ทันทีที่ซูจิ่นซีออกมาจากวังวั่นโซ่วก็เดินไปรอบๆ สวนของฮ่องเต้ นางเดินไปเรื่อยๆเจอเข้ากับขันทีหลายคน ขันทีชราที่มีผมและคิ้วสีขาวให้ความเคารพนางอย่างมาก “หม่อมฉันคารวะพระชายาอ๋อง! พระชายาอ๋องพ่ะย่ะค่ะฝ่าาทรงรอท่านอยู่ที่ตำหนักจ้งหวาหลายชั่วยามแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ตำหนักจ้งหวาเป็ที่ประทับของฮองเฮาฮ่องเต้อยู่ตำหนักของฮองเฮาแล้วเรียกพบข้า?
ทว่าครั้งนี้ที่นางเข้าวังก็เป็เพราะถูกไทเฮาเรียกนี่!
ไทเฮาฉลาดที่เรียกนางเข้าพบแล้วฆ่านางอย่างโจ่งแจ้งโดยไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้กับเยี่ยโยวเหยาไม่ค่อยดีเท่าไรผู้ใดจะรู้ว่าสิ่งใดกำลังรอนางอยู่ในตำหนักจ้งหวานั้น
ซูจิ่นซีรู้สึกเสียใจนิดหน่อยที่มายังพระราชวังแห่งนี้หากรู้เร็วกว่านี้คงจะแกล้งป่วยไม่ก็หาเหตุผลเพื่อปฏิเสธแบบอ้อมๆ แล้ว
“พระชายาอ๋อง เชิญเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ”
ขันทีผู้นั้นพูดย้ำอีกครั้ง
ศีรษะของซูจิ่นซีหันอย่างรวดเร็วและทันใดนั้นก็กระแอมไอสองครั้ง “กงกง [1] รู้หรือไม่ว่าฝ่าาเรียกข้าพบกะทันหันด้วยเื่อันใดหรือ?วันนี้ข้าไม่ค่อยสบาย กลัวจะเสี่ยงกระทบฝ่าามิเช่นนั้นเปลี่ยนวันเข้าวังเพื่อพบพระองค์ดีหรือไม่เล่า? ”
กระไรนะ?
ฮ่องเต้เรียกพบ ในฐานะข้าราชบริพาร คาดไม่ถึงว่ายังมีการเลือกวันอีกด้วย
ขันทีสองสามคนที่อยู่ด้านหลังกงกงปิดปากเงียบกริบ ยิ้มเหน็บแนม
เป็อย่างที่คิดไว้ว่าพระชายาโยวอ๋องเกิดมาจากสกุลที่มีฐานะต่ำต่อยไม่เคยเจอโลกแท้จริงในสังคม แล้วก็ไม่สามารถขึ้นไปบนจุดสูงสุดได้เช่นกัน!
แม้ว่าในตอนแรกกงกงผู้นั้นจะไม่หัวเราะเยาะซูจิ่นซีเหมือนขันทีผู้อื่นทว่าก็แสดงใบหน้าที่จริงจังและยืนสงบอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทำราวกับว่าเขาไม่ได้ยินคำพูดของซูจิ่นซีอย่างไรอย่างนั้น
ซูจิ่นซีรู้ว่าอย่างไรวันนี้ก็หนีไม่พ้น สิ่งใดควรจะเกิดมันก็ต้องเกิด นางหายใจเข้าลึกๆ “เอาเถิด! กงกง ท่านนำทาง! ”
เดินไปได้เพียงสองก้าว กงกงก็หันมาทันใด “พระชายาหากร่างกายป่วยและกลัวเสี่ยงกระทบต่อฝ่าาท่านใช้ผ้าเป็ที่กำบังจมูกและปากก็พอ ขอเพียงแค่เมื่อเข้าพบฝ่าา พระชายาอธิบายกับฝ่าาให้ชัดเจนฝ่าาก็จะไม่โทษท่านอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ซูจิ่นซีพยักหน้า ดึงผ้าไหมสีขาวบางที่ไม่มีฝุ่นละอองเปื้อนออกมาจากแขนเสื้อและคลุมไว้ที่ใบหน้าของตนเอง
ใช้เวลาประมาณสองถ้วยชา ซูจิ่นซีก็ถูกพาเข้ามาในราชวังรโหฐาน กำแพงสูงตระหง่านที่ปากประตูทางเข้าถูกแกะสลักเป็รูปหงส์สยายปีกซูจิ่นซีรู้ว่าตำหนักจ้งหวานี้ก็คือที่ประทับของฮองเฮา
ซูจิ่นซีกำลังตามขันทีเฒ่าหนวดขาวไปที่ประตูทันใดนั้นก็มีเสียงเย็นะเืในระยะไกลสะท้อนกลับมา “ไท่จื่อเสด็จผู้ไม่เกี่ยวข้องโปรดหลีกทาง”
ซูจิ่นซีเดินตามเสียงนั้นไปมองเห็นเหล่าทหารองครักษ์มาดดีมีราศีจากหัวมุมไกลๆ อย่างที่คิดไว้ ซูจิ่นซีมองเห็นชายรูปงามหรูหรานั่งอยู่บนเกี้ยวที่มีชายร่างสูงสี่คนแบกอยู่ดวงตาสองข้างของนางหรี่ลงเล็กน้อย
เยี่ยเซินไท่จื่อ เจอกันอีกแล้ว!
โลกนี้มันกลมจนศัตรูมักจะโคจรมาพบกันสินะ!
เมื่อครั้งที่แล้วนางยังจำได้ดีในตอนก่อนที่ซูจิ่นซีในยุคปัจจุบันจะข้ามภพมา ซูจิ่นซีผู้โง่เขลาเ้าของร่างเดิมนั้นยังไม่มีสติปัญญาที่แจ่มชัด
ตอนนั้นต่อหน้านาง ชายผู้นี้กับซูเซียนฮุ่ยพี่สาวต่างมารดาสมคบคิดร่วมกัน พวกเขามัดมือทั้งสองข้างของนางไพล่หลังติดกับเสาไว้ที่ห้องผุพังในสวนหลังจวนบังคับให้นางบอกที่อยู่ของหยกกิเลน
แม้ว่าจะกลายเป็เถ้าถ่านซูจิ่นซีก็ไม่สามารถที่จะลืมความใกล้ชิดสนิทสนมซาบซึ้งกินใจในตอนนั้นของเยี่ยเซินกับซูเซียนฮุ่ยได้
ตอนนั้นเยี่ยเซินยังเป็คู่หมั้นของนางในอนาคตอีกด้วย!
ความไว้วางใจที่สุดในวันเวลาที่นางใสซื่อบริสุทธิ์ไร้เดียงสาตอนนั้น “เสี่ยวเซียงกง” ก็คือที่พึ่งพาสุดท้ายของนางเช่นเดียวกัน
คนหนึ่งเป็ที่พึ่งที่นางไว้ใจที่สุด อีกคนเป็ญาติสนิททางสายเืคาดไม่ถึงว่าพวกเขาปฏิบัติต่อนางอย่างโหดร้ายถึงเพียงนั้นและยิ่งกว่านั้นยังทำเื่ที่อัปยศอดสูต่อหน้านางอีกด้วย
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ซูจิ่นซียืดอกเงยหน้า ยืดร่างกายให้ตรงและมองไปยังเยี่ยเซินที่เดินเข้ามาอย่างช้าๆนางเอามือซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อที่กว้างและกำมือแน่น จนเล็บของนางจิกลงไปในเนื้อ
“กล้ามาก พบหน้าไท่จื่อทำไมไม่คุกเข่า เ้าเป็ผู้ใดกัน คิดจะฏหรือ? ”
ซูจิ่นซีถูกคนผลักอย่างกะทันหัน ทันใดนั้นนางก็ได้สติขึ้นมา พบว่าก่อนหน้านี้ที่นางไม่ได้สติเยี่ยเซินได้ลงมาจากเกี้ยวของเขาแล้ว และเดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าของนาง ผู้ที่ผลักนางเมื่อครู่เป็องครักษ์ข้างกายของเยี่ยเซินผู้หนึ่งขันทีเฒ่าหนวดขาวด้านหลังของนางและขันทีคนอื่นๆ ล้วนคุกเข่าลงกับพื้น
ซูจิ่นซีหรี่ตาของนางลง ไม่แสดงอาการอ่อนแอใดๆ แม้แต่น้อย
“ไท่จื่อ นี่พึ่งผ่านไปไม่กี่วันท่านถึงขนาดที่ว่าข้าเป็ผู้ใดก็จำไม่ได้เลยหรือเพคะ? ”
ถึงแม้ว่ารูปลักษณ์ของเยี่ยเซินจะไม่รูปงามเท่ากับความงามที่หาตัวจับยากอย่างเยี่ยโยวเหยาทว่าก็ถือว่าโตมาหล่อเหลาทีเดียว ควบคู่กับความยิ่งใหญ่และศักดิ์ศรีของคนที่อยู่ในวังหลวงคารมก็ยังดีเป็ที่หนึ่ง
หลังจากที่เขาประสานมือทั้งสอง ยืนอย่างหยิ่งยโส คาดไม่ถึงว่าแม้แต่ตาของซูจิ่นซีเยี่ยเซินก็ไม่มองแม้แต่น้อย
“เ้านี่เป็สิ่งเลวทรามต่ำช้ามาจากที่ใดกล้าดีอย่างไรคิดเพ้อเจ้อกับไท่จื่อเช่นนั้น? เพียงแต่ว่าวันนี้ไท่จื่ออารมณ์ดีไม่ถือโทษที่เ้าหยาบคาย มาทางไหนก็ไสหัวออกไปทางนั้น ไปให้พ้นจากหน้าข้า”
ถึงแม้ว่าจะมีผ้าคลุมใบหน้าที่บางราวกับปีกจักจั่นผืนนี้กั้นไว้ ทว่าซูจิ่นซีเชื่อว่าเยี่ยเซินจะต้องจำนางได้อย่างแน่นอน ทว่าท่าทางของเขาในตอนนี้นั้น ไม่ได้มีนางอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
ซูจิ่นซีรู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจ มือของนางกำแน่นทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ายังคงอ่อนโยนและสดใส “ไท่จื่อไม่ว่าอย่างไรก็ยังเป็องค์รัชทายาทหรือว่าท่านอาจารย์ของไท่จื่อก็อบรมสั่งสอนมารยาทท่านเช่นนี้เล่า? ข้าคิดว่าตำแหน่งท่านอาจารย์นี้ก็ควรจะเปลี่ยนเช่นกัน ไท่จื่อท่านจำให้ดีนะเพคะ ข้าเป็อาสะใภ้ของท่านเป็พระชายาในโยวอ๋องเสด็จอาของท่านอย่างถูกต้องท่านพบข้าก็ควรที่จะเคารพผู้าุโกว่าเพียงแต่ว่าวันนี้ถือว่าเป็ความผิดครั้งแรก อาสะใภ้ไม่อยากจะโต้เถียงกับท่านให้มากความเพียงแต่หลานอย่างท่านเรียนรู้ได้รวดเร็ว แล้วรู้จักมารยาทเพิ่มเติมในสิ่งที่ขาดไปก็เป็พอ”
“ซูจิ่นซี เ้าพูดว่าอันใดนะ? คิดจะฏหรือ? ”
เยี่ยเซินโกรธมาก หันกลับมาต่อว่าโดยพลัน
เขาเองคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะเอ่ยคำพูดพวกนี้ออกมาได้
“อย่างไรเพคะ? ไท่จื่อ แม้แต่เด็กน้อยอายุสามขวบยังสามารถรู้จักมารยาทสำหรับท่านที่เป็องค์รัชทายาทของประเทศนี้มันยากมากหรือ? หากอาสะใภ้สอนท่านแล้วท่านยังเรียนไม่ได้ดี วันนี้อาสะใภ้ก็รับปากท่านแล้วมิใช่หรือ? ”
บนใบหน้าของซูจิ่นซียิ้มอย่างไม่คิดร้ายทว่าคำพูดกลับเต็มไปด้วยการประชดประชัน
เยี่ยเซินเกิดเป็องค์รัชทายาท โตขนาดนี้ นอกจากถูกพระบิดาตำหนิแล้วยังไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยวาจากับเขาเช่นนี้อีก
ซูจิ่นซีนี่เก่งกล้าที่จะข้ามหัวเกินไปหน่อยแล้ว!
