หลังจากเสียงะโของซูฉีฉีม่อเวิ่นเฉินก็กำกล่องผ้าในมือของตนไว้แน่นก่อนจะขยับตัวอย่างรวดเร็ว หลบมีดบินสองดอกที่ปามาจากกลางอากาศได้อย่างทันท่วงทีจากนั้นชุดคลุมตัวยาวก็สะบัดครั้งหนึ่งก็ปรากฏกระบี่ยาวเล่มหนึ่งขึ้นในมือของม่อเวิ่นเฉิน
เขาแทงลงไปบนเหลยอวี๊เฟิงที่นอนอยู่บนพื้นอย่างแรง
เหลยอวี๊เฟิงที่แต่เดิมเต็มไปด้วยาแบนร่างกายนั้นกลับขยับตัวหลบอย่างรวดเร็วแล้วเด้งตัวลุกขึ้นยืนอีกครั้งมีดบินกว่าสิบดอกปาออกจากมือเขาพุ่งตรงไปยังม่อเวิ่นเฉินและซูฉีฉี
ในดวงตามีประกายแห่งความเย้ยหยันและไอสังหารกระจายออกมาเป็ระลอกๆ
ไอสังหารนั้นพุ่งตรงไปยังซูฉีฉี
ซูฉีฉีถอยหลังกลับไม่ทันนางจึงทำเพียงแค่ยืนอยู่กับที่ปล่อยให้มีดบินนั้นแทงเข้าไปบนตัวนางนางไม่เป็วรยุทธ์แม้แต่น้อย นางไม่สามารถเหาะตัวะโหลบได้ อีกทั้งมีมีดบินปาออกมาอย่างพร้อมเพรียงเช่นนี้นางก็ทำได้เพียงแค่รอคอยความตายแล้ว
ทว่าบนหน้าของนางกลับไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อยในทางกลับกันมันกลับแสดงความไม่ยินยอมออกมา
แน่นอนว่านางไม่ยินยอมที่จะตายไปทั้งอย่างนี้เพราะว่านางนั้นยังไม่ได้ล้างแค้นให้กับมารดาของตน
ในขณะที่มีดบินนั้นถูกปามาทางนางนั้นกระบี่ในมือของม่อเวิ่นเฉินก็พลิ้วไหวดั่งงูที่กำลังเลื้อยไหลอยู่บนพื้นดิน ปัดมีดบินพวกนั้นให้ร่วงลงพื้นและขยับมือไปดึงเอาซูฉีฉีมาโอบไว้ในอ้อมกอดในเวลาเดียวกันเขาขยับตัวเพียงแวบหนึ่งกลางอากาศ ชุดคลุมตัวยาวสะบัดอย่างรุนแรงก่อนที่จะทำการปัดเอามีดบินกลุ่มที่สองลงพื้นอีกครั้ง
ในขณะที่กระบี่และมีดบินกำลังปะทะกันอยู่ในทางนี้คนของทั้งสองฝ่ายก็ได้ออกมาปรากฏตัวแล้วเช่นกัน
กองทหารโลหิตที่ติดตามข้างกายของม่อเวิ่นเฉินก็ได้จัดกระบวนท่าตั้งรับอย่างเรียบร้อยเป็ระเบียบ
ไอสังหารแผ่ออกมาจนปุกคลุมทั่วทั้งพื้นที่
กองทหารโลหิตในตอนนี้จะไม่เสียชื่อของพวกมันอีกอย่างแน่นอน
ไอสังหารและแรงอาฆาตที่เย็นะเืนั้นพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องนภา
หนึ่งเดือนที่มีการฝึกซ้อมอย่างโหดร้ายทารุณเกินมนุษย์นั้นดูจะเป็ผล
อย่างน้อยตอนนี้บนสีหน้าของทุกคนก็ดูมีพลังอันน่าเกรงขามและไฟของการต่อสู้ที่ไม่มีวันดับลง
เมื่อเทียบกับฝั่งตรงข้ามที่แม้จะมีกำลังทหารกว่าหมื่นคนแต่ว่ากลับดูไม่มีพลังเป็หนึ่งเดียวมีความหวาดกลัวและหวั่นเกรงอย่างเห็นได้ชัด
ยังมิต้องเอ่ยถึงกองทหารโลหิตที่อยู่ด้านข้างแค่มีม่อเวิ่นเฉินยืนอยู่ตรงนั้นเพียงผู้เดียวก็ทำให้คนนับหมื่นนั้นต้องขวัญเสีย การมีอยู่ของม่อเวิ่นเฉินนั้นถือเป็เื่มหัศจรรย์เขาเป็เทพแห่งาที่ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อสมรภูมิใดซ้ำยังเป็เทพแห่งความตายอีกด้วย!
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายลองประลองฝีมือกันแล้วก็ล้วนหยุดการกระทำของตนเองลง
ม่อเวิ่นเฉินกอดซูฉีฉีไว้แน่นไม่ปล่อยมือ กระบี่ยาวชูขึ้นขนานอยู่หน้าอกเขาไม่ได้มองไปที่ทหารของฝ่ายตรงข้ามแม้แต่น้อย
“ดูเหมือนว่าเสด็จพี่จะลงมือได้ใจกว้างดีนี่”มุมปากของเขากระตุกขึ้นเป็รอยยิ้มแห่งความกระหายเืและยังแฝงไปด้วยความโหดร้ายและเืเย็นอีกด้วย
มือที่กำด้ามกระบี่อยู่นั้นบีบกระชับขึ้นเบาๆก่อนจะก้มลงมองซูฉีฉีแวบหนึ่ง “วันนี้พวกเราสองสามีภรรยาจะบุกออกไปด้วยกัน”
ประโยคนี้ทำให้ซูฉีฉีสะดุ้งตัวอย่างใในที่สุดเขาก็ยอมรับในฐานะของนางแล้วคำว่าสามีภรรยานี้ดังก้องสะท้อนอยู่ในหัวสมองของนาง
นางเองก็ยื่นมือออกไปโอบรอบเอวของม่อเวิ่นเฉินเช่นกันนางพ่นลมออกจากปากเบาๆ ก่อนจะถามตนเอง ช้าไปหรือไม่? บางทีอาจจะไม่ช้าไป
ตอนนี้นางรู้แล้วว่าเหตุใดวันนั้นม่อเวิ่นเฉินถึงไม่ได้มาช่วยตน
นางนั้นเฉลียวฉลาดมาั้แ่ไหนแต่ไร
“อืม” ซูฉีฉีขานรับเบาๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจนางเชื่อว่าม่อเวิ่นเฉินสามารถพานางออกไปจากที่นี่ได้
“ท่านอ๋องถ้าท่านฉลาดมากพอก็ส่งของออกมา ท่านจะได้ไม่ต้องตายอย่างน่าอนาถนัก” คนที่ปลอมเป็เหลยอวี๊เฟิงเมื่อครู่ก็ยืนตัวตรงอยู่ตรงนั้นเช่นกัน ข้างหลังเขามีพลทหารกว่าหมื่นนายแม้ว่าสภาพของเขาจะดูอเนจอนาถแต่ก็ยังปกปิดไอสังหารและความน่าเกรงขามบนตัวของเขาไว้ไม่มิด
ดูเหมือนว่าคนผู้นี้ก็ไม่ใช่คนธรรมดาเช่นกัน
เขาทำให้ม่อเวิ่นเฉินนั้นรู้สึกตื่นตาตื่นใจมิน้อยนานแล้วที่เขาไม่ได้เจอคนที่จะมาเป็คู่ต่อสู้ของเขาได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสนามรบ
คนตรงหน้านั้นมีความน่ายำเกรง มีท่วงท่าสง่างามราวกับแม่ทัพใหญ่
“ขอบคุณที่เตือนแต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยชอบถูกข่มขู่จากผู้อื่น” ม่อเวิ่นเฉินแสดงสีหน้าไม่ใส่ใจมุมปากของเขากระดกขึ้น เขาในสถานการณ์เช่นนี้กลับยิ้มออกมาได้
สีหน้าของเหลิ่งเหยียนยังคงไม่เปลี่ยนแปลงนึกถึงเมื่อก่อนตอนที่แม่ทัพใช้พลทหารหนึ่งพันนายบุกโจมตีทหารฝ่ายศัตรูกว่าแสนคนจนล่าถอยทำให้เขาได้รับฉายาเทพแห่งามา ตอนนี้สามารถยืมเอาแรงของคนพวกนี้มาทำให้ฉายาของเขากลับมาดังสนั่นอีกครั้งแล้ว
เหลยอวี๊เฟิงตัวปลอมนั้นกลับไม่รู้สึกแปลกใจอะไรเขารู้อยู่แล้วว่าคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคนั้นอย่าคิดว่าจะข่มขู่ม่อเวิ่นเฉินได้
เขาพยักหน้าและยิ้มบางๆ พลางยกมือขึ้นขยับเบาๆเป็การออกคำสั่ง
พลทหารที่อยู่ด้านหลังเขาก็ขยับตัวแล้วการเคลื่อนไหวของพวกเขานั้นไม่เร็วนัก พลธนูยืนขนานออกมาเป็เส้นตรงลูกธนูล้วนเล็งเป้าไปที่ม่อเวิ่นเฉินและซูฉีฉีอย่างแม่นยำ
และเหลยอวี๊เฟิงตัวปลอมก็กวาดตาไปมองซูฉีฉีครั้งหนึ่งอย่างไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่แสงแห่งความสนุกตื่นเต้นกระพริบอยู่ในดวงตาของเขาจากนั้นเขาก็ดึงปลายแขนเสื้อของตัวเองขึ้น
เมื่อครู่หากมิใช่เพราะเสียงะโของซูฉีฉีกล่องผ้าใบนั้นก็คงจะอยู่ในมือแล้ว
แน่นอนว่าม่อเวิ่นเฉินนั้นไร้เทียมทานทว่าเมื่อเพื่อนที่ดีที่สุดของเขานั้นอยู่ในมือของศัตรูเขาก็จะไม่สงบนิ่งและชาญฉลาดเหมือนเช่นเคย ยังคงเป็ห่วงจนว้าวุ่นใจได้
ทว่าสตรีผู้นี้กลับไม่ว้าวุ่นแม้ยามเผชิญหน้ากับอันตรายเพียงแวบเดียวก็มองออกทุกสิ่งอย่าง
ช่างน่านับถือจริงๆ
สตรีเช่นนี้แม้จะไม่เหมาะที่จะอยู่เคียงหมอนแต่กลับเหมาะที่จะอยู่เป็คนข้างกาย
“ยิงลูกธนูเถิด”ม่อเวิ่นเฉินเพียงแค่เบิกตาขึ้นครั้งหนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งและเอ่ยออกมาเสียงดังเขาไม่เห็นฝ่ายตรงข้ามอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
หลังจากท่าทางของฝ่ายตรงข้ามเมื่อครู่เหลิ่งเหยียนและกองทหารโลหิตก็เดินออกมาข้างหน้าหลายก้าวบนมือของทุกคนมีโล่อยู่อันหนึ่ง มันสว่างสะท้อนจนทำให้คนต้องแสบตา
ทว่าม่อเวิ่นเฉินกลับยืนอยู่ด้านหน้ากองทหารพร้อมซูฉีฉีในอ้อมกอดเหมือน้าจะตกเป็เป้าธนูก็มิปาน
สำหรับการกระทำของม่อเวิ่นเฉินนั้นซูฉีฉีไม่เข้าใจแต่นางก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา นางสงบนิ่งเสมือนเื่นี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองแม้แต่น้อย
“ฉึกๆๆ...”
เสียงขนนกที่ปลายธนูดังสนั่นอยู่ข้างหู
และในจังหวะที่ลูกธนูถูกปล่อยออกจากสายธนูนั้นกองทหารโลหิตก็ได้ขยับตัวแล้ว พวกเขาเป็เสมือนปีกขนาดยาวที่กระพือขึ้นพร้อมกันท่าทางของพวกเขาพร้อมเพรียง โล่ในมือนั้นได้ต้านทานลูกธนูที่ปล่อยออกมาจนหมด
กลุ่มละสิบคนในขณะที่คนกลุ่มแรกบังลูกธนูอยู่นั้น คนกลุ่มที่สองก็ะโข้ามคนกลุ่มแรกไปจากนั้นคนกลุ่มแรกก็ะโข้ามไปต่อ เป็อย่างนี้ไปเรื่อยๆทั้งสิบกลุ่มก็ไปยืนอยู่ตรงหน้าพลธนูของฝ่ายตรงข้ามเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่เท้าััพื้นมือของพวกเขาก็ปลิดชีวิตของพวกพลธนูให้ซากศพของพวกเขาจมกองอยู่ในทะเลแห่งเืนี้
และในเวลาเดียวกันม่อเวิ่นเฉินก็ได้ขยับตัวแล้วไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาไปอยู่ตรงหน้าเหลยอวี๊เฟิงตัวปลอมั้แ่เมื่อไหร่กระบี่ของเขาเคลื่อนไหวดุจเชือกพันธนาการแต่ก็แข็งแกร่งดุจโลหะ มันเอียงตะแคงพุ่งตรงไปที่ลำคอของเหลยอวี๊เฟิงตัวปลอม
เหลยอวี๊เฟิงตัวปลอมเองก็ทำามาเป็เวลานานเช่นกันทว่าเขากลับไม่เคยเห็นผู้ใดมีรูปแบบการสู้รบที่แปลกเท่ากองทหารโลหิตมาก่อนเขาได้แต่อึ้งตะลึง วินาทีต่อมาเขาก็รีบตะแคงตัวกลิ้งลงบนพื้นรอบหนึ่ง
ถึงจะหลบกระบี่ที่แทงมาของม่อเวิ่นเฉินได้อย่างหวุดหวิด
กระบี่นั้นถ้าหากแทงโดนเขาเมื่อครู่เกรงว่าชีวิตเขาคงต้องจบลงที่นี่เป็แน่
หลังจากที่เขากลิ้งบนพื้นรอบหนึ่งเขาก็ขยับขาถีบตัวเองให้ลุกขึ้น จากนั้นก็ออกแรงะโ แขนเสื้อสะบัดเบาๆ ก็ปรากฏมีดบินจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตัวออกมาจากกลางอากาศท่าทางของเขาเสมือนหญิงสาวกำลังโปรยดอกไม้ก็มิปานงดงามยิ่งแต่ก็อันตรายเป็อย่างมากเช่นกัน
ซูฉีฉีเงยหน้าขึ้นมองมีดบินที่อยู่เต็มท้องฟ้าราวกับเม็ดฝนก็มิปานแสงสว่างในดวงตาของนางหายไปในทันที นางกอดเอวของม่อเวิ่นเฉินไว้แน่นแต่สีหน้ากลับไม่มีความหวั่นกลัวแม้แต่น้อย
แม้แต่ความตายนางยังไม่กลัวยังจะมีอันใดให้กลัวอีก
กระบี่ร่ายรำออกมาเป็วงแสงรอบหนึ่งม่อเวิ่นเฉินนั้นไม่รีบไม่ร้อน เขาปัดมีดบินเ่าั้ให้ตกลงพื้นพลางขยับไปข้างหน้าสำหรับฝีมือการต่อสู้ของลูกน้องนั้นเขาไม่รู้สึกกังวลใจเลย
มีเหลิ่งเหยียนอยู่ เพียงพอแล้ว
เหลยอวี๊เฟิงตัวปลอมสะบัดมีดบินออกจากแขนเสื้อพลางค่อยๆก้าวถอย สำหรับการบุกโจมตีของม่อเวิ่นเฉินนั้นทำให้ความสงบนิ่งแต่เดิมของเหลยอวี๊เฟิงตัวปลอมนั้นมลายหายไปแล้วคนผู้นี้เป็ดั่งคำล่ำลือจริงๆ เขามันไม่ใช่คน!
มีดบินที่ปาออกมาถี่ๆ เช่นนี้ั้แ่เขาออกท่องยุทธภพมานั้นก็ไม่เคยมีผู้ใดมีชีวิตรอดผ่านมันไปได้ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการบุกโจมตีเข้ามาเช่นคนเบื้องหน้านี้
เหงื่อเย็นผุดออกมาบนหน้าผากของเขาแล้วเหลยอวี๊เฟิงตัวปลอมตอนนี้ถึงจะรู้ว่าการจะเอาป้ายคุมทหารนั้นต้องแลกมาด้วยอะไรที่โหดร้ายเช่นนี้
เกรงว่าครั้งนี้จะต้องเสียทั้งกำลังเสียทั้งอำนาจเสียแล้ว
เขานั้นไม่มีเวลาไปสนใจการต่อสู้เบื้องล่างอีกแล้วตอนนี้ทำได้เพียงแค่กระหน่ำสะบัดแขนเสื้อของตน
ผู้คนขนานนามเขาว่าเป็พระพุทธรูปพันมือ ตอนนี้เกรงว่าจะได้กลายเป็พระพุทธรูปจริงๆเสียแล้ว
“เ้าสำนักเหลยอยู่ที่ใด?”ม่อเวิ่นเฉินถามออกมาเสียงเย็น ช่องว่างระหว่างพันลี้ของพวกเขามีเพียงมีดบินเท่านั้น