อวี๋มู่สังเกตเห็นอารมณ์ที่คุกรุ่นของเยี่ยจิ่วหลาน พลางช้อนตาขึ้นมองชายหนุ่มและหญิงสาว
แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ลงมา”
เพียงแค่คำนี้ ลมปราณฟ้าดินก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวขึ้นอย่างรุนแรง ห้วงอากาศรอบตัวจักรพรรดิและจักรพรรดินีเริ่มบิดเบี้ยวและมีแรงกด ทำให้พวกเขาต้องใช้พลังต้านเต็มที่เพื่อไม่ให้ดูน่าอายเกินไป
พวกเขามองดูใบหน้าเยือกเย็นที่อยู่เบื้องล่าง ปรมาจารย์ชุดขาวที่อ่านอารมณ์รักโลภโกรธหลงไม่ออก พลันความรู้สึกเย็นะเืก็มาเยือนในจิตใจ พวกเขารีบลงมายืนบนพื้น แล้วเผชิญหน้ากับอวี๋มู่
อวี๋มู่: “ข้าไม่ชอบแหงนหน้าพูดคุยกับผู้ใด”
[ฮ่าๆๆๆๆ โฮสต์ครับ คุณเสแสร้งได้สมจริงสุดๆ เยี่ยมยอดไปเลย!]
อวี๋มู่ไม่ได้มีท่าทีอันใด เพียงแต่จ้องมองคนทั้งสองตรงหน้า แล้วเอ่ย “ข้าไม่สนว่าระหว่างพวกเ้ากับเขาเป็ความสัมพันธ์อะไรกัน วันนี้ข้าจะพาตัวเขาไป พวกเ้า เข้าใจหรือไม่? ”
ปรมาจารย์แห่งใต้หล้าเป็ผู้เก่งกาจเป็เลิศในแดน์ เขาและสำนักกระบี่ใต้หล้ายิ่งนับได้ว่าเป็ดาบปะาที่จ่ออยู่ตรงคอของจักรพรรดิ
หากไม่ใช่เพราะอวี๋มู่นั้นอยู่ในหนทางไร้ซึ่งจิต หาได้ใส่ใจกับเื่ชื่อเสียงเ่าั้ ตำแหน่งจักรพรรดิคงไม่มีทางหลุดมาถึงชายคนตรงหน้านี่ได้
สีหน้าของจักรพรรดิเองก็เยือกเย็นลง เขาเอ่ย “ปรมาจารย์ เขาเป็บุตรชายของข้า และเป็ความอัปยศที่หลงเหลือจากการถูกครอบงำจากนางปีศาจงู ข้าจะจัดการเช่นไรก็คงไม่ต้องให้ถึงมือคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับเื่นี้เช่นเ้ามายุ่งหรอก ใช่หรือไม่? ”
อวี๋มู่ถาม “ดังนั้น เ้า้าสังหารเขาหรือ? ”
เยี่ยจิ่วหลานจ้องมองจักรพรรดิตรงๆ ได้ยินชายคนที่เรียกขานเขาว่าบุตรชายเมื่อสักครู่ ให้คำตอบอย่างไม่เสียเวลาครุ่นคิดว่า ‘ใช่’
ความหวังเส้นสุดท้ายถูกทำลายลง ตอนนี้เยี่ยจิ่วหลานเหลือเพียงความชิงชังต่อทั้งสองคนตรงหน้า
เขาต้องแก้แค้น ต้องให้จักรพรรดิและจักรพรรดินีจ่ายคืนอย่างสาสม!
“แล้วถ้าหากว่าข้าไม่ยินยอมล่ะ? ”
น้ำเสียงของอวี๋มู่ยังคงราบเรียบ แต่จักรพรรดิกับจักรพรรดินีรับรู้ได้ถึงความอันตราย
จักรพรรดินีคัดค้านเสียงเ็า “ปรมาจารย์ นี่เป็เื่ราวของครอบครัวเรา การที่เ้าจะพาเ้าเดรัจฉานนี่จากไปต่อหน้าพวกข้าอย่างง่ายดายเช่นนี้ เ้าคิดว่ามันเหมาะสมแล้วหรือ? ”
“เหมาะสม”
“…”
[ฮ่าๆๆๆๆๆ!] ระบบะเิหัวเราะออกมา
อวี๋มู่ชายตาขึ้น “หรือไม่พวกเ้าลองบอกเงื่อนไขมา ข้าจะพิจารณาว่าจะตอบตกลงหรือไม่”
ความหมายนี้ของเขาชัดเจนมากแล้ว ว่าห้ามปฏิเสธ
สามารถมีโอกาสออกเงื่อนไขนับว่าเมตตาอย่างหาที่สุดไม่ได้แล้ว
จักรพรรดิยังจะกล่าวต่อ แต่กลับถูกจักรพรรดินีดึงไว้
หญิงสาวเผยรอยยิ้มออกมา แล้วเอ่ย “ปรมาจารย์ หากข้าบอกว่าจะให้ท่านไปที่ลานลงทัณฑ์แล้วปิดผนึกพลังห้าส่วนตลอดกาล ท่านจะตอบตกลงหรือไม่? ”
เมื่อนางกล่าวออกมา คนที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันตกตะลึง
เยี่ยจิ่วหลานไม่ได้รู้จักอวี๋มู่ เพียงแต่เขาเห็นจักรพรรดิกับจักรพรรดินีล้วนเกรงกลัวชายผู้นี้ แล้วยังได้ยินเหมือนเขากำลังช่วยเหลือตนเอง ยากเย็นกว่าที่ใจจะเริ่มมีหวังขึ้นมา แต่แล้วก็ถูกคำพูดของจักรพรรดินีทำลายจนดับมอด
เยี่ยจิ่วหลานทราบดีว่าพลังสำหรับคนบนแดน์เหล่านี้นับว่าสำคัญมาก อีกฝ่ายกับเขาก็หาได้เป็ญาติสนิทมิตรสหาย แล้วจะปิดผนึกพลังของตัวเองเพื่อเขาได้อย่างไร?
แต่เขาไม่ได้รอนานนัก ก็ได้ยินชายที่มีสีหน้าเยือกเย็นตอบกลับมา
“ตกลง”
อวี๋มู่ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับพลังมากนัก ตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาใส่ใจคือต้องทำภารกิจให้สำเร็จ
ดังนั้นจึงสามารถพูดได้ว่า เขากำลังทำดีกับเยี่ยจิ่วหลานอย่างตรงตามหลักเกณฑ์อย่างมาก
คนบนแดน์ต่างรู้โดยทั่วกันว่า ปรมาจารย์แห่งใต้หล้าไม่เคยพูดปด จักรพรรดิกับจักรพรรดินีเองก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะตอบตกลงจริง ขณะนั้นถึงกับทำตัวไม่ถูก
อวี๋มู่ไม่ได้ใส่ใจคนทั้งสอง เพียงหันหลัง แล้วเอ่ยกับเยี่ยจิ่วหลาน “หาก้าไปกับข้าขอให้ผงกหัว”
เขารู้อยู่แก่ใจว่าเยี่ยจิ่วหลานนั้นไม่มีพลังหลงเหลืออยู่แล้ว ทั้งยังถูกทรมานร่วมร้อยปี การที่สามารถทนจนมีสติได้เช่นนี้นับว่าไม่เลว จึงไม่ได้ฝืนให้เขากล่าว
เมื่อเห็นเยี่ยจิ่วหลานผงกหัว อวี๋มู่จิ้มที่ศีรษะของเ้างูเหลือมสีดำ แล้วขนาดตัวของเขาก็หดเล็กลงเท่านิ้วมือ จากนั้นอวี๋มู่ก็แบฝ่ามือออก แล้วเอ่ยกับเขา “คลานขึ้นมา ข้าจะพาเ้าไปเอง”
เยี่ยจิ่วหลานหดตัวอยู่บนฝ่ามือของเขาอย่างว่าง่าย เหลือเพียงก้อนเล็กนิดเดียว ขดตัวไว้ ดูอ่อนเพลีย ยามนี้ประสาทััทั้งห้าของอวี๋มู่กำลังตื่นตัว
เขาสามารถััได้ถึงความเย็นเฉียบและเปียกชุ่มบนฝ่ามือ พอมองดูดวงตาคู่กลมของงู พบว่าเยี่ยจิ่วหลานนั้นร้องไห้
ไม่มีเสียงใด มีเพียงน้ำตาไหลริน มองดูแล้วช่างน่าสงสาร
อวี๋มู่มองเขาที่เป็เช่นนี้ จนท้ายที่สุดก็เอ่ยคำพูดหนึ่ง “ต่อไปข้าจะไม่ปล่อยให้ใครทำร้ายเ้าอีก”
เยี่ยจิ่วหลานรู้สึกสะท้านในใจ เขาช้อนตางูที่น้ำตาคลอเบ้าขึ้นมองชายหนุ่มตรงหน้า ราวกับว่าอยากจดจำใบหน้าของอวี๋มู่ไว้ให้ขึ้นใจ
จากนั้นค่อยเบนศีรษะออก แต่กลับซุกเข้าหาความอบอุ่นของฝ่ามือชายหนุ่มเบาๆ แสดงท่าทีพึ่งพาและเชื่อมั่นต่อคนแปลกหน้าคนนี้
สังเกตเห็นคะแนนหัวใจห้าดวงเหนือศีรษะของเยี่ยจิ่วหลานสว่างขึ้นมาหนึ่งดวงอย่างเงียบๆ อวี๋มู่เก็บมือ แล้วมองไปทางจักรพรรดิและจักรพรรดินี
“ห้าวันให้หลังข้าจะไปที่ลานลงทัณฑ์เพื่อปิดผนึกพลัง” เขาถาม “ตอนนี้ข้าสามารถพาเขาไปได้หรือยัง? ”
จักรพรรดิกับจักรพรรดินีไม่มีเหตุผลที่จะไม่ตอบตกลง
พวกเขาเกรงกลัวปรมาจารย์แห่งใต้หล้าไม่ใช่เพียงแค่วันสองวัน หากว่าอีกฝ่ายยินยอมไปปิดผนึกพลังห้าส่วน อย่างนั้นก็ต่อกรด้วยง่ายขึ้นมาก ใช้ชีวิตสัตว์เดรัจฉานตัวเดียวแลกกับผลประโยชน์มากมายมหาศาลเช่นนี้ ใครจะไม่ตกลง
เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ขวาง อวี๋มู่ก็ซุกเ้างูน้อยเข้าในอ้อมอก แล้วใช้พลังปราณคุ้มกันไว้ เพียงแค่นึกคิด ชั่วขณะจิตก็กลับไปถึงอู๋วั่งซานแล้ว
ศิษย์เอกของเขา หลิงเฟิงจัดแจงเื่ที่พักของเขาไว้เรียบร้อยแล้ว อวี๋มู่มองดูผืนป่าไผ่สีเขียวตรงสวนที่เลี้ยวลดคดเคี้ยวไปตามทางเดินที่เป็ก้อนหินเล็ก พลันจิตใจของอวี๋มู่ก็ยิ่งรู้สึกสงบลง
เขาแบฝ่ามือออก เยี่ยจิ่วหลานชูศีรษะเล็กสีดำขึ้นมาค่อยๆ หันซ้ายแลขวา รู้สึกฉงนใจ
อวี๋มู่วิเคราะห์สภาพร่างกายของอีกฝ่ายตอนนี้ ไม่สมควรบำรุงด้วยโอสถปราณหรือผลปราณ แต่ยาแปลงกายที่ผลลัพธ์อ่อนโยนกว่าน่าจะกินได้
เขาคิดอยู่ว่าอย่างน้อยต้องเปลี่ยนเยี่ยจิ่วหลานให้กลับเป็ร่างเดิมให้ได้ อวี๋มู่วางเยี่ยจิ่วหลานลงบนพื้น แล้วจิ้มที่หน้าผากของเ้างูอีกหน เ้างูน้อยก็ค่อยๆ กลายร่างเป็งูเหลือมสีดำยาวครึ่งเมตร
อวี๋มู่เอ่ยเสียงเ็า “กินเสีย”
[โฮสต์ครับ น้ำเสียงของคุณออกจะแข็งไปหน่อยไหมครับ! เขายังเป็แค่เด็ก อย่าทำให้เขาใสิ!]
อวี๋มู่: …เด็กอายุสามร้อยขวบ?
[ก็ใช่นะสิ เผ่าปีศาจอายุหนึ่งร้อยห้าสิบปีถึงจะเริ่มเปิดจิตรับรู้ อีกทั้งพัฒนาการค่อนข้างช้า สามร้อยปีเดาว่าเท่ากันกับอายุสิบสามสิบสี่ในยุคปัจจุบัน ยังเด็กมาก]
อวี๋มู่: แต่ตอนนี้ฉันมีอุปสรรคคือแววตา สีหน้ากับความรู้สึก และน้ำเสียงที่พูดก็ไม่ใช่สิ่งที่ฉันสามารถควบคุมได้
[…ก็ถูกครับ โลกนี้ช่างน่าระอาจริงๆ เลย]
เยี่ยจิ่วหลานสำรวจสีหน้าของอวี๋มู่อย่างระมัดระวัง เขาเชื่อว่าชายคนนี้ไม่หลอกลวงเขา เพราะว่าเขาเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายสามารถสังหารเขาได้อย่างง่ายดาย ไม่มีทางลงมือทำเื่พวกนี้แน่นอน
เขาเกี่ยวยาแปลงกายเข้าปากอย่างว่าง่าย หลังจากกลืนลงไปก็เริ่มรู้สึกถึงความร้อนผ่าวภายในร่างกาย ต่อมาก็เริ่มเ็ป ราวกับว่ามีสิ่งของบางอย่างกำลังทะลุิัของเขา
เยี่ยจิ่วหลานเ็ปจนเกลือกกลิ้งอยู่บนเขา อวี๋มู่กดนิ้วเข้าที่จุดลมปราณของอีกฝ่าย แล้วส่งพลังปราณให้ เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม ในที่สุดเยี่ยจิ่วหลานก็แปลงกายอยู่ในร่างมนุษย์ แขนขาเรียวยาวขาวนวลเนียนละเอียด ผมยาวพาดลงมาจนถึงขาที่เปลือยเปล่า เขาเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นถึงดวงตาคล้ายเมล็ดอัลมอนด์เป็ประกายสวยงามสีทองเข้ม ใบหน้ายังมีความอ่อนเยาว์คล้ายเด็กทารก แต่สามารถจินตนาการภาพตอนเขาเติบโตได้ว่าอีกหน่อยใบหน้างดงามนี้จะสวยงามเพริศพริ้งมากมายเพียงใด
ทว่ามีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ความสวยงามนั้นไม่สมบูรณ์แบบก็คือาแตื้นลึกเ่าั้บนตัวเขา แม้ว่าจะห้ามเืแล้ว แต่ยังคงเห็นแผลภายนอก ทำให้ผู้พบเห็นต้องใ
เพราะว่าหลังจากแปลงกายนั้นยังไม่ได้สวมเสื้อผ้า เยี่ยจิ่วหลานจึงโอบแขนตัวเองไว้แน่นอย่างน่าอดสู เขาขดตัวเองเป็ก้อนกลม แล้วใช้ผมดำขลับปกคลุมร่างกายไว้ โดยไม่กล้ามองอวี๋มู่
เขารู้สึกว่าเทียบกับปรมาจารย์ที่สะอาดบริสุทธิ์ดุจน้ำพุจากเทือกเขาสูงแล้ว ตัวเองนั้นช่างโสโครกและต่ำต้อย
นี่มันช่าง...ไม่อาจอุปมาได้
อวี๋มู่ไม่ทราบความคิดของอีกฝ่าย พอเห็นเยี่ยจิ่วหลานเปลือยกาย จึงหยิบเสื้อผ้าออกจากวงแหวนเก็บของของตัวเองออกมาหนึ่งชุด เขากางออก นั่งลง แล้วห่มลงบนตัวหนุ่มน้อย บังคับให้เยี่ยจิ่วหลานสบตากับเขา เพื่อฟังเขากล่าว
“ข้าชื่ออวี๋มู่ เป็เ้าของอู๋วั่งซาน ในแดน์เรียกข้าว่าปรมาจารย์แห่งใต้หล้า” เขาแนะนำตัวเองสั้นๆ กับเยี่ยจิ่วหลาน ก่อนสุดท้ายจะเอ่ยถาม “เ้าอยากคำนับข้าเป็อาจารย์หรือไม่? ”
เยี่ยจิ่วหลานสบตากับเขาตรงๆ จากั์ตาของอวี๋มู่เขาไม่เห็นถึงความชั่วร้ายหรือเ้าเล่ห์เพทุบายแต่อย่างใด แต่ก็ไม่เห็นอารมณ์ความรู้สึกอื่นใดเช่นกัน ราวกับว่าเื่ทั้งหมดเพียงแค่ทำตามที่อีกฝ่ายบอกก็เป็พอ
ส่วนสิ่งที่ตัวเองสามารถทำได้คือแค่น้อมรับตาม
คนเช่นนี้ ทำไมถึงต้องช่วยเหลือตัวเองด้วย?
แล้วทำไมถึงยอมปิดผนึกพลังห้าส่วนเพื่อเขา?
เยี่ยจิ่วหลานที่อายุยังน้อยไม่อาจเข้าใจ แต่เขากลับรู้สึกว่า ตอนนี้เขาไม่มีอำนาจจะปฏิเสธ
อีกทั้ง ตัวเขาเองก็ไม่อยากปฏิเสธด้วยเช่นกัน
เพราะชายคนนี้ที่ชื่ออวี๋มู่ เป็คนที่ทำดีกับเขาเป็คนแรกนอกเหนือจากท่านแม่ และยังเป็คนที่ช่วยเหลือเขาให้หลุดพ้นจากความทรมานที่ไม่มีที่สิ้นสุด
เขาอยากเริ่มปฏิสัมพันธ์กับอวี๋มู่ ไม่ว่าจะเป็ความสัมพันธ์ใดก็ตาม เขาอยากเก็บคนผู้นี้ไว้ข้างกาย
กระนั้น เขาก็อ้าปาก เพื่อส่งเสียงที่ไม่ได้พูดมานานให้มันได้เคลื่อนไหวอีกครั้ง ยากเย็นกว่าจะเค้นคำพูดหนึ่งออกมาได้ “อยากขอรับ”
อวี๋มู่ช่วยเขาสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย แววตาและสีหน้าราบเรียบ “เช่นนั้นเรียกข้าว่าอาจารย์สิ”
เยี่ยจิ่วหลานรู้สึกเขินอายกับการกระทำของอวี๋มู่ที่ดูแลเขา แต่เมื่อเห็นสีหน้าไร้ความรู้สึกของชายหนุ่ม ความเขินอายของเขาก็เห็นได้ชัดว่าเป็การคิดมากไปเอง
เขาเม้มปาก พลางข่มอารมณ์ลึกๆ ในใจ ส่งเสียงแหบพร่า แล้วขานเรียกอวี๋มู่
“อา จารย์...”
ครูฮะ
ทันใดนั้นก็นึกถึงเหลียงเสี่ยวหาน อวี๋มู่ชะงักมือโดยพลัน แต่ก็รีบขจัดความคิดในใจ แล้วกลับคืนสู่ลักษณะท่าทางราบเรียบ
เขามองดูคะแนนความประทับใจเหนือศีรษะของเยี่ยจิ่วหลานที่เพิ่มขึ้นเป็หนึ่งดวงครึ่งภายในระยะเวลาอันสั้น คำนวณในใจได้ว่าคงได้จากไปในเวลาอันรวดเร็วแน่
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
