป๋อเจวี๋ย ทั้งยังมีแม่ทัพเยี่ยนหนุนหลังพวกเราจึงไม่อาจทำอะไรกับนางได้ แต่ลูกจะไปหาหลักฐานแล้วนำหลักฐานนี้มากางต่อหน้าคนสกุลฟู่ ให้พวกเขารู้ว่าคนตระกูลกู้ไม่ใช่คนที่จะรังแกได้ง่ายๆหากยังมีครั้งต่อไป ก็จะให้ทุกคนได้รับรู้เื่เหล่านี้”
เว่ยซื่อพยักหน้า วิธีของกู้อิ๋งเป็วิธีที่มักใช้กันมากที่สุดไว้หน้าซึ่งกันและกันทั้งสองฝ่าย ขณะเดียวกันก็เตือนว่าห้ามมีครั้งต่อไปอีกแต่วันหน้าอิ๋งเอ๋อร์จะต้องเป็พระชายาของตวนอ๋องวิธีการเช่นนี้ของพระชายาดูมีเมตตามากเกินไป เว่ยซื่อมองไปทางลูกชาย “เจิ้งชิน แล้วเ้าล่ะ?”
กู้เจิ้งชินก้มหน้าครุ่นคิดเขาได้ยินเสียงกรอบแกรบก็เหลือบตาขึ้นจึงเห็นน้องสาวคนเล็กกำลังกินขนมอย่างมีความสุข
“แม่เฒ่าซุน เอาขนมเข่งกรอบออกไปก่อน” เว่ยซื่อถลึงตาใส่บุตรสาวคนเล็ก
กู้เหยาได้แต่มองแม่เฒ่าซุนอย่างไม่พอใจ
กู้เจิ้งชินเอ่ยขึ้นมาว่า “ลูกไม่ถนัดจัดการเื่ปากหวานก้นเปรี้ยว* ของสตรีพวกนี้ ดังนั้น” เขาเงียบไปไม่พูดต่ออีก
(*หมายถึงต่อหน้าพูดดีแต่ลับหลังชอบว่าร้าย หรือพูดจาอ่อนหวานแต่ไม่จริงใจ)
“ดังนั้นอะไร?” เว่ยซื่อถาม
กู้เจิ้งชินยิ้มอย่างขมขื่น “ดังนั้นในอนาคตลูกจะต้องหาสตรีที่จัดการเื่เหล่านี้ได้ดีมาเป็ภรรยาขอรับ”
กู้เจิงที่กำลังดื่มชาอยู่เกือบจะพ่นชาในปากออกมา
เว่ยซื่อมองลูกชายอย่างไม่อยากจะเชื่อ “หมายความว่ายังไงที่จะหาภรรยาที่จัดการเื่พวกนี้ได้ดี? เ้าอยากให้หลังบ้านของเ้าเกิดเื่เช่นนี้ขึ้นอีกอย่างนั้นหรือ?”
กู้เจิ้งชินชะงักไป เขารีบส่ายหน้า “ไม่ใช่ขอรับไม่ใช่ ลูกไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
ไฟโทสะที่เพิ่งสงบลงของเว่ยซื่อพลันปะทุขึ้นมาอีกครั้งนางมองไปทางกู้เจิง “แล้วเ้าล่ะ?”
กู้เจิงไหนเลยจะกล้าแสดงความเห็นโอ้อวดต่อหน้านายหญิง “ข้าคิดแบบเดียวกับน้องสามเ้าค่ะ”
เว่ยซื่อหงุดหงิดคับแค้นใจจนปวดหัวไม่มีคำตอบใดที่ทำให้นางพอใจได้สักคน นางจึงโบกมือไล่ “พวกเ้าออกไปเถอะ”
กู้เหยาแย่งเอาถุงขนมจากแม่เฒ่าซุนก่อนออกมาด้วย
พวกเขาพากันเดินมาถึงสวนดอกไม้
กู้เจิ้งชินได้ยินเสียงกินขนมของน้องสาว เลยหยิบขนมยัดใส่ปากบ้าง
“พี่รองชอบซิ่วอิง เขาต้องรู้สึกทุกข์ใจมากแน่ๆ” กู้อิ๋งชวนกู้เจิงคุย
“เ้ากับหนิงซิ่วอิงสนิทสนมกันดีมาแต่ไหนแต่ไรเ้าเคยไปเยี่ยมนางบ้างไหม?” กู้เจิงถามขึ้น
กู้อิ๋งส่ายหน้า “ข้ากลัวว่าไปตอนนี้จะไม่เหมาะสมแต่ข้าให้ชิวจื้อฝากจดหมายของข้าไปให้แล้วเชื่อว่าอีกไม่นานก็จะได้จดหมายตอบกลับมาเ้าค่ะ”
กู้เจิงพยักหน้ารับรู้
“ไม่รู้ว่าท่านแม่จะจัดการเื่นี้อย่างไร”
“ใช่ ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน” กู้เจิงนึกถึงเื่ของหงซานวิธีจัดการของเว่ยซื่อในตอนนั้นก็คือโบยสาวใช้คนนั้นจนตาย
หลายปีมานี้ นางกับหวังซู่เหนียงประเมินเว่ยซื่อต่ำไปพูดมาถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกว่าร่างเดิมและหวังซู่เหนียงช่างดวงดีจริงๆที่เว่ยซื่อไม่ได้ลงมือกับพวกนางขนาดนั้น
“พี่ใหญ่” กู้อิ๋งหยุดฝีเท้านางมองกู้เจิงอย่างเขินอาย “ข้าชอบของขวัญมากท่านช่วยปักหมอนแบบนั้นให้ข้าอีกสักคู่ได้ไหมเ้าคะ?”
“หมอนหรือ?”
เห็นกู้อิ๋งหน้าแดงก่ำ กู้เจิงก็ยิ้มพลางพยักหน้า “ได้สิ” ก็แค่หมอนคู่หนึ่งนางไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว
กู้เจิงมาถึงเรือนซู่เหนียงซู่เหนียงก็กำลังรอนางอยู่ที่หน้าประตูแล้ว
การได้เจอลูกสาวทำให้หวังซู่เหนียงรู้สึกมีความสุขอย่างเหลือล้น “เ้าเด็กคนนี้ ทำไมไม่เอาขนมเข่งกรอบมาให้แม่กินด้วยล่ะ”
“ฟันของท่านไม่ดี ข้ากังวลว่าถ้าท่านฟันหักแล้วจะทำยังไง?” กู้เจิงกังวลเื่นี้จริงๆ
หวังซู่เหนียงเองก็ใช่ว่าจะอยากกินจริงๆ นางแค่พูดแหย่กู้เจิงเล่นๆ
“เมล็ดแตงโมมาแล้วเ้าค่ะ” ชุนหงวางเมล็ดแตงโมจานเล็กลงตรงหน้าซู่เหนียงและคุณหนูส่วนตนเองหยิบมากินก่อนแล้ว
“แหม แม่สาวน้อยคนนี้ยิ่งไร้มารยาทเข้าไปใหญ่แล้ว” ซู่เหนียงยกมือขึ้นดีดหน้าผากของชุนหง แม้จะพูดเช่นนี้แต่น้ำเสียงล้วนเต็มไปด้วยความขบขัน
หวังซู่เหนียงแกะเมล็ดแตงโมพลางเอ่ยว่า “คุณชายรองช่างโชคร้ายเสียจริง”
“น่าเสียดายยิ่งเ้าค่ะ” น้องรองปฏิบัติต่อนางดีจริงๆในใจกู้เจิงก็รู้สึกเสียใจแทนเขาเช่นกัน “ซู่เหนียงเ้าคะ เื่เรือนหลักท่านอย่าได้พูดอะไรส่งเดชเลยเ้าค่ะ”
“เห็นแม่เป็คนแบบไหน จะพูดอะไรส่งเดชได้อย่างไร? แต่ข้าก็ต้องแสดงออกถึงความเป็ห่วงของข้าสักหน่อย”
ครึ่งประโยคแรกกู้เจิงฟังแล้วยังโล่งอกอยู่บ้างทว่าครึ่งประโยคหลังนี้ทำเอานางใจเขว “ซู่เหนียงเป็ห่วงยังไงหรือเ้าคะ?”
“แน่นอนว่าต้องไปด่าบุตรสาวตระกูลฟู่ผู้นั้นถึงบรรพบุรุษรากเหง้าสิบแปดชั่วโคตร[1] ต่อหน้านายหญิง นางนับเป็อะไรได้ไม่คิดว่าจะกล้าลงมือกับจวนกู้ของเรา”
กู้เจิง “...” ซู่เหนียงไม่ชอบกู้อิ๋งกับกู้เหยาแต่กับน้องรองนั้นนางรู้สึกไม่เลวเลยทีเดียว
หวังซู่เหนียงกระเถิบเข้าใกล้บุตรสาว พลางกดเสียงต่ำ “เจิงเอ๋อร์ต่อไปจวนป๋อเจวี๋ยของเราจะต้องเป็คุณชายรองมาสืบทอดรับตำแหน่งดูแลรอจนนายท่านอายุร้อยปี คุณชายรองก็จะเป็ผู้หนุนหลังของเราสองแม่ลูกต่อไปเ้าต้องประจบสอพลอน้องชายคนนี้ให้มาก เข้าใจหรือไม่?”
กู้เจิง “...” บิดายังไม่มีแม้แต่ผมขาวสักเส้นแต่ซู่เหนียงกลับวางแผนเตรียมการไว้เร็วยิ่งนัก
------------------------------------------------
[1] บรรพบุรุษรากเหง้าสิบแปดชั่วโคตร เป็คำสบถที่มาจากคำว่า ‘บรรพบุรุษสิบแปดชั่วรุ่น’ มาจากเื่ราวที่ว่า ‘ฉู่หวายหวัง’ ทรยศต่อคำสาบานสาปแช่งของสองแคว้นฉินและฉู่ทั้งสิบแปดชั่วรุ่นโดยการนำพลกองทัพแต่ละแคว้นบุกเข้าโจมตีแคว้นฉินจนยับเยินซึ่งคำกล่าวนี้มีความหมายนัยหนึ่งเป็การใช้อธิบายถึงบรรพบุรุษของคนจีนที่มีมาช้านานแตกย่อยเป็หลายแขนงกับอีกนัยหนึ่งคือใช้เป็คำด่าที่ใช้สบประมาทบรรพบุรุษของผู้อื่น