“เ้าจะไปที่หุบเขาหลิงหยุนงั้นเหรอ?”
ปู้เสวียนยินวางเอกสารที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะพลางเงยหน้าขึ้นมองข้า ั์ตามีความประหลาดใจแฝงอยู่เล็กน้อย
“ทำไม ไม่ได้เหรอ?”
“มันก็ไปได้อยู่หรอก แต่ดูจากพลังของเ้าตอนนี้อย่างมากก็แค่รอบนอกของยอดเขาชั้นที่สองเท่านั้น” นางถอนหายใจยาวแล้วพูดต่อ“ยอดเขาชั้นที่สิบและชั้นที่เก้าล้วนมีผู้ฝึกฝนิญญาและนักล่าสัตว์เต็มไปหมดป่านนี้โสมโลหิตและหญ้าต่างๆ คงถูกขุดไปจนหมดแล้วล่ะอีกอย่างที่แบบนั้นคงมีทั้งัและงูเงี้ยวเต็มไปหมดยิ่งพลังของเ้ามาเสียหายหนัก ถ้าเป็ครึ่งเดือนก่อนข้าคงสบายใจกว่านี้ อย่างน้อยก็ไปได้ถึงชั้นที่ห้าแต่ตอนนี้...ถึงไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
ข้ายิ้มพลางพูดมีเลศนัย“ท่านพี่ ท่านก็พาข้าเข้าไปดูก่อนสักรอบสิให้ข้ารู้ว่าหุบเขาหลิงหยุนรูปร่างหน้าตาเป็อย่างไร อยู่ที่ไหนพอเริ่มรู้ทางเดี๋ยวข้าค่อยไปด้วยตัวเอง ว่าแต่ท่านพอจะมีเวลาไหม?”
“อันนี้ข้า…”
ปู้เสวียนยินลุกจัดกระโปรงก่อนจะเรียกสวี่ลู่เข้ามา“สวี่ลู่ เ้าเข้ามานี่หน่อย”
“ท่านรองเ้าสำนักมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือ?”
“ข้าจะพาเสี่ยวเชวียนไปที่หุบเขาหลิงหยุน ธุระต่างๆทั้งหมดของวันนี้เลื่อนออกไปก่อน ส่วนทีมสัมภาษณ์จากสำนักปราชญ์วรยุทธ์เ้าก็ไปดูแลต้อนรับแทนข้าด้วย เดี๋ยวข้าจะต้องออกเดินทางแล้ว”
“ค่ะ”
สวี่ลู่หยิบเสื้อคลุมที่สั่งทำพิเศษสำหรับเทพศาสตราวุธหญิงโดยเฉพาะแล้วสวมคลุมไว้ที่ไหล่ให้แก่พี่เสวียนยิน พลางเอ่ยขึ้น “ขอให้สนุกนะ ฮี่ๆ ...”
หุบเขาหลิงหยุนเป็เขตหวงห้ามที่ทุกคนหวาดกลัวไม่ต่างอะไรจากลานปะาทว่าสวี่ลู่และพี่เสวียนยินกลับไม่มีทีท่าหวาดหวั่นแต่อย่างใด
...
เมื่อเดินออกจากประตูสำนักสายลมจากด้านหลังเข้าพัดชายเสื้อคลุมของเทพศาสตราวุธหญิงให้ปลิวขึ้นช่างเป็ภาพที่งดงามผิดกับเสื้อผ้าที่ดูซ่อมซ่อของข้าอย่างสิ้นเชิง
“ท่านพี่พวกเราไม่นั่งรถไปเหรอ?” ข้าถามขึ้นเพราะเห็นรถยังจอดอยู่ที่เดิม
“นั่งสิแต่เราจะนั่งรถไฟไป ไม่ใช่รถยนต์นั่น”
ท่านพี่ยิ้มบางแล้วอธิบาย“รถยนต์นั้นช้าเกินไป เมืองหลินเสี่ยเฉิงมีเส้นทางเฉพาะสำหรับไปหุบเขาหลิงหยุนอยู่ใช้เวลาเดินทางเพียงสองชั่วโมงก็ถึงเมืองหลิงหยุนเฉิงและจากตัวเมืองไปที่หุบเขาอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง
นางเอียงคอเล็กน้อยแล้วถามกลับ“เ้ายังพอมีแรงอยู่ใช่ไหม? หุบเขาหลิงหยุนอยู่ไกลออกไปถึงยี่สิบลี้วันนี้พวกเราต้องเดินเท้าอีกประมาณร้อยลี้เลยทีเดียวแหละ
“พอสิ!”ข้าตอบอย่างมั่นใจ “ข้าแค่ถูกสลายชีพจริญญา แต่ร่างกายและจิตใจยังคงอยู่อีกอย่างตอนนี้ร่างกายของข้าหลอมรวมได้สมบูรณ์แบบแล้วถ้าเทียบกับตอนที่อยู่เขตชางเป่ยที่ต้องวิ่งวันละไม่ต่ำกว่าสี่ร้อยลี้การเดินทางไกลครั้งนี้ก็แค่บททดสอบเท่านั้น”
“ในที่สุดเ้าก็ยอมพูดเื่ที่เขตชางเป่ยแล้วสินะ?”
ปู้เสวียนยินหัวเราะก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงเบา“เสี่ยวเชวียน สรุปแล้วเ้าจะบอกข้าได้หรือยังว่าตลอดระยะเวลาสามปีที่เขตชางเป่ยเ้าไปเจอกับอะไรมาบ้าง”
ข้าชะงักไปครู่หนึ่ง“จริงๆ ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่ต้องฆ่าคนซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวันเพราะถ้าไม่ทำแบบนั้นก็ต้องถูกฆ่าเสียเอง ตลอดสามปีที่นั่นข้าใช้ชีวิตเหมือนกับตายทั้งเป็”
“ใช้ชีวิตแบบตายทั้งเป็เหมือนจอมยุทธ์ดำขาวพวกนั้นเหรอ?” นางยิ้มอย่างมีเลศนัย
ข้าได้แต่ขมวดคิ้วไม่พูดอะไร
“ก็ได้ๆถ้าเ้าไม่อยากพูด ข้าก็จะไม่คาดคั้นสามปีนั้นคงเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เลวร้ายมากแน่ๆ”
“อืม...”ข้ารู้สึกอึดอัดอยู่ลึกๆ จึงย่อมเอ่ยปาก “สามปีที่อยู่นั่น คนที่ข้าเคยเจอส่วนใหญ่ล้วนถูกฆ่าภายใต้กระบี่คมจันทราเล่มนี้ทั้งนั้นเดิมทีข้านึกว่าตัวเองเป็สุภาพบุรุษ ทว่าสามปีหลังจากนั้นข้าไม่สามารถมองตัวเองเหมือนเดิมได้อีกเลย...”
ปู้เสวียนยินมองตอบด้วยแววตาที่อ่อนโยน“ใครว่ากันล่ะ? ถ้ามีคนจะฆ่าเ้าเ้าก็ต้องป้องกันตัวก็ถูกต้องแล้วสำหรับผู้ฝึกฝนิญญาการใฝ่หาพลังและความแข็งแกร่งเป็สิ่งที่ต้องทำเ้าอย่าโทษตัวเองเลย...ไปกันเถอะสุดทางเดินตรงนั้นก็ถึงรถไฟสายเฉพาะของสำนักหมื่นิญญาแล้วล่ะ”
“อืมไปกัน!”
...
ณ ปลายสุดทางเดินรถไฟขบวนหนึ่งกำลังขับเคลื่อนเข้ามารับผู้โดยสารโดยรถไฟสายนี้จะเข้าเทียบชานชาลาทุกๆ หนึ่งชั่วโมงและมีปลายทางคือเมืองหลินเสี่ยเฉิงซึ่งห่างออกไปสามร้อยลี้
ด้านนอกสถานีรถไฟมีหน่วยทหารพิเศษยืนเฝ้าอยู่เต็มไปหมดเมื่อพวกเราเดินเข้าไปใกล้ ทหารนายหนึ่งจึงรีบยื่นมือขวางก่อนจะถามเสียงเข้ม“มีตั๋วรถหรือเปล่า?”
“ไม่มี”
ปู้เสวียนยินยิ้มแล้วหยิบเครื่องหมายแสดงตำแหน่งสีทองอร่ามออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
“นี่มันป้ายเทพศาสตราวุธ...”
ทหารกลุ่มนั้นสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที“ท่านคือปู้เสวียนยิน เทพศาสตราวุธหญิงผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักหมื่นิญญาเชิญด้านในได้เลยขอรับนึกไม่ถึงเลยว่า...บุคคลที่มีชื่อเสียงอย่างท่านจะมาโดยสารรถไฟด้วยตนเอง...”
ปู้เสวียนยินพยักหน้ายิ้มรับ“ข้ามีผู้ติดตามมาด้วยหนึ่งคน พวกเราจะไปที่หุบเขาหลิงหยุน คงไม่มีปัญหาอะไรนะ?”
“ไม่มีขอรับ แต่ว่า...รถไฟขบวนนี้ผู้โดยสารใกล้เต็มแล้วเดี๋ยวพวกเราจะจัดที่นั่งพิเศษแถวแรกให้กับท่าน รอสักครู่นะขอรับ”
“ขอบใจมาก”
ใช้เวลาไม่นานพวกเราจึงก้าวขึ้นมาบนรถไฟ และเดินตรงไปยังตู้โดยสารสำหรับแขกพิเศษ
ตลอดที่นั่งสองฝั่งคลาคล่ำไปด้วยผู้โดยสารลักษณะแตกต่างกันไปบ้างสักยันต์บนใบหน้า บ้างเป็ทหารรับจ้างหรือแม้แต่พรานล่าสัตว์ที่หน้าตาดุร้ายและอาวุธครบมือเมื่อดูโดยรวมแล้วน่าจะไม่ใช่คนดีสักเท่าไร...
แต่ก็พอเข้าใจได้แท้จริงแล้วรถไฟขบวนนี้สร้างขึ้นสำหรับพรานล่าสัตว์และผู้ฝึกฝนิญญาที่้าไปยังหุบเขา แม้สหพันธ์จะประกาศไว้ชัดเจนว่าเป็‘พื้นที่หวงห้าม’ทว่ากลับเป็ขุมทรัพย์ล้ำค่าที่รวบรวมเหล่าสัตว์ิญญาและหญ้าิญญามากมายจึงไม่แปลกที่คนจำนวนมากยอมดั้นด้นและเสี่ยงตายเพื่อนำหญ้าิญญากลับไปยังเมืองหลินเสี่ยเฉิง
สายตาเย็นเยือกแต่ละคู่คล้ายกับนักล่าสัตว์ที่กำลังเล็งเหยื่อแต่ข้ากลับไม่สะท้าน ทั้งยืดอกเชิดหน้าอย่างองอาจเพราะครั้งนี้มีพี่เสวียนยินอยู่ด้วย จึงไม่ใช่เป้าสายตาของพวกนี้เท่าไรส่วนครั้งต่อไปคงไม่แน่
ปู้เสวียนยินมุ่งตรงไปยังที่นั่งไม่แม้แต่จะปรายตามองราวกับไม่มีค่าในสายตาของนางผิดกับพวกนั้นที่เอาแต่ตะลึงงันเมื่อเห็น เครื่องหมายตำแหน่งเทพศาสตราวุธสีทองอร่ามสำหรับหลายคนตลอดทั้งชีวิตอาจไม่มีโอกาสได้พบผู้ฝึกฝนิญญาถึงขั้นเทพศาสตราวุธพอโอกาสนั้นมาถึง ยิ่งนางเป็คนสวยแล้วก็ต้องประหลาดใจเป็ธรรมดา
พอเข้ามาในตู้รถไฟสำหรับแขกพิเศษแล้วไม่นึกเลยว่าข้างในจะมีเครื่องเคลือบลายครามที่งามประณีตวางประดับอยู่ด้วย
ไม่ทันไรพนักงานก็ยกน้ำชามาเสิร์ฟซึ่งเป็จังหวะเดียวกับที่เสียงหวูดรถไฟดังขึ้น ก่อนจะเคลื่อนขบวนออกจากสถานีช้าๆและปรับความเร็วขึ้นเรื่อยๆ ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีรถไฟก็แล่นเข้าสู่ดินแดนกาฬวาตเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ใครคนหนึ่งกำลังควบม้าท่ามกลางทุ่งนาสีเหลืองทองอร่ามกลิ่นหอมของข้าวลอยมาเตะจมูก
“ปีนี้ข้าวโตเร็วจริงๆ!”ปู้เสวียนยินทอดสายตาออกไปไกล สีหน้ามีความสุข
“จริงด้วย”
ข้าพยักหน้ารับ“ท่านพี่ ดูเหมือนว่าท่านกำลังมีอะไรอยู่ในใจสินะ?”
“เ้าดูออกด้วยเหรอ?” นางยิ้มกริ่มแล้วพูดต่อ “ก็ไม่ได้มีอะไรหรอกแค่สวนที่บ้านของพวกเราสวยขนาดนี้เกรงว่าจะมีคนอื่นอยากได้ความสวยและอุดมสมบูรณ์นี้เหมือนกัน”
“คนอื่น?”
ข้าขมวดคิ้ว“ท่านพูดถึงพวก ‘คน’ ของเขตชางเป่ยหรือเปล่า?”
“หรือบางทีอาจไม่ใช่คน” ปู้เสวียนยินสีหน้าครุ่นคิดพลางพูดอย่างลำบากใจ“หลายปีมานี้ หลังจากมีการสร้างกำแพงชีวิตทำให้ผู้คนบนแผ่นดินใหญ่หลงลืมว่ายังมีศัตรูที่แข็งแกร่งอยู่ด้านนอกนับพันปีถ้าเดาไม่ผิด ท่านคงเคยเจอ ‘คน’ ที่ว่ามาแล้วสินะ?”
“เคยสิ”
ข้าถอนใจเบาๆ“แต่ข้ายอมไม่เจอเลยจะดีกว่า!”
“หืม…” พี่เสวียนยินยิ้ม “คำพูดนี้ไม่เหมือนมาจากปู้อี้เชวียนคนในตระกูลข้าเลยั้แ่เด็กเ้ามักจะเลือกทำตามสิ่งที่ตัวเอง้าบนโลกนี้ลูกผู้ชายทุกคนล้วนมีขอบเขตและหน้าที่ของตัวเองแม้บางเื่อาจจะหนักเกินแบกรับ แต่เ้าก็ต้องทำ...เหมือนกับข้าตอนนี้เ้าคิดว่าข้าอยากจะอยู่ในฐานะเทพศาสตราวุธหญิงมากนักเหรอ?”
“ข้าเข้าใจ”
ข้ามองดูวิวสวยๆด้านนอก แล้วเปลี่ยนบทสนทนา “ท่านพี่ สรุปแล้วรถไฟขบวนนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไรก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยมาที่เมืองหลินเสี่ยเฉิง จึงไม่รู้กฎระเบียบของที่นี่”
ปู้เสวียนยินยิ้มอย่างไม่ยินดียินร้าย“อืม...หรือจะเป็กฎลับอย่างที่เ้าเห็นนั่นแหละ มีคนมากมายปรารถนาจะอาศัยหุบเขาหลิงหยุนเพื่อปูทางสู่ความร่ำรวยยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อเสาะหาวัตถุดิบจากสัตว์ิญญา รวมไปถึงยาสมุนไพรที่หายากกลับมาพวกคนรวยในเมืองหลินเสี่ยเฉิงจึงทุ่มเงินมหาศาลเพื่อซื้อของเหล่านี้ไว้ให้ลูกหลานฝึกซ้อมถ้าไม่สร้างรถไฟสายนี้ คงไม่มีวัตถุดิบหายากส่งเข้าเมืองได้อย่างทุกวันนี้หรอกเ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
“อืม เป็แบบนี้นี่เอง”
ข้าพยักหน้าเข้าใจแล้วถามต่อ“แล้วหุบเขาหลิงหยุนล่ะ ได้ข่าวว่าประกาศเป็พื้นที่หวงห้ามมานานแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“จริงๆ ก็ควรเป็แบบนั้นแหละ” พี่เสวียนยินยืดตัวเล็กน้อย คล้ายกับหายใจไม่สะดวกนัก“พวกที่ชอบใช้ทางลัดมีอยู่มากแค่จ่ายเงินซื้อบัตรผ่านจากผู้ดูแลหุบเขาก็เข้าได้แล้วถึงบัตรผ่านราคาห้าพันเหรียญหลงหลิงจะพาเ้าไปหาความรุ่งเรืองได้แต่ก็พาเ้าไปลงนรกได้เช่นกัน”
“ที่แท้เป็แบบนี้นี่เอง...”ข้าพยักหน้ารับเพราะกระจ่างในคำตอบ “แล้วพวกเราต้องซื้อบัตรผ่านไหม?”
“ไม่จำเป็” นางส่ายหน้า พลางหยิบป้ายเทพศาสตราวุธออกมาสองอัน“ข้าเอาป้ายเทพศาสตราวุธอันนี้ไว้ที่เ้าแสดงถึงตำแหน่งเกียรติยศบนแผ่นดินนี้ของเทพศาสตราวุธเพียงแค่เ้าหยิบออกมาก็สามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ หุบเขาหลิงหยุนยังเป็ที่ฝึกซ้อมของศิษย์ในสำนักหมื่นิญญาด้วยทุกๆสัปดาห์จะมีการเลือกศิษย์ดีเด่นขึ้นไปฝึกในระดับความลึกที่ต่างกันจนเรียนจบไปบ้างแล้วก็มี”
“เรียนจบ? เงื่อนไขการเรียนจบที่สำนักหมื่นิญญาคืออะไร?”
“เอาชนะสัตว์ิญญาระดับห้าให้ได้ด้วยตัวคนเดียว”
“...”
...
รถไฟเข้ามาถึงใจกลางเมืองเล็กๆ่ตะวันตรงหัวพอดี
เมืองหลิงหยุนเฉิงเป็หมู่บ้านเล็กๆ ใกล้กับหุบเขาหลิงหยุน ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยพ่อค้าพรานล่าสัตว์ ผู้ฝึกฝนิญญา ที่นี่จึงไม่ใช่แค่สถานีชั่วคราวแต่ยังเป็ตลาดที่มีการซื้อขายกันอย่างกว้างขวาง มีทั้งคนที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์และมีฐานะยืนต่อแถวซื้อของกันเต็มไปหมด ทั้งยาสมุนไพรหายาก วัตถุดิบจากสัตว์ิญญาเพียงแค่ได้วาง สินค้าก็ถูกกว้านซื้อจนเกลี้ยง
“ไปเถอะพวกเราเรียกรถม้าไปที่หุบเขากัน”
“อืม”