“เพราะพวกเราเป็พี่น้องกันอย่างไรเล่าเ้าเด็กกว่าข้าแค่ไม่กี่เดือน ทั้งยังไร้มารดา หากข้าไม่ดีกับเ้าแล้วจะดีกับใครได้อีก?”เหนียนอีหลานยิ้มแย้มอย่างใสซื่อบริสุทธิ์แลมีเมตตา ไม่ว่าผู้ใดมาเห็นก็มิสามารถหักห้ามใจที่จะไม่ชมชอบได้
ชาติก่อนเหนียนยวี่หลงเชื่อคำพูดเสแสร้งเช่นนี้ ไม่รับรู้ถึงความดุร้ายในใจนางเพราะเหตุนี้จึงมีจุดจบเช่นนั้น!
ทว่าในครั้งนี้...
“เป็เช่นนั้นหรือ?”เหนียนยวี่ยกยิ้มหัวเราะเบาๆ จนตาหยี ทว่ามันกลับกลายเป็เหมือนการประชดประชันอันเย็นเยือก“ท่านพี่จะดีกับข้าตลอดไปเลยงั้นหรือ?”
“นั่นต้องแน่นอนอยู่แล้วสิพวกเราจะเป็พี่น้องที่ดีต่อกันตลอดชีวิต” น้ำเสียงของเหนียนอีหลานแน่วแน่นำเสื้อผ้าในมือยัดใส่ไว้ที่หน้าอกของเหนียนยวี่ “เ้ารีบไปลองเสื้อผ้าพวกนี้เสียข้ายังมิเคยเห็นเ้าใส่เสื้อผ้าสตรีเลยนะ!”
ไม่เคยเห็นนางใส่เสื้อผ้าสตรีงั้นหรือ?
สถานการณ์ยามนี้ในชาติก่อนแวบขึ้นมาในหัวของเหนียนยวี่
นางเปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าชุดนี้จริงๆครั้งนั้นยามที่นางใส่ชุดสตรี ในใจนางมีทั้งความตื่นเต้น หดหู่ผิดหวัง ทั้งยังมีความอิจฉาเหนียนอีหลานอิจฉาที่นางมีฐานะเป็บุตรