ณ จวนจิ้นอ๋อง เปลวพลิงส่องสว่างปกคลุมทั่วผืนฟ้า
เหตุการณ์เพลิงไหม้ไร้หนทางดับได้แล้วยามที่เหนียนยวี่มาถึงบนหอสูงยังคงมีเสียงตื่นตระหนกและน่าเวทนาเรียกให้ช่วยของหญิงสาวดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย
“อิ้งเสวี่ย...ทหาร ช่วยชีวิตอิ้งเสวี่ยของข้า ลูกสาวเพียงคนเดียวของข้าห้ามให้นางตาย...ห้ามปล่อยให้นางตาย...”
ข้างล่างหอสูงจิ้นอ๋องและจิ้นหวังเฟย [1] กระสับกระส่ายร้อนรนจิ้นหวังเฟยทรุดลงไปร้องไห้กับพื้นก่อนหน้านั้นแล้ว
เหนียนยวี่จ้องมองเปลวเพลิงกองใหญ่จ้าวอิ้งเสวี่ยจะไม่ตาย ทว่าสตรีผู้เย่อหยิ่งทะนงตัวต้องมาสูญเสียความบริสุทธิ์ ทั้งใบหน้ายังเสียโฉมสิ่งนี้มันกลับเ็ปยิ่งกว่าความตายเสียอีก
เพราะเหตุนี้ในชาติที่แล้วจ้าวอิ้งเสวี่ยจึงอยากกำจัดนางนับครั้งไม่ถ้วนแม้ต่อมานางจะถูกแต่งตั้งให้เป็เทพาแล้วก็ตามทว่าความโกรธเกลียดเคียดแค้นของจ้าวอิ้งเสวี่ยที่มีต่อนางก็ยังคงรุนแรงบ้าคลั่งไม่เสื่อมคลาย
ทว่าจ้าวอิ้งเสวี่ยกลับไม่เคยรู้เลยว่าั้แ่ต้นจนจบนางแค้นผิดคนมาโดยตลอดคนที่นางควรจะเคียดแค้นคือ‘เหนียนเฉิง’ ไม่ใช่ข้า‘เหนียนยวี่’
เหนียนยวี่ลูบไล้หยกในมือหันมองไปยังหอสูง เปลวเพลิงกองใหญ่นั้นราวกับว่า้าจะกลืนกินท้องนภายามค่ำคืนภายใต้แสงเพลิงเหนียนยวี่ฉวยโอกาสจากความโกลาหลวุ่นวายแอบเข้าไปในหอสูงอย่างเงียบเชียบ
ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเงาร่างผอมบางผู้นี้เลยจะมีเพียงแค่คนบางคนที่เพิ่งมาถึงเท่านั้น
“ท่านเสนาบดี รีบช่วยลูกสาวข้า...ข้าขอร้อง ช่วยลูกสาวข้าด้วย...”
จิ้นอ๋องมองเห็นชายบนหลังม้าพันธุ์งามชายผู้นั้นสวมชุดสีดำแข็งแกร่งและหน้ากากสีเงินอันเป็สัญลักษณ์แทนตัวตนของผู้ที่มาถึง
ผู้คนในตำหนักชุ่นเทียนล้วนรู้ดีว่า ‘ฉู่ชิง’ บุตรชายท่านแม่ทัพ เป็หนึ่งด้านวิทยายุทธและเขายังควบคุมดูแลกองทัพ อายุยังน้อย ก็มียศสูงส่งอำนาจยิ่งใหญ่ทั้งฝ่าาเองก็ยังให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด
การมาถึงของเขาในเวลานี้ทำให้ทุกคนในจวนจิ้นอ๋องมีความหวังอย่างไม่ต้องสงสัย
ฉู่ชิงมองเปลวเพลิงเต็มม่านฟ้าเขาะโเข้าไปราวกับโบยบิน เพียงชั่วพริบตาก็มาถึงหอสูง...
เหนียนยวี่อยู่ในหอสูงเสียงของเปลวเพลิงดังผสมกับเสียงกรีดร้องของหญิงสาวเหนียนยวี่สุ่มทิ้งจี้หยกในมือไว้บางแห่งในห้อง เมื่อเห็นจ้าวอิ้งเสวี่ยในมุมห้องเหนียนยวี่กำลังก้าวไปข้างหน้าพอดี ทว่ารู้สึกเหมือนมีฝ่ามือวายุสายหนึ่งค่อยๆเข้ามาจากทางด้านหลัง
แปดปีของชีวิตที่ต้องเผชิญกับามาอย่างโชกโชนทำให้ประสาทรับรู้ของนางไวกว่าปกติ แม้จะเปลี่ยนเป็ร่างกายผอมบางอ่อนแอเช่นแต่ก่อนทว่าการหลบหลีกยังคงทำได้แทบจะสมบูรณ์แบบ
ฉู่ชิงคาดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มผอมบางผู้นี้จะหลบฝ่ามือวายุของเขาได้ครั้นเขาชะงักไป การโต้ตอบของเด็กหนุ่มก็จู่โจมพุ่งเข้าใส่มือฟาดฟันพาดผ่านแก้มของเขา เส้นผมสีดำนิลสะบัดพริ้วไหวเสียงติ๊งดังขึ้นมากลางอากาศอย่างไม่ทันตั้งตัว เป็เสียงหน้ากากสีเงินที่ตกลงมากระทบบนพื้นอย่างแรง
บรรยากาศเหมือนหยุดแน่นิ่งไปชั่วขณะสีหน้าของคนทั้งสองที่สบตากันเปลี่ยนไป
สายตาของเหนียนยวี่ทั้งตกตะลึงแกมประหลาดใจในความงามนั้น!
เหนียนยวี่รู้ว่าฉู่ชิงผู้นี้เป็บุตรชายของท่านแม่ทัพทุกคนล้วนรู้จักเขา ‘ฉู่ชิง’ ผู้แทบไม่เคยมีชื่อเสียงด้านลบ ทั้งยังมีพร์และสติปัญญาวรยุทธเป็เลิศ เขาเป็ยอดอัจฉริยะที่ร้อยปีจะมีสักหน
ทว่ากล่าวกันว่าเมื่อเขาอายุได้สิบสามปีลานจวนแม่ทัพเกิดไฟไหม้ ยามนั้นฉู่ชิงบุตรชายท่านแม่ทัพอยู่ที่ลานบ้านเล่าลือว่าใบหน้าของฉู่ชิงโดนไฟไหม้ในเหตุการณ์ครั้งนั้นบ้างก็เล่าลือว่าคุณชายฉู่ชิงหน้าหมดโฉม ทำให้สาวใช้นางหนึ่งใตายกลางดึก
ั้แ่นั้นมาชายหนุ่มผู้นี้ก็สวมหน้ากากตลอดเวลา ไม่กล้าเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง
ทว่าเหนียนยวี่ไม่เคยคิดเลยว่าใบหน้าที่ถูกซ่อนไว้ภายใต้หน้ากากอันนี้มิใช่ใบหน้าที่พังพินาศเสียโฉมทว่านี่เป็...ใบหน้าอันแสนงดงามมีเสน่ห์จนทำให้ใจผู้คนสั่นไหว
ใครๆ ต่างก็เล่าลือกันว่าคุณชายผู้งดงามหล่อเหลาที่สุดในเป่ยฉีคือหลีอ๋องจ้าวเยี่ยนทว่าเมื่อเทียบกับชายหนุ่มตรงหน้าแล้ว กลับไม่รู้เลยว่าจะเทียบได้สักแค่ไหน
ใบหน้าเขาก็ดูงดงามทว่าเหตุใดถึงต้องยืนกรานใส่หน้ากาก ทั้งยังบอกทุกคนว่าใบหน้าตนเสียโฉม?
และดูเหมือนว่าข้า...จะไปทำลายความลับสุดยอดบางอย่างเข้าเสียแล้วเหนียนยวี่ผู้ว่องไวเฉียบแหลมนางรู้สึกได้ถึงจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากสายตาของฉู่ชิง จึงรีบเร่งก้าวถอยหลังออกไปทันที
“ขออภัย ท่านหญิงอิ้งเสวี่ยมอบให้ท่านจัดการต่อแล้ว”เหนียนยวี่โค้งคำนับฉู่ชิง แล้วเดินไปทางหน้าต่างที่ถูกเพลิงไหม้กลืนกินะโและหายตัวไปอย่างรวดเร็วในเปลวเพลิง
แสงเปลวเพลิงสะท้อนให้เห็นใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหลาของฉู่ชิงจิตสังหารในดวงตาคู่นั้นยังคงไม่จางหาย
ั้แ่เหตุการณ์ไฟไหม้เมื่ออายุสิบสามปีครั้งนั้นก็ไม่มีใครเคยได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาอีกเลยทว่าเมื่อครู่เด็กหนุ่มนั่น...
เป็เขาที่ประมาทเกินไปเขาคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าเ้าเด็กหนุ่มผอมบางอ่อนแอนั่น จะมีฝืมือว่องไวได้ขนาดนี้
เขาเป็ใคร?
ฉู่ชิงขมวดคิ้วเล็กน้อยสายตาจับจ้องจี้หยกชิ้นหนึ่งที่ตกอยู่ที่มุมห้อง ก็รีบหยิบขึ้นมาทันทีสายตาล้ำลึกสำรวจจี้หยกชิ้นนั้น
เขาเห็นเ้าเด็กนั่นทิ้งจี้หยกนี่ไว้ที่นี่กับตาเด็กหนุ่มนั่นบุกเข้ามาในเปลวเพลิงตัวคนเดียว ตั้งใจทิ้งจี้หยกชิ้นนี้ไว้เขามีเป้าหมายอะไรกันแน่
"ช่วย...ช่วยด้วย...ช่วยข้าด้วย..."
จ้าวอิ้งเสวี่ยที่อยู่ตรงมุมห้องมองเห็นเงาสลัวเลือนรางท่ามกลางเปลวเพลิง ยื่นมือออกมาหาเขาด้วยความหวังเต็มเปี่ยม
เสียงเรียกนี้ดึงสติของฉู่ชิงเขาหยิบหน้ากากบนพื้นขึ้นมาใส่ ปกปิดใบหน้างดงามที่ไม่มีผู้ใดเคยได้เห็นดึงจ้าวอิ้งเสวี่ยขึ้นอย่างคล่องแคล่ว แล้วะโออกจากหอสูงไป
พิธีบรรลุความเป็ผู้ใหญ่ [2] แคว้นเป่ยฉีั้แ่ไหนแต่ไรมักจะจัดขึ้นในวันที่แปดเดือนห้าตามปฏิทินจันทรคติของทุกปี
สำหรับชาวเป่ยฉี วันนี้ถือเป็วันที่สำคัญมากวันหนึ่งทุกบ้านทุกครัวเรือนที่มีเด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิงอายุครบสิบห้าปีเต็มในปีนี้ตลอดทั้งวันนั้นจะรวมตัวกันเข้ารับพิธีสวมมงกุฎ [3]
ฮ่องเต้ทรงออกพระราชโองการถึงเขตเมืองต่างๆยกให้ขุนนางท้องถิ่นระดับสูงเป็ผู้ดูแลจัดการพิธีบรรลุความเป็ผู้ใหญ่
ทว่าบรรดาคุณหนูคุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหลายจะได้รับเชิญให้ไปยังซื่อฟางกว่าน[4] เพื่อรับพิธีชำระจากฮ่องเต้และฮองเฮาโดยตรง
พิธีบรรลุความเป็ผู้ใหญ่ตระกูลเหนียนในปีนี้นอกจากเหนียนยวี่แล้วยังมีเหนียนอีหลานบุตรสาวคนโตของบ้านตระกูลเหนียนด้วย
เช้าตรู่สาวใช้ของสำนักเซียนหลานวุ่นวายกับการแต่งองค์ทรงเครื่องให้เหล่าบรรดาคุณหนูทั้งหลายมามา [5] สาวใช้แต่ละจวนล้วนได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีประณีตเป็ระเบียบเรียบร้อย
“คุณหนู นี่เป็เสื้อผ้าที่ฮูหยินหนานกงส่งมาให้เป็พิเศษเ้าค่ะได้ยินว่าเสื้อผ้าพวกนี้ทำมาจากวัสดุที่ดีที่สุด การปักเย็บที่ดีที่สุดต้องใช้เวลาถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนสรรสร้างเสื้อผ้าชุดนี้ขึ้นมาเลยนะเ้าคะคุณหนูจะต้องดูงดงามในชุดนี้แน่นอนเ้าค่ะ ใส่ชุดนี้จะต้องงดงามขึ้นไปอีกแน่เลยเ้าค่ะ
“คุณหนู นี่เป็ต่างหูหยกสีชาดที่คุณชายหนานกงส่งมาให้เ้าค่ะครั้นที่คุณชายสอบได้ตำแหน่งจอหงวนฝ่าาจึงทรงประทานหยกสีชาดชิ้นนี้ให้ด้วยพระองค์เอง [6] เ้าค่ะ ทั้งแผ่นดินนี้มีเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นเป็ของล้ำค่ายิ่งนักเ้าค่ะคุณหนู ก่อนที่คุณชายจะสั่งทำหยกแดงเป็ต่างหูได้ยินพวกข้ารับใช้ที่จวนหนานกงพูดกันว่า คุณหนูใหญ่ไปขอคุณชายอยู่หลายครั้งก็ไม่ให้ที่แท้นี่เป็ของที่จะเก็บไว้ให้คุณหนูนี่เองไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดต่างหูคู่นี้ถึงถูกแกะสลักเป็ดอกกล้วยไม้ [7] คุณหนู ท่านดูสิ ต่างหูคู่นี้เมื่ออยู่บนหูของท่านแล้วช่างงดงามโดดเด่นยิ่งนักเ้าค่ะ...”
สาวใช้ด้านข้างพูดเยินยอไม่หยุดแทบจะเอาของล้ำเลิศมีราคาไปประเคนอยู่ข้างหน้าเหนียนอีหลานทั้งหมด
เหนียนอีหลานมองหญิงสาวตรงหน้า ใบหน้าสีลูกท้อที่สะท้อนในกระจกทาคิ้วสีดำประณีต ปากสีชาดรับกับฟันสีขาวผ่อง ใบหน้างดงามเนียนละเอียดผสมผสานกันอย่างลงตัว ผู้คนที่เคยพบนางล้วนยกย่องให้นางเป็สาวงามอันดับหนึ่งแห่งเป่ยฉีไร้คนเทียบเทียม
ในเมื่อเป็สาวงามอันดับหนึ่งก็มิจำเป็ต้องสวมใส่เครื่องประดับจนเกินไปต่างหูหยกสีชาดคู่กับกระโปรงชั้นในสีชมพูเหนียนอีหลานพึงพอใจการแต่งตัวในยามนี้อย่างยิ่ง
นางรู้สึกมั่นใจเพียงแค่นี้นางก็สามารถอวดความงามในพิธีบรรลุความเป็ผู้ใหญ่ได้แล้ววันนี้
“เช่นนั้นก็แต่งตัวแค่นี้แล้วกัน”เหนียนอีหลานลุกขึ้นจากโต๊ะเครื่องแป้ง อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ข้าล่ะ?”
“ฮูหยินเร่งรีบเดินออกไปสักพักแล้ว ดูเหมือนจะไปที่จวนหนานกงแล้วเ้าค่ะ”ั้แ่เล็กๆ ฟางเหอคอยอยู่ข้างกายปรนนิบัติรับใช้เหนียนอีหลานมาตลอดเป็หนานกงเยวี่ยที่เลือกสาวใช้ส่วนตัวให้เหนียนอีหลานด้วยตัวเอง
“จวนหนานกงงั้นหรือ?” เหนียนอีหลานขมวดคิ้ว วันนี้เป็วันงานพิธีบรรลุความเป็ผู้ใหญ่ท่านแม่ควรจะไปที่ซื่อฟางกว่านด้วยกันกับข้า ทว่าท่านแม่กลับไปที่จวนหนานกงทำไมกัน?
แม้เหนียนอีหลานจะงุนงงทว่าก็ไม่ได้สนใจมากนัก คิดอะไรขึ้นมาได้ก็หันไปเหลือบมองเสื้อผ้าที่วางอยู่“หยิบเสื้อผ้าพวกนี้แล้วตามข้ามาที่ห้องคนใช้”
“เสื้อผ้าเหล่านี้เป็เสื้อที่นายท่านเตรียมให้คุณหนูคุณหนูท่าน้า...”
ห้องคนใช้งั้นเหรอ? สิ่งแรกที่ฟางเหอนึกถึงก็คือคนพิเศษผู้นั้นที่อาศัยอยู่ในห้องคนรับใช้
“ฟางเหอ เ้าพูดมากขนาดนี้ั้แ่เมื่อไร?” เหนียนอีหลานปราดสายตาเ็ามองฟางเหอ
แม้ว่าน้ำเสียงของนางจะอ่อนโยนทว่าฟางเหอก็ฟังออกถึงความไม่พอใจบางส่วนรางๆ ในใจสั่นสะท้านรีบเร่งหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาอย่างสั่นเทา "บ่าวมิกล้าๆ บ่าวผิดไปแล้วเ้าค่ะ"
เหนียนอีหลานยิ้มมุมปากเดินนำฟางเหอไปยังห้องสาวใช้ฝั่งตะวันตกที่ตั้งอยู่ไกลสุด
ยามที่เหนียนอีหลานมาถึงเหนียนยวี่กำลังนอนอยู่บนเตียงพอดี เมื่อคืนนางกลับมาจากจวนจิ้นอ๋องเื่ในชาติก่อนแวบขึ้นมาในหัวอย่างไม่ขาดสาย ทั้งสภาวะของตนในเวลานี้ก็ไม่ดีภาพใบหน้าภายใต้หน้ากากนั่นมักจะผุดขึ้นมาในหัวเป็บางครั้งบางคราวเหนียนยวี่นอนไม่หลับเลยทั้งคืน
เหนียนอีหลานผลักประตูเข้ามาเหนียนยวี่แทบจะทำตามสัญชาตญาณเดิม นางเด้งตัวลุกขึ้นหยิบถ้วยชามแตกๆบนโต๊ะขว้างไปทางผู้ที่มาเยือน
“อึก...” เหนียนอีหลานใจนใบหน้าขาวซีด มองเห็นชามแตกๆห่างจากคอนางไม่มาก ใบหน้างามซีดเผือดชะงักงัน “ยวี่... น้องยวี่เอ๋อร์ เ้า...”
เหนียนยวี่มองหญิงสาวในชุดสีชมพูตรงหน้าความทรงจำมากมายปรากฏขึ้นมาในหัวความโกรธเกลียดเคียดแค้นจิตสังหารฉายชัดออกมาจากแววตา
เหนียนอีหลาน...
เหนียนยวี่ถือชามแตกๆ ในมือเพียงแค่นางวาดชามแตกๆ นั้นผ่านลำคอของเหนียนอีหลานเบาๆ นางต้องตายอย่างโดยไม่ต้องสงสัยแน่นอนแต่ทว่า...
“เหนียนยวี่! บังอาจนัก! นี่เ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร? เ้ากล้าทำร้ายคุณหนู ฮูหยินจะต้องถลกหนังเ้าออกทั้งเป็แน่นอน”ฟางเหอเองก็หวาดกลัวไม่น้อย รีบเร่งหวังอยากจะไปปกป้องเหนียนอีหลานทว่าถูกพลังอันน่าสะพรึงกลัวของเหนียนยวี่กดดันให้หวาดกลัว จนไม่กล้าเข้าใกล้
“น้องยวี่เอ๋อร์ เ้าเป็อะไรไป? ข้า...ข้าคือเหนียนอีหลานนะ!” เหนียนอีหลานตระหนักได้ถึงความผิดปกติของเหนียนยวี่เหนียนยวี่อยู่ในจวนเหนียน แม้ทุกวันๆ จะถูกกดขี่ข่มเหงโดนทรมานทว่าแต่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่เคยใช้แววตาเช่นนี้มองตนสักครั้งั์ตาฉายแววเกลียดชังอย่างชัดเจน แววตาเกลียดชังนั้นรุนแรงจนไม่อาจเลือนหาย
เหนียนยวี่จ้องมองใบหน้าเหนียนอีหลานสายตาที่เปี่ยมด้วยจิตสังหารนั้นค่อยๆเลือนหายไปทีละน้อยๆ สุดท้ายนางก็ผละสายตาออกและวางชามแตกๆในมือทิ้งไป
“เ้ามาทำอะไร?”เหนียนยวี่เอ่ยอย่างเ็า
เหนียนอีหลาน ถอนหายใจอย่างโล่งอกนึกคิดจุดประสงค์ในการมาของตนได้ ก็เร่งรีบหยิบเสื้อผ้าในมือฟางเหอขึ้นมาทันที“น้องยวี่เอ๋อร์ เ้าดูสิ นี่คืออะไร?”
เหนียนยวี่ปราดสายตามองเสื้อผ้าในมือเหนียนอีหลานความทรงจำในชาติก่อนก็ผุดขึ้นมาในหัว...ใช่แล้ว นางเอาเสื้อผ้ามาให้ข้าสิ่งนี้เป็ของขวัญพิธีบรรลุความเป็ผู้ใหญ่ที่นางให้ข้า
“พี่เห็นว่าเสื้อผ้าชุดนี้มันเหมาะกับน้องแม้ว่าเ้าจะแต่งตัวเป็ผู้ชายมาตลอดแต่ถึงอย่างไรเ้าก็ยังคงเป็เด็กผู้หญิงคนหนึ่งแม้ท่านพ่อท่านแม่จะป่าวประกาศให้ผู้คนภายนอกรับรู้ว่าเ้าเป็บุตรชายทว่าถึงอย่างไรก็เป็เช่นนี้ไปตลอดชีวิตไม่ได้ เ้าต้องออกเรือนมีสามีเป็ของตัวเอง น้องรัก เ้าวางใจเสีย ข้าจะไปเกลี้ยกล่อมท่านพ่อท่านแม่ให้หาทางทำให้เ้าคืนชีวิตบุตรธิดามาให้ได้”
ความจริงใจแลห่วงใยของเหนียนอีหลานเด่นชัดเป็อย่างมากถ้าไม่ใช่ว่าเคยประสบมาด้วยตัวเองมาชาติหนึ่งแล้วแม้จะเป็เหนียนยวี่ในยามนี้ก็คงเชื่อ ‘ความจริงใจ’ ของนางไปแล้ว
"เหตุใดเ้าถึงดีกับข้ายิ่งนัก?” เหนียนยวี่สบตาเหนียนอีหลาน และถามทุกถ้อยคำออกไปอย่างชัดเจน
เชิงอรรถ
[1] หวังเฟย (王妃) ตำแหน่งพระชายาเอกในอ๋อง
[2] สมัยโบราณ พิธีก้าวสู่ความเป็ผู้ใหญ่ในสมัยโบราณราชวงศ์ฮั่นหมายถึงพิธีสวมมงกุฎ และ พิธีปักปิ่นประเพณีนี้สืบเนื่องมาจากราชวงศ์โจวตะวันตกถึงราชวงศ์ิ สมัยโบราณเมื่อชายชาวฮั่นอายุครบ 20 ปี จะได้รับการสวมมงกุฎ ซึ่งหมายความว่าได้เติบโตเป็ผู้ใหญ่สำหรับผู้หญิงจะเข้าพิธีปักปิ่นตอนอายุ 15 ปี ซึ่งหมายความว่าได้เติบโตเป็ผู้ใหญ่เช่นกัน
[3] ในสมัยโบราณราชวงศ์ฮั่นเมื่อเด็กชายอายุครบ20ปีจะเข้าร่วมพิธีสวมมงกุฎ แสดงให้เห็นว่าได้เติบโตเป็ผู้ใหญ่
[4] ซื่อฟางกว่าน (四方馆)สถานที่ที่ฮ่องเต้รับสมัครคนมีความสามารถผู้ที่มีพร์มาแบ่งปันเื่ราวประสบการณ์กันที่นี่
[5] มามา สรรพนามที่ใช้เรียกนางกำนัลรับใช้าุโที่เคยแต่งงานแล้ว
[6] จอหงวน ในภาษาจีนกลางออกเสียงว่า "จ้วงเหยวียน"แปลว่ายอดเยี่ยมเป็ที่หนึ่งจอหงวนเป็ตำแหน่งของผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งในสนามสอบระดับราชสำนักหรือการสอบเข้ารับราชการที่ฮ่องเต้เป็คนออกข้อสอบเอง
[7] ดอกกล้วยไม้เปรียบได้กับ สาวงามจิตใจงาม มั่นคง