ร่างกายเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ด้วยใบหน้าเ็าที่อันตราย เขาก้าวเข้าไปใกล้ซูจิ่นซีทีละก้าวๆ
“วันนี้ข้าอยากจะดูเสียหน่อย ซูจิ่นซีถึงอย่างไรเ้าก็จะไม่ยอมรับขนบทำเนียมใช่หรือไม่!”
เมื่อได้พบเจอความหนาวเย็นและความชั่วร้ายของเยี่ยโยวเหยามาก่อนการแสดงออกที่เ็าของเยี่ยเซินเช่นนี้แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน และยังไม่ได้สำคัญสำหรับนางเท่าไรยิ่งไปกว่านั้นความเ็าของเยี่ยเซินกับเยี่ยโยวเหยายังอยู่ห่างกันหลายพันหลายหมื่นลี้ ในแง่ของรูปลักษณ์แม้ว่าเยี่ยเซินจะไม่เลวทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับรูปลักษณ์ของเยี่ยโยวเหยาที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้แล้วนั้นแม้แต่เท้าของของเยี่ยโยวเหยาเขาก็ยังเทียบไม่ได้ ทว่าจะทำให้ได้อย่างเยี่ยโยวเหยาเยี่ยเซินยังต้องเรียนรู้รูปแบบวิธีแสดงออกอย่างเ็า น่ารังเกียจสะอิดสะเอียนให้มากกว่านี้อย่างยิ่ง
“ไท่จื่อ โปรดระวังด้วย ตอนนี้ข้าเป็ถึงอาสะใภ้ของเ้า”
ซูจิ่นซีสับหลีกไปได้อีกขั้น
ทว่าคำพูดต่อไปของเยี่ยเซินอาจกล่าวได้ว่าจะทำให้ซูจิ่นซีแค้นเคืองอย่างถึงที่สุดเขากลอกตาและพูดว่า “รองเท้าขยะพังๆคู่หนึ่งที่ข้าไม่้า ถูกผีอายุสั้น คนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิง เก็บกลับไปคาดไม่ถึงว่ารนหาที่ตายคิดจะมาเหยียบหัวของข้า เ้าคู่ควรหรือ? ”
ว่าซูจิ่นซีเป็ขยะ? ยังว่าเยี่ยโยวเหยาเป็ผีอายุสั้น?
เยี่ยเซิน เ้ารู้หรือไม่ว่าพิษบนร่างกายของเยี่ยโยวเหยาได้ถูกควบคุมไว้แล้วในไม่ช้า ขอเพียงแค่เยี่ยโยวเหยาพบวัตถุดิบยาที่นาง้า พิษพื้นฐานธรรมดาๆก็สามารถที่จะถอนได้แล้ว
ซูจิ่นซีพยายามระงับความโกรธของนางหรี่ตาจ้องไปที่ชายร่างสูงข้างหน้านางโดยไม่พูดอะไร
เยี่ยเซินคิดว่าเขาทำให้ซูจิ่นซีอับอายขายหน้าได้สำเร็จ จึงอารมณ์ดีมากเขาเงยหน้าและหัวเราะสองครั้ง
“ซูจิ่นซี เ้าก็ไม่คิดหน่อยหรือว่าเ้าเองเป็สินค้าอันใดคนโง่คนหนึ่งหรือว่าเป็ขยะที่มาจากสกุลซู หากข้าเป็เ้าคงจะอยู่แต่ในจวนไม่กล้ามาแล้ว หลีกเลี่ยงที่จะทำให้เป็ความอัปยศต่อเสด็จอาข้าให้ขายหน้าวันละห้าเบี้ย [2] อย่างไรเล่า ฮ่าฮ่าฮ่า! ”
“เพี๊ยะ! ”
ซูจิ่นซีง้างมือตบลงไปที่หน้าของเยี่ยเซินอย่างรุนแรง
......
เชิงอรรถ
[1] กงกง เป็คำสรรพนามที่ชาวจีนในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ใช้เรียกขันทีหรือชายที่ถูกตอน ซึ่งมีหน้าที่ดูแลหรือเป็ผู้รับใช้ส่วนเพราะองค์ของฮ่องเต้และราชสำนักฝ่ายใน
[2] ขายหน้าวันละห้าเบี้ย คือ สำนวนจีน หมายความถึง ทำให้ต้องอับอายขายหน้าอยู่ทุกวัน