ขณะนั้นจู่ๆ อาจารย์ท่านหนึ่งก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนรนก่อนจะตรงไปกระซิบข้างหูของปู้เฟิงจนใบหน้าถอดสีในทันที
ตอนนี้มีผู้มาใหม่ถึงสองคนคนหนึ่งคือปู้เสวียนยินและอีกคนคือสวี่ลู่
“ท่านรองเ้าสำนักทำไมท่านถึงมาที่นี่ได้ล่ะ?” ปู้เฟิงถามละล่ำละลัก
“เ้า้าไล่น้องชายของปู้เสวียนยินคนนี้ออกแล้วทำไมข้าจะมาไม่ได้?”
ปู้เสวียนยินชำเลืองมองข้าแวบหนึ่งแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้กลางห้องพลางยกขาไขว่ห้างแล้วเสยผมก่อนจะเข้าเื่ “หัวหน้าปู้เฟิงข้ารู้ว่าเ้ากับบ้านตระกูลจวงมีสิ่งเกี่ยวพันกันอยู่แต่ไม่ได้หมายความว่าจะสั่งให้จวงเหิงซิ่งเขียนรายงานความผิดมาส่งเพื่อให้เื่จบและจงใจไล่เสี่ยวเชวียนออกได้”
ปู้เฟิงย่นคิ้วพลางพูดตอบ“ท่านรองเ้าสำนักก็พูดเกินไป ถึงแม้ข้ากับพ่อของจวงเหิงซิ่งจะรู้จักกันแต่ข้าไม่มีทางเอาความสัมพันธ์ส่วนตัวมาเกี่ยวข้องแน่นอนทุกอย่างล้วนเป็ไปตามกฎระเบียบ”
“ยึดตามกฎระเบียบอะไร?” ปู้เสวียนยินถาม
“กฎระเบียบของสำนักหมื่นิญญา...”
ปู้เฟิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปรวมทั้งความอวดดีที่น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด “ในกฎระเบียบข้อที่สามสิบเอ็ดผู้ที่ทะเลาะวิวาทกันในสำนักให้ลงโทษด้วยการว่ากล่าวตักเตือนแต่ถ้าคนที่ทำผิดคือศิษย์ตัวสำรองจะต้องถูกไล่ออกสถานเดียว”
“หืม?”
ปู้เสวียนยินเลิกคิ้วพลางหัวเราะ“แต่ข้าจำได้ว่ากฎข้อที่สามสิบเอ็ด คือการปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกันดังนั้นบทลงโทษของศิษย์ที่ทะเลาะวิวาท ต้องมีเพียงแค่ว่ากล่าวตักเตือนเท่านั้น”
“เป็แบบนี้ได้อย่างไร?” ปู้เฟิงรีบเปิดดูระเบียบในตำราทันที ก่อนจะถามอย่างประหลาดใจ“กฎข้อนี้มันเปลี่ยนไปั้แ่ตอนไหน?”
ปู้เสวียนยินลุกยืนแล้วพูดหน้าตาระรื่นว่า“ก็เมื่อกี้ไง ข้าคือรองเ้าสำนัก ข้าจึงสิทธิ์อย่างเต็มตัวทำไม...เ้ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
ปู้เฟิงถามอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง“ท่านรองเ้าสำนักท่าน...เพียงเพราะเป็น้องชายท่านถึงกับยอมแก้ไขกฎของสำนักที่ใช้มาเป็ร้อยปีเลยเหรอ?”
“ข้อกำหนดเป็สิ่งตายตัว ทว่ามนุษย์เป็สิ่งมีชีวิตข้าบอกว่าเปลี่ยนก็เปลี่ยนสิ รีบไปจัดการ”
“แต่ว่า...ได้...”ปู้เฟิงเหมือนลูกบอลที่มีรูรั่วแต่ไหนแต่ไรมาเขาเป็หนึ่งในปรมาจารย์นักรบิญญาที่มีผู้คนนับหน้าถือตาแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าปู้เสวียนยินผู้แข็งแกร่งเขากลับต้องเก็บความอวดดีนั้นไว้ภายใน
“ท่านพี่...”ข้าพูดเสียงอ่อน “ข้าทำให้ท่านลำบากอีกแล้วสินะ”
“ไม่ลำบากเลย”
พี่เสวียนยินมองข้าและพูดอย่างอ่อนโยน“เสี่ยวเชวียนเ้าไม่ผิด เ้าจงจำไว้! ถ้ามีคนมาแหย่เ้า แกล้งเ้าหรืออยากสู้กับเ้า เ้าต้องซัดมันให้หมอบ! หรือถ้าแพ้ให้รีบมาบอกข้าข้าจะต่อยพวกมันให้เอง ที่นี่สำนักหมื่นิญญา เมืองหลินเสี่ยเฉิงและดินแดนเขตเหนือ ใครกล้าแตะต้องตระกูลปู้ของเราต้องได้เห็นดีกับปู้เสวียนยินคนนี้แน่!”
ถ้อยคำที่เด็ดขาดเหมือนเป็การป่าวประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ แม้แต่ปู้เฟิงยังหน้าถอดสีเพราะความกลัว
...
ด้านนอก
ลมเย็นสบายพัดโชยเข้ามาทำให้เส้นผมของปู้เสวียนยินปลิวไสว
ข้าที่ยืนอยู่ด้านข้างมองศิษย์ที่กำลังทยอยเดินเข้าไปในสนามฝึกจากที่ไกลๆ แล้วพูดขึ้น “ท่านพี่เป็เพราะข้าที่มักก่อเื่บ่อยๆ พลอยทำให้ท่านต้องผิดใจกับคนอื่นไม่น้อยข้าต้องขอโทษด้วยจริงๆ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก” นางยิ้มพลางพูดขึ้น “เ้าจะหาเื่ให้ข้าเยอะๆเลยก็ได้ เพราะข้าไม่กลัวความลำบากพวกนี้หรอกแต่สิ่งที่ข้ากลัวที่สุดคือกลัวว่าเ้าจะไม่ยืนอยู่ข้างข้าต่างหาก รู้ไหม?”
“อืม”
“เอาล่ะ รีบไปทำงานเถอะ ก่อนที่เ้าจะกลายเป็ศิษย์ของสำนักอย่างสมบูรณ์เ้ายัง้าอยู่ในโรงเกลากระบี่ต่อไปใช่ไหม?”
“ใช่ หลังจากได้เป็ศิษย์ของสำนักแล้ว ข้ายังอยากอยู่เงียบๆ คนเดียวที่โรงเกลากระบี่”
“เอาอย่างนั้นก็ได้”
นางคิดแล้วคิดอีกก่อนจะพูดต่อ“แต่โรงเกลากระบี่อาจจะทำให้เ้าเสียเวลา เอาแบบนี้สิข้าจะให้คนที่ดูแลฝ่ายพัสดุมารับผิดชอบแทน เ้าก็จะได้จดจ่ออยู่กับการฝึกซ้อมพอได้เป็ศิษย์ของสำนักจะได้เริ่มเรียนทฤษฎีพื้นฐานพร้อมกันกับศิษย์คนอื่นๆ เลยถึงจะขึ้นอยู่กับผลคำแนนรอบคัดเลือก และกดดันเ้าไปสักหน่อยแต่พยายามเป็หนึ่งในสิบอันดับให้ได้ล่ะ พยายามเข้านะ!”
“ไม่เป็ไรข้าจะพยายามให้ดีที่สุดเพื่อติดหนึ่งในสิบคนแรกแล้วกัน”
ปู้เสวียนยินยิ้มบาง“ดีแล้วล่ะ เมื่อผ่านการคัดเลือก เ้าจะเลือกเข้าสำนักจวี๋ฉีซึ่งเป็หนึ่งในห้าสำนักห้องไหนก็ได้หลังจากนั้นครึ่งปี ถ้าระดับการบำเพ็ญสูงขึ้น ข้าจะส่งเข้าไปทั้งสามสำนักใหญ่ส่วนจะเข้าสำนักไหนก็ขึ้นอยู่กับเ้าแล้วล่ะ”
คิดไม่ถึงเลยว่านางจะวางแผนให้ข้าไว้หมดแล้วทำให้ข้าดีใจไม่น้อยก่อนจะรับปากออกไป “ได้เลย! งั้นข้าขอตัวก่อนแล้วกัน”
“อืม!”
หลังจากเสร็จสิ้นงานของวันนี้จวนพลบค่ำกลุ่มพนักงานจากสำนักเข้ามาขนเครื่องลับมีดและรถลากออกไปแสดงว่าต่อจากนี้อีกหลายวัน ข้าจะไม่ว่อกแว่กและมีสมาธิฝึกซ้อมเพื่อพื้นฐานพลังวิชาลมหายใจัที่แข็งแกร่งและสมดุลยิ่งขึ้น ข้าได้แต่หวังว่าผลการคัดเลือกที่จะเกิดขึ้นอีกไม่ช้าจะออกมาดีเช่นกัน
...
ล่วงเลยมาจนดึกสงัดข้าฝึกซ้อมพลังวิชาลมหายใจัขั้นที่หกสำเร็จไปแล้วส่วนหนึ่งกระทั่งประมาณเจ็ดถึงแปดรอบแผ่นหลังก็เริ่มเปียกชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อแต่ที่แย่กว่านั้นคือยาเสริมพลังใกล้จะหมด หากไม่มียาช่วยฟื้นฟูพลังการฝึกซ้อมอาจจะต้องชะงัก หรือใช้เวลานานกว่าปกติ
ขณะกำลังครุ่นคิดประสาทััก็รับรู้ถึงกลิ่นอายิญญาที่แผ่ลงมาจากท้องฟ้าก่อนจะปรากฏเป็เงาตะคุ่มของชายหลังค่อมคนหนึ่ง
“หยุดอยู่ตรงนั้นนะ!”
ข้าพูดขึ้นเสียงเข้ม“เ้าเป็ใคร?”
เขาไม่มีท่าทีจะหันกลับมายังคงมุ่งหน้าเข้าไปทางกระท่อม
ข้าสาวเท้าพุ่งปราดไปข้างหน้าขาซ้ายที่อัดแน่นไปด้วยพลังถูกเหวี่ยงออกไป เอกากัลป์เบิกขุนเขา!
“เฮ้ย?!”
ในที่สุดเขาก็หันกลับมาพลางยกมือปัดเบาๆคาดไม่ถึงว่าเอกากัลป์เบิกขุนเขาจะถูกหลอมละลายด้วยเม็ดฝนจากชายคนนี้เขาเงยหน้าขึ้นแล้วถามอย่างสงสัย“นี่เ้าไปเรียนเพลงขาของเ้าเฒ่าเฉิ่นปู้หยุนสำเร็จั้แ่เมื่อไหร่?!”
ข้าเองก็ใไม่คิดว่าเขาจะเป็เ้าของโรงเกลากระบี่ที่หายหน้าหายตาไปหลายวันแต่พอได้เห็นรอยย่นบนใบหน้า คงไม่มีใครอื่นนอกจากเขาแล้วล่ะ
“อาจารย์ทำไมถึงเป็ท่าน?”
“ไร้สาระน่า ข้าอาศัยอยู่ที่นี่ ทำไมถึงจะเป็ข้าไม่ได้ล่ะ?” เขาชำเลืองมองข้า แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เ้ายังไม่ตอบข้าเลยทำไมเ้าถึงรู้วิชาของเฉิ่นปู้หยุน?”
“อ๋อ ท่านเฉิ่นเขารับข้าเป็ศิษย์แล้วล่ะ”
“ฮึๆ เ้านั่นน่ะมีนิสัยแปลกประหลาดมาแต่ไหนแต่ไรแล้วจะพูดจาแต่ละทีเหมือนไปกินรังแตนมายังไงอย่างนั้นไม่นึกเลยว่าเขาจะรับเ้าเป็ศิษย์ เื่นี้น่าเหลือเชื่อพอๆกับหมูปีนต้นไม้ได้เลยแหละ”
“...”
พอพูดจบเขาก็หันหลังเดินดุ่มๆ เข้าไปในห้อง มือแกะห่อผ้าบนหลังลงมาวางไว้ที่พื้นกลิ่นฉุนจากยาสมุนไพรคละคลุ้งเตะจมูก ซึ่งทั้งหมดล้วนแต่เป็ตัวยาที่หายากอย่างโสมโลหิตถึงยี่สิบกว่าอัน และอีกมากมายที่ข้าไม่เคยเห็นหรือรู้จักมาก่อน
ดูก็รู้ว่าเป็ของล้ำค่าและหายากแค่ไหน
ข้านั่งลงตรงหน้าแล้วถามถึงที่มาที่ไป“อาจารย์ ท่านเก็บของพวกนี้มาจากไหนเหรอ?”
“หืม เ้าเด็กน้อย เ้าก็รู้ใช่ไหมว่าพวกนี้เป็ของล้ำค่า?” ตาเฒ่าเงยหน้ามองข้าแวบหนึ่งแล้วพูดต่อ“วันหลังไม่ต้องเรียกข้าว่าอาจารย์หรอก ข้าแซ่ฉื่อเรียกข้าว่าเหล่าฉื่อก็พอ”
“เหล่าฉื่อ...อาจารย์...สองคำนี้ไม่ได้ออกเสียงคล้ายกันเหรอ?”
“อืม?” เขาส่ายหัว “ก็เหมือนอยู่นะ ช่างเถอะ เ้าอยากเรียกอะไรก็เรียก”
“เหล่าฉื่อยาพวกนี้ท่านเอามาจากไหนเหรอ พอจะบอกข้าได้ไหม ่นี้ข้าชักหน้าไม่ถึงหลังอยากลองทำเื่ไม่ดีอย่างท่านบ้าง เผื่อจะได้เก็บมาใช้กับตัวเองบ้าง...”
“เ้าเด็กนี่อะไรที่เรียกว่าทางไม่ดี?!…เ้าอยากจะได้ยาอย่างนั้นเหรอ?”
เหล่าฉื่อมองอย่างปรามาสแล้วย้อนถาม“พลังของเ้าสามารถเอาชนะสัตว์ิญญาได้เหรอ? ยิ่งตรงไหนมียาหายากสัตว์ิญญาระดับสูงก็จะปรากฏออกมาได้ง่ายเช่นกันถ้าหวังพึ่งฝีมือของเ้าไม่เกินหนึ่งชั่วยามคงกลายเป็อาหารของพวกมันแล้วล่ะ”
“โธ่นี่ท่านกำลังดูถูกข้าอยู่นะ ท่านลองพูดสิว่ามันคือที่ไหนแล้วทำไมท่านไปได้แต่ข้ากลับไปไม่ได้ล่ะ?”
“ก็ได้ ในเมื่อเ้าอยากจะรู้ งั้นข้าก็จะบอก” แววตาของเหล่าฉื่อแฝงด้วยความเ้าเล่ห์“ยาพวกนี้ข้าไม่ได้ขโมยหรือแย่งใครมา ข้าเก็บมันมาจากหุบเขาในป่าลึกเ้าเห็นโสมโลหิตนี่ไหม อย่างน้อยๆ น่าจะอยู่มาแล้วราวเป็พันปีโดยไม่มีใครเคยเจอมาก่อนทั้งยังได้เผชิญหน้ากับสัตว์ิญญาระดับแปดอีกต่างหาก!”
“สัตว์ิญญาระดับแปด!”
ข้าได้แต่อ้าปากหวอพละกำลังของสัตว์ิญญาระดับแปดนั้นแข็งแกร่งอย่างคาดเดาไม่ได้ต่อให้เป็ผู้ที่แข็งแกร่งผ่านการบำเพ็ญถึงขั้นผู้พิทักษ์ระดับดวงดาวยังต้องหลบเลี่ยงไม่นึกเลยว่าตาเฒ่าคนนี้จะกล้าสู้กับสัตว์ิญญาระดับแปดแบบตัวต่อตัว
ข้าแสดงสีหน้าอย่างชั่งใจก่อนจะถามกลับ “ลำพังแค่ตัวท่านคนเดียวกลับกล้าสู้กับสัตว์ิญญาระดับแปดเนี่ยนะ?”
“ฮ่าๆ ถูก...เ้ารู้ความจริงจนได้สินะ ข้าจะบอกให้ก็ได้ จริงๆแล้วข้าฉวยโอกาสตอนที่สัตว์พวกนั้นกำลังอึ แล้วเอาถุงยาเสน่ห์โยนลงไป”
“วางยาพิษในอึมันจะได้ผลเหรอ?” ข้าหรี่ตาพลางถามอย่างฉงน
เหล่าฉื่อตอบด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ“เ้าอึเสร็จแล้วไม่ดมเหรอ?”
หมดคำจะพูดต่อ...
“ท่านยังไม่ได้บอกเลยว่าท่านไปได้มาจากไหน?”
“หุบเขาหลิงหยุน”
เหล่าฉื่อกระตุกยิ้มแล้วอธิบายอย่างลึกซึ้ง“หุบเขาหลิงหยุนที่มีความยาวกว่าสี่ร้อยลี้ เป็ทั้ง์และนรกของผู้ฝึกฝน”
“ที่แท้ก็หุบเขาหลิงหยุนนี่เอง”
ข้าขมวดคิ้วสงสัยเหมือนเคยได้ยินชื่อนี้มาบ้างว่าเป็เขตหวงห้ามอยู่ในความดูแลของทหารจากสหพันธ์มาช้านาน ใช่ว่าคนธรรมดาจะสามารถเข้าไปได้ง่ายๆได้ยินมาว่าที่แห่งนี้เกิดจากหินอุกกาบาตที่ร่วงหล่นจากท้องฟ้าแล้วะเิจนกลายเป็แอ่งใหญ่กระทั่งผ่านไปกว่าสิบล้านปีจึงได้แปรสภาพเป็หุบเขา และสิ่งที่ต่างจากหุบเขาอื่นๆคืออ่างวงกลมกว่าสิบอ่างตั้งเรียงรายล้อมรอบเทือกเขาแห่งนี้
หุบเขาหลิงเป็ที่ที่แฝงไปด้วยพลังรวมถึงหญ้าทำยาและพลังิญญา ขณะเดียวกันยังเป็ศูนย์รวมของสัตว์ิญญามากว่าสิบล้านปีและั้แ่ยอดเขาลูกที่สิบจนถึงใจกลางจะเป็ที่อาศัยของสัตว์ิญญาซึ่งสัตว์เหล่านี้จะดูดซับพลังจากพื้นดินจนพละกำลังแกร่งกล้าก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินมาว่าใจกลางหุบเขาหลิงหยุนมีสัตว์ิญญาระดับเก้าอาศัยอยู่ มันมีพละกำลังดุจเทพเ้าซึ่งไม่มีใครหน้าไหนเอาชนะได้
มีคำพูดที่ว่า‘หุบเขาหลิงหยุนสิบวงขั้น แต่ละยอดคือ์หนึ่งขั้น’เป็เครื่องยืนยันว่าแต่ละพื้นที่มีระดับความอันตรายแค่ไหนสำหรับผู้ฝึกฝนิญญาระดับธรรมดาโดยมากจะเข้าถึงแค่ชั้นนอกสุดอย่างชั้นที่สิบเท่านั้นเพราะถ้ามากกว่านี้จะมีอันตรายถึงชีวิต...
ข้ามองเหล่าฉื่อที่กำลังแยกวัตถุดิบยาอย่างชำนาญจึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “อย่าบอกนะว่าท่านเข้าไปที่ใจกลางหุบเขาหลิงหยุนนั่นแล้ว?”
เหล่าฉื่อชำเลืองมองข้าครั้งหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น“ข้ายังไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าเลย ข้าล่อสัตว์ิญญาระดับแปดตัวนี้จากยอดเขาในชั้นที่สองออกมาถึงชั้นที่สามถึงจะวางแผนฆ่าได้และเพื่อยาพวกนี้ข้าเองก็ใช้แรงไปไม่น้อย”
ข้าดูอย่างละเอียดก่อนจะเห็นว่าแขนซ้ายของเหล่าฉื่อถูกพันด้วยผ้าสีขาวาแยาวอย่างน้อยยี่สิบเิเดูท่าแล้วสัตว์ิญญาระดับแปดตัวนั้นคงจะเก่งไม่เบา
“อะไรเ้า้ายาพวกนี้เหรอ?” เหล่าฉื่อมองข้าแล้วยิ้ม
“อืม” ข้าพยักหน้ารับ
“ไม่ให้!”
เขาหัวเราะออกมาเสียงดัง“ถ้าอยากได้ก็ให้พี่ของเ้าพาไปที่หุบเขาหลิงหยุนสักรอบสิทำไมจะต้องมาเอาจากคนแก่อย่างข้าด้วย”
ข้ามองเขาอย่างเอือมระอาตอนที่ปีนผนังข้าก็ไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ
...
แต่ไม่ว่ายังไงข้าจะต้องไปหุบนั่นให้ได้คงต้องเตรียมเสื้อผ้าและอาหารให้พร้อมเพื่อลงมือทำมันเอง!จะอาศัยซื้อจากร้านขายยาหรือรอรับจากซ้งเชียนเสมอไปไม่ได้เพราะเขาไม่ได้มีชีวิตที่อู้ฟู่หรือสุขสบายนัก