วิชาเรียนใน่บ่ายผู้สอนยังคงเป็จิ่งฝาน จิ่งฝานตอนนี้รับผิดชอบแค่ห้องเรียนเล็กที่มีนักเรียนสิบห้าคนซึ่งเป็เหมือนห้องเด็กเก่งของตระกูลจิ่งห้องนี้เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็วิชาแพทย์หรือวรยุทธ์ล้วนมีจิ่งฝานเป็ผู้รับผิดชอบ
ส่วนนักเรียนคนอื่นนั้น จิ่งฝานไม่ได้รับผิดชอบ นั่นก็เป็เพราะถึงแม้ตอนนี้จิ่งฝานจะเป็แค่นายน้อยตระกูลจิ่ง แต่งานที่ทำกลับเป็งานของผู้นำตระกูลจิ่ง บิดามารดาของจิ่งฝานออกไปท่องเที่ยวข้างนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบิดาของเขา ‘จิ่งเหวินเหอ’ ตอนนี้เขาดำรงตำแหน่งเป็ผู้นำคนปัจจุบันของตระกูล แต่แท้จริงแล้วเป็คนชอบเที่ยวเล่น ตอนวัยหนุ่ม เขาเองก็เป็คนเฉลียวฉลาดรักความก้าวหน้า มีจิติญญานักสู้เป็อย่างยิ่ง ผลสุดท้ายยิ่งแก่ยิ่งเสื่อมถอย ไม่ว่าจะเป็วิชาแพทย์หรือการจัดการเื่ในตระกูล เขาล้วนไม่สนใจทั้งสิ้น ยิ่งบวกกับมีลูกชายที่ยอดเยี่ยมเกินไป ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ จิ่งเหวินเหอก็เลยผลักงานทั้งหมดออกไปให้เสียเลย งานทุกอย่างถูกส่งต่อให้จิ่งฝานเป็คนจัดการ
เกี่ยวกับเื่ที่จิ่งฝานผู้มีงานยุ่งผู้นี้ยังต้องเป็อาจารย์สอนนักเรียนนั้น เป็คำขอร้องจากบรรดาคนในตระกูลจิ่งที่เห็นพ้องต้องกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาได้รับความเห็นชอบยกย่องจากบรรดาเด็กรุ่นเล็กในตระกูล ผู้าุโรุ่นใหญ่ในตระกูลจิ่งเองก็ยินดีเป็อย่างยิ่ง อย่างไรเสียจิ่งฝานก็มีความสามารถเหนือกว่าผู้ใด วิชาแพทย์ก็ดียิ่ง หากไม่นำมาใช้สั่งสอนลูกหลานในตระกูลจิ่งก็นับว่าเสียดายความสามารถเป็อย่างยิ่ง สุดท้ายตระกูลจิ่งตัดสินใจ นำลูกหลานในตระกูลที่มีความสามารถโดนเด่นมาจับกลุ่มรวมกันไว้ด้วยกัน ส่วนจิ่งฝานก็มีหน้าที่รับผิดชอบแค่เด็กกลุ่มนี้ก็พอแล้ว
ข้อมูลเหล่านี้นั้นไม่ได้อ่านมาจากนิยายต้นฉบับ แต่จิ่งเซียงเป็คนเล่าให้ฟังระหว่างทางเดินไปลานประลอง ตลอดทางที่เดินมานี้จิ่งเซียงทางหนึ่งค่อนแคะบิดามารดาของตนเองที่ไม่รับผิดชอบ อีกด้านหนึ่งก็โอ้อวดความสามารถอันยอดเยี่ยมของพี่ชายตนเอง ส่วนในนิยายต้นฉบับเหตุที่ไม่มีข้อมูลส่วนนี้อยู่นั้นเป็เพราะเ้าของร่างเดิมไม่ได้มีความสนใจต่อวิชาแพทย์เลยแม้แต่น้อย ตอนนั้นเขาเองก็มาที่โรงเรียนของตระกูลจิ่งนี้ด้วยเช่นกัน และยังเป็จิ่งฝานที่เป็ผู้พาเข้ามาด้วย สุดท้ายเขากับจิ่งจื่อก็เถียงกันไปยกหนึ่ง เขาผู้ไม่รู้เื่วิชาแพทย์และยิ่งไม่ยินดีจะเรียนรวมกับกลุ่มเด็กๆ จึงไปแค่ครั้งเดียวหลังจากนั้นก็ไม่สนใจจะไปอีก
แต่ถ้าจะพูดกันตามจริงแล้ว ในนิยายต้นฉบับหลายๆ เื่ล้วนเป็จิ่งฝานช่วยเหลือเ้าของร่างเดิม พาเ้าของร่างเดิมไปยังที่ต่างๆ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็ว่าเขาค่อนข้างจะสนิทกับจิ่งเซียงมากกว่า ทุกเื่ทุกที่ล้วนเป็จิ่งเซียงพาเขาไป
ตอนที่พวกเขาไปถึงลานประลอง ลานประลองยังคงคึกคักอยู่ อ๋าวหรานอดที่จะถอนหายใจชื่นชมความยิ่งใหญ่ของตระกูลจิ่งไม่ได้
อ๋าวหรานมองจนตาลาย โดยมีจิ่งเซียงคอยอธิบายอยู่ด้านข้าง
ลานประลองของตระกูลจิ่งแบ่งเป็ด้านในกับด้านนอก ส่วนจะเรียนด้านนอกหรือด้านในนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับสภาพอากาศแล้ว ลานประลองนอกจากจะมีสถานที่สำหรับฝึกวรยุทธ์ที่สร้างไว้อย่างกระจัดกระจายแล้ว ลานประลองยังมีสนามประลองที่สร้างแยกออกไปอีก ขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน ขนาดเล็กนั้นไว้สำหรับให้ลูกหลานในตระกูลใช้แลกเปลี่ยนวิทยายุทธ์กันในยามปกติ สนามประลองขนาดใหญ่นั้นใช้สำหรับงานแข่งขันประลองยุทธ์ขนาดใหญ่ของตระกูลโดยเฉพาะ
บรรดาลูกศิษย์ที่จิ่งฝานดูแลนี้ส่วนใหญ่ไม่มีความจำเป็ที่จะต้องเรียนวรยุทธ์พื้นฐานเ่าั้แล้ว สำคัญกว่าคือต้องแลกเปลี่ยนประมือซึ่งกันและกัน เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ และหาจุดบกพร่องที่ยังต้องพัฒนาต่อไปของตนเอง เพื่อจะได้ก้าวหน้าไปให้มากยิ่งขึ้น
วันนี้อากาศดีไม่เลว ลูกหลานตระกูลจิ่งส่วนใหญ่ล้วนอยู่ด้านนอก คนค่อนข้างเยอะ พอมองเห็นจิ่งฝานบางคนก็เริ่มทักทายอย่างแข็งขัน
จิ่งฝานพาพวกเขาไปยังสนามประลองที่อยู่ค่อนไปทางด้านใน สนามประลองมีขนาดใหญ่มาก เป็สนามประลองทรงกลมสีแดงชาด รอบด้านมีธงเฉพาะของตระกูลจิ่งเสียบเอาไว้ บนเวทีประลองทรงกลมเขียนตัวอักษร “อู่ [1] ” ขนาดใหญ่เอาไว้ เป็อักษรที่ดูดุดันและสง่างามยิ่ง มองดูแล้วทำให้คนจิตใจฮึกเฮิมห้าวหาญ พอไปดูใกล้ๆ จะเห็นว่าเวทีประลองถูกจัดไว้อย่างดี สะอาดเรียบร้อย แต่้าก็ยังปรากฏร่องรอยที่ศาสตราวุธลงเหลือเอาไว้ ทำให้ดูเหี้ยมโหดยิ่งขึ้น
“อ๋าวหราน พวกเรามาประมือกันเถิด!” อ๋าวหรานมองไปทางจิ่งเซียง ดวงหน้าประดับรอยยิ้ม แต่ดวงตากลับจริงจังยิ่งนัก อดตะลึงไปนิดหนึ่งไม่ได้ ชั่วขณะหนึ่งภายในใจรู้สึกฮึกเหิมเดือดพล่าน
เชิงอรรถ
[1] อู่ (武)แปลว่า การต่อสู้(บู๊)