สะใภ้สกุลฟางพิจารณาหญิงสาวตรงหน้า ถึงแม้ท่าทางจะอายุสิบสี่สิบห้า แต่กลับเกล้าผมเช่นสตรีที่ออกเรือนแล้ว คิดแล้วคงเป็สตรีที่แต่งงานแล้วเป็แน่
ใบหน้ารูปไข่เรียบเนียน คิ้วโค้งเรียวราวกับแกนใบไม้ จมูกรั้นเล็กๆ นั่นโด่งสวยจนรู้สึกว่าสตรีนางนี้เป็คนที่มองโลกในแง่ดีมาก นิ้วเรียวยาวแบบหญิงสาวชาญฉลาด รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น รูปร่างเช่นนี้ ควรจะใช้ประโยคนี้จริงๆ อะไรที่ควรจะใหญ่ก็ใหญ่ อะไรที่ควรจะเล็กก็เล็ก การพูดการจาก็รู้จักการเข้าออกอย่างมีชั้นเชิง แค่มองดูก็รู้ว่าเป็คนที่มีมารยาท ราวกับเป็คนที่ถูกสั่งสอนมาอย่างดี
ในสายตาของสะใภ้สกุลฟางมีความอิจฉา ความสงสัยถูกพัดผ่านไป อิจฉาที่นางคนนี้มีผิวเนียนนุ่ม ยิ่งอิจฉามากขึ้นไปอีกที่นางมีองค์ประกอบบนใบหน้างดงาม สงสัยที่คนที่ดีขนาดนี้ ทำไมถึงเป็คนที่แต่งงานแล้ว แต่กลับไม่เห็นตัวบุรุษของนาง
เมื่อรู้ว่าสถานะของตนเองจะเป็หัวข้อพูดคุยหลังกินข้าวของบรรดาบุรุษในหมู่บ้าน เฉินเนี้ยนเองกลับพูดคุยได้อย่างเป็ธรรมชาติ พร้อมทั้งบอกที่มาและสถานะของตนเอง
“อืม เป็ความรู้สึกที่ดีนักที่ได้เรียกท่านว่าพี่สะใภ้ พวกเราสามคนพี่น้องเพิ่งจะมาถึง หวังว่าพี่สะใภ้กับเหล่าผู้คนในหมู่บ้านต่อไปจะช่วยดูแลกันและกันนะเ้าคะ” สายตาของนางกวาดตามองหัวคนที่มองมาอยู่ไม่ไกล คนในหมูบ้านนี้น่ะ พอมีเื่อะไรหน่อย อีกครู่เดียวก็คงจะรู้กันทั้งหมู่บ้าน
“ฮาๆ พูดเื่อะไรกันน่ะ นี่เป็เื่ที่เพื่อนบ้านควรทำอยู่แล้วนะ”
“อืม จริงด้วยเ้าค่ะ เฮ้อ พูดไปแล้วก็ช่วยไม่ได้ พวกเราเป็ญาติห่างๆ ของลุงหลัว หลังจากข้าออกเรือนไป สามีก็ไปเป็ทหารอยู่ด้านนอก ที่บ้านก็ต้องรองรับอารมณ์ของแม่สามีและพี่สะใภ้อีก ต่อมาลุงหลัวรู้เื่ราวของพวกเราเข้า จึงพูดออกมาอย่างเสียสละว่าเขาจะช่วยให้ย้ายออกจากบ้านหลังนั้น ดังนั้นข้าจึงขอยืมเงินป้าสะใภ้แล้วย้ายมาอยู่ที่นี่ ตัดปัญหาข้าถูกแม่สามีและพี่สะใภ้รังแก”
คำพูดของนางดูเหมือนกำลังทอดถอนใจ แต่กลับเป็การเปิดเผยสถานะของตนเองออกไปด้วย ทั้งยังวางตนเองเป็ฝ่ายที่ถูกรังแกอีกต่างหาก
ใจคนเราน่ะ ส่วนมากไม่ชอบเห็นใครได้ดีไปกว่าตัวเอง หากเห็นใครอาภัพกว่าตน เช่นนั้นก็จะมีความเห็นใจ หรือมีความรู้สึกสมน้ำหน้า เช่นว่า ดูเอาเถิด คนคนนี้หน้าตาก็ดี แต่สุดท้ายก็ยังมีชะตาชีวิตไม่ได้ดีไปกว่าข้า
ตอนที่เฉินเนี้ยนหรานแสดงความอ่อนแอออกมา ก็ได้รับความเห็นใจจากพี่สะใภ้ฟางทันที แม้แต่บรรดาสตรีที่ออกเรือนแล้วทั้งหลายที่มาแอบฟังอยู่ไม่ไกลก็รู้สึกสงสารนางจับใจ
มีใครไม่รู้บ้างว่าคนที่ออกไปเป็ทหารในสมัยนี้ ส่วนมากเต็มสิบ ล้วนตายไปเก้ารอดเพียงหนึ่งกลับมาทั้งนั้น
แม่หญิงคนนี้หน้าตางดงามอ่อนหวาน พี่สะใภ้ในบ้านก็เยอะ เช่นนั้นจะต้องถูกเหยียดหยามแค่ไหนกันนะ คิดดูแล้วสายตาของเหล่าบรรดาบุรุษทั้งหลายคงมองไปที่นางตาเป็มัน ต้องทำเอาบรรดาภรรยาต่างพากันหึงหวงเป็แน่ แถมแม่สามีที่เลือกมาก…ก็ดันไม่เป็มิตรด้วย…ชีวิตของสตรีนางนี้ช่างน่าสงสารเสียจริง
ในห้วงความคิดของทุกคนต่างมีภาพของหญิงสาวถูกแม่สามีรังแก ทำให้สายตาตอนที่มองไปยังเฉินเนี้ยนหราน มีความอิจฉาลดลง แต่เพิ่มความเห็นใจเข้ามาแทน
โดยเฉพาะพี่สะใภ้ฟาง ถึงแม้นางเองจะเป็คนที่ขยันทำงาน แต่แม่สามีที่บ้านก็ยังคงไม่ชอบใจนางอยู่ดี
ปกติแล้วถึงนางจะทำดีแค่ไหน แม่สามีก็จะหาไข่ไก่ออกมาจากกองกระดูก [1] ได้อยู่ดี
พอมาเจอมาได้ยินแม่นางคนงามว่ามีชะตากรรมเช่นเดียวกับตน ความเห็นใจของนางก็ยิ่งลุกโชนขึ้นมา
จูงมือเฉินเนี้ยนหรานพูดกันอยู่นาน จนกระทั่งเสี่ยวเปาจื่อคอยเร่งให้กลับเรือนอยู่ด้านข้างตลอด เฉินเนี้ยนหรานถึงได้กล่าวลาแล้วกลับเรือนไป
ตอนที่บอกลา พี่สะใภ้ฟางก็ได้ตัดผักกาดขาวในแปลงให้นางเอากลับมาทำอาหาร อย่างไรพวกนางก็เพิ่งจะมาถึง พืชผักอะไรก็ไม่ได้ปลูกเอาไว้ มีข้าวแล้ว จะกินแต่ข้าวอย่างเดียวก็คงไม่ได้
ด้วยเหตุนั้นตอนที่กลับมาถึงบ้าน เฉินเนี้ยนหรานกับเสี่ยวเป่าก็พากันถือผักกาดขาวกลับมาด้วย
พอกลับเข้ามาในเรือนแล้ว เสี่ยวเปาจื่อก็เอาของในมือไปอวดกวนซูเยวียนอย่างได้ใจ
“ท่านแม่ ท่านดูข้าก็สามารถช่วยแม่นางคนงามทำงานได้ ผักกาดขาวใหญ่ๆ นี่เป่าจื่อกอดมันกลับมาเองเลยนะ ผักกาดขาวลูกนี้ยังใหญ่กว่าที่แม่นางถืออยู่ในมืออีก เหอะ ั้แ่นี้ไป เป่าจื่อก็เป็บุรุษเต็มตัวแล้ว”
กวนซูเยวียนหัวเราะลั่นออกมา ถลึงตาใส่เสี่ยวเป่าจื่อทีหนึ่งก่อนจะเช็ดเครื่องเรือนพังๆ ภายในบ้านต่อ
เครื่องเรือนดีๆ ถูกเ้าของบ้านเดิมย้ายออกไปหมดแล้วไม่ก็ให้คนอื่นไปแล้ว ที่เหลืออยู่ก็เป็ของที่ไม่สามารถใช้งานได้จริง เพียงแต่สำหรับพวกเฉินเนี้ยนหรานสามพี่น้องที่จนกรอบนั้น โต๊ะขาพังไปแล้ว ก็หาไม้มาค้ำ ตู้ที่ประตูพังไปข้างหนึ่งก็หาผ้ามาปิด แค่นี้ก็สามารถเรียกมันว่าเป็เครื่องเรือนที่ใช้งานได้แล้ว
ส่วนเตียงนั้น เป็กวนซูเยวียนที่ซื้อเตียงใหม่ง่ายๆ มาสองหลัง เฉินเนี้ยนหรานอยากจะให้เงินก็ถูกนางโกรธ ทั้งยังพูดว่าหากจะให้เงินก็ถือว่าดูถูกนางแล้ว พร้อมจะตัดความสัมพันธ์ความเป็ญาติทิ้งด้วย ดังนั้นเฉินเนี้ยนหรานจึงทำได้แค่มองป้าของตนเองซื้อเครื่องเรือนให้ตัวเอง
“อ่อ จริงสิ เสี่ยวหราน เ้าเอากระเป๋าทางนั้นออกมานี่ ด้านในมีกล่องขนมอยู่กล่องหนึ่ง ถือมันไปหาผู้ใหญ่บ้านนะ พวกเราจะทักทายฝากเนื้อฝากตัวสักหน่อย จะต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีกับคนในหมู่บ้านก่อน เ้าอย่าคิดว่าพวกเราพักอยู่ในที่ที่ห่างไกลออกไป แต่ว่าขอบเขตการดูแลของหมู่บ้านนี้กลับไม่เล็กด้วยหรอกนะ แค่คนในหมู่บ้านก็มีหลายร้อยคนแล้ว ดังนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ใหญ่บ้านไว้ก่อน ต่อไปเ้าจะได้อยู่อย่างสุขสบาย”
ในหมู่บ้านมีผู้ใหญ่บ้าน และยังมีรองผู้ใหญ่บ้าน สถานที่ทั้งหมดนี้ แต่ละระดับต่างมีหัวหน้าที่รับหน้าที่ต่างกัน
ตอนนี้สถานที่ที่เฉินเนี้ยนหรานอาศัยอยู่คือเซียงชุน แน่นอนว่าจะต้องสร้างคงความสัมพันธ์อันดีกับหัวหน้าหมู่บ้านเซียงชุนนี้เอาไว้ พูดกันไปแล้ว ผู้ใหญ่บ้านก็คือบุคคลที่จะคอยดูแลเื่ราวในหมู่บ้าน แต่เื่ที่คนในหมู่บ้านจะซื้อขายที่ดินและจ่ายภาษี รวมถึงขอความช่วยเหลือนั้น ล้วนต้องผ่านทางเขาทั้งนั้น ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ผู้ใหญ่บ้านสำหรับคนในหมู่บ้านแล้วก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับาา
ตอนที่กวงซูเยวียนมาถึง ก็ได้วางแผนเอาไว้แล้วว่าจะให้เฉินเนี้ยนหรานสานสัมพันธ์กับผู้ใหญ่บ้านเอาไว้
“อืม ข้าเข้าใจแล้วท่านป้าสะใภ้ เราไปกันเถอะเ้าค่ะ”
เฉินเนี้ยนหรานไปล้างมือ แล้วหากระเป๋าที่กวงซูเยวียนพูด ด้านในล้วนแต่เป็เครื่องปรุงที่ป้าสะใภ้ได้เตรียมเอาไว้ รวมถึงพวกขนมอีกนิดหน่อย พวกนี้ส่วนมากเป็ของที่เอามาจากร้านของนาง
ถึงแม้เงินจะไม่มาก แต่ป้าสะใภ้คิดรอบคอบเช่นนี้ ทำให้เฉินเนี้ยนหรานรู้สึกซาบซึ้งใจมาก
หยิบกล่องขนมกุ้ยฮวาออกมา เฉินเนี้ยนหรานตัดสินใจดึงผ้าลายดอกไม้ยาวสามนิ้วที่ตนเองได้มาจากในเมืองมาถือไว้ในมือ จะให้ของขวัญก็ต้องให้ของที่ดูดีหน่อย หากมีเื่ขึ้นมา เ้านี่ก็ถือว่าเป็การเชื่อมสัมพันธ์ ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็ต่างมีคำพูดประโยคที่ว่า เมื่อมีของขวัญให้ย่อมพูดจาได้ง่ายขึ้น
เป็ผลที่ได้มาจากการกระทำของสังคมน่ะนะ~
เนื่องจากไม่รู้ว่าผู้ใหญ่บ้านพักอยู่ที่ไหน เฉินเนี้ยนหรานจึงไปถามพี่สะใภ้ฟางที่อยู่ข้างบ้าน
พี่สะใภ้ฟางที่กำลังกวาดพื้นอยู่นั้น กวาดตามามองของในมือของนาง เห็นผ้าที่ถูกเชือกมัดไว้อย่างดีก็พยักหน้าอย่างพอใจ
“อืม ตรงไปด้านหน้าใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เห็นเรือนที่ใหญ่ที่สุดใหม่ที่สุดนั่นไหม นั่นแหละเรือนของผู้ใหญ่บ้าน”
สะใภ้ฟางมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีคนก็ยื่นหน้าเข้ามากระซิบกระซาบกับนาง “น้องสาม ดีนะที่เ้ามอบผ้านั้น ข้าจะบอกเ้าให้ ผู้ใหญ่บ้านคนนี้หน้าตาไม่ค่อยเท่าไร แต่แต่งสตรีเข้ามาคนหนึ่ง งดงามมากจริงๆ เขาน่ะไม่ใส่ใจใครเลย แต่ใส่ใจภรรยาของตนเองมาก ข้าจะบอกเ้านะ หากจะประจบผู้ใหญ่บ้าน สู้ประจบภรรยาของเขาจะดีกว่า”
สะใภ้ฟางยักคิ้ว ทำเอาเฉินเนี้ยนหรานหัวเราะออกมา ดูเหมือนว่าหมอนลม [2] นี่จะอยู่ที่ไหนก็เก่งกาจนะ
“อืม ขอบคุณพี่สะใภ้ฟางที่แนะนำข้านะเ้าคะ ข้าเข้าใจแล้ว” หลังจากขอบคุณพี่สะใภ้ฟางเสร็จแล้ว เฉินเนี้ยนหรานก็รีบเดินทางไปที่เรือนของผู้ใหญ่บ้าน
อีกเดี๋ยวจะต้องกลับเรือนมาทำอาหาร พอมีบ้านใหม่แล้ว เื่ที่ต้องทำ…ก็เยอะพอตัว
ระหว่างทางยังเจอกับผู้คนในหมู่บ้านจำนวนไม่น้อย เพราะว่าเป็คนหน้าใหม่ จึงดึงดูดสายตาของคนเป็จำนวนมากให้หันมามอง
บรรดาสตรีที่แต่งงานแล้วและเด็กๆ ในหมู่บ้าน สำหรับเื่แปลกใหม่นั้น มักจะให้ความสนใจกับมันมาก แถมสำหรับธรรมเนียมการให้ของขวัญนั่น ก็ไม่ใช่คนที่รู้มารยาททางสังคมมากเท่ากับคนในเมือง
มีผู้คนมองตรงมาที่นาง เฉินเนี้ยนหรานก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญ ด้วยรู้ว่าพวกนางไม่เคยเจอตนเองมาก่อน จึงผงกหัวให้พร้อมส่งยิ้มไปให้คนพวกนั้น
เดิมทีก็เป็คนที่หน้าตางดงามอยู่แล้ว บวกรวมกับรอยยิ้มเป็มิตร แล้วก็เพราะว่าบทสนทนาที่นางคุยกับพี่สะใภ้ฟางก่อนหน้านี้ คนในหมู่บ้านต่างรู้ทันทีว่าคนคนนี้เป็สาวน้อยคนงามที่เพิ่งจะย้ายมาใหม่ ถึงแม้จะหน้าตางดงาม แต่ความจริงแล้วเป็คนที่น่าสงสาร
ด้วยเหตุนี้ คนพวกนี้หลังจากที่รู้ตัวว่ามองนางค้างไปก็รีบสิ่งรอยยิ้มบางกลับไปให้นาง
แต่ว่าก็ยังมีสายตาที่ยากจะคาดเดามองตามมา…ถึงแม้จะเป็เพียงแค่การเดินผ่านไป แต่ระหว่างนั้นสำหรับสายตาของคนพวกนี้แล้ว เฉินเนี้ยนหรานได้ใส่ชื่อพวกเขาว่าเป็คนที่ควรเข้าใกล้หรือไม่ควรเข้าใกล้ไว้ในใจ
ไม่ว่าจะใน่เวลาใด ต้องถนัดในการสังเกตคนกับเหตุการณ์ ถึงจะสามารถคุ้นชินและใช้ชีวิต ณ สถานที่แห่งนี้ได้
ผู้ใหญ่บ้านไม่ได้อยู่บ้าน และเป็อย่างที่พี่สะใภ้ฟางบอก ภริยาของผู้ใหญ่บ้านหน้าตางดงามจริงๆ
ดวงตากลมโตราวกับถ่ายทอดถ้อยคำออกมาได้ ทั้งยังผิวนุ่มนิ่ม รวมถึงเสื้อผ้าที่เหมาะกับตัว ผมเองก็ใช้ไม้ชิ้นหนึ่งขึ้นมาปักแบบตามใจชอบ แต่การแต่งตัวง่ายๆ นั่นของนางกลับทำให้คนใจสั่น หน้าผากเนียนสวย ริมฝีปากชุ่มชื้น ลำคอขาวระหงกับดวงตาสุกสกาว ถึงว่าพี่สะใภ้ฟางบอกว่าแค่ได้มองก็ละสายตาออกไปไม่ได้
“เ้ามาหาสามีข้าสินะ! เขาไม่อยู่บ้านหรอก!” สตรีคนนั้นเมื่อเห็นของในมือของเฉินเนี้ยนหราน ก็ยิ้มออกมาอย่างใจกว้างหยิบเก้าอี้ออกมาตัวหนึ่ง พร้อมมองนางอย่างพิจารณา
“เ้าค่ะ ข้าเฉินเนี้ยนหรานญาติของลุงหลัวเพิ่งจะย้ายมาอยู่ใหม่วันนี้วันแรก จึงมาทักทายสักหน่อย ของพวกนี้ข้านำมาให้ท่าน ได้โปรดอย่ารังเกียจของขวัญเล็กๆ น้อยๆ นะเ้าคะ”
หลิวฉุ่ยเว่ยคนนั้นคิดไปแล้วก็คงจะเคยชินกับเื่พวกนี้แล้ว จึงรับมาอย่างใจกว้าง สายตามองผ้าสามนิ้วนั้นอย่างพิจารณา เป็สีผ้าที่ตัวนางอยากจะได้ใน่นี้พอดี
ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าที่มองมายังเฉินเนี้ยนหรานก็ดีขึ้นมาก ปากก็พูดคำพูดตามมารยาท เพียงแต่ของขวัญกลับวางไปด้านข้าง
ขณะที่เฉินเนี้ยนหรานกำลังมองนางอย่างพิจารณา ตัวนางเองก็มองสตรีที่เข้ามาใหม่ด้วย
ได้ยินมานานแล้วว่าคนที่จะย้ายเข้ามาใหม่เป็สตรีผู้น่าสงสาร เพราะว่าถูกรังแกจากที่บ้าน ถึงได้ย้ายมาอยู่มาอยู่ในสถานที่ห่างไกลเช่นนี้ คิดไปแล้ว การที่สามารถบีบบังคับให้คนย้ายออกมาจากสถานที่คุ้นชิน มายังหมู่บ้านล้าหลังแบบนี้ จะต้องถูกบีบจนไร้หนทางให้ไป ในจุดนี้ หลิวฉุ่ยเวยกลับมีความคิดเช่นเดียวกับคนในหมู่บ้านก็คือ รู้สึกว่าคนคนนี้ช่างน่าสงสารนัก
คิดไปถึงตอนที่ตนเองเป็เด็กแล้วถูกมารดาเลี้ยงมาเพียงคนเดียว การกระทำที่หลิวฉุ่ยเวยมีต่อเฉินเนี้ยนหรานจึงเปลี่ยนมาเป็เหมือนพี่สาวที่มองน้องสาว
“น้องสาว หน้าตาเ้าหรือก็สะสวย ต่อไปหากที่เรือนมีเื่เล็กใหญ่ให้ช่วยเหลือสามารถมาบอกที่เรือนของข้าได้นะ เป็สตรีด้วยกันมันไม่ง่ายเลย ดูจากการแต่งตัวของเ้าแล้ว คิดว่าครอบครัวแต่ก่อนคงจะไม่เลว น่าเสียดายที่ดอกไม้งามเช่นนี้ต้องระเห็จมาถึงหมู่บ้านของพวกเรา เกรงว่าต่อไปคงจะได้รับความลำบากไม่น้อยเลย”
------------------------
เชิงอรรถ
[1] หาไข่ไก่ออกมาจากกองกระดูก หมายถึง แม้จะทำดีแค่ไหนก็จะคุ้ยหาความผิดออกมาให้ได้
[2] หมอนลม หมายถึง บ้านที่ภรรยาเป็ใหญ่ สามารถควบคุมสามีได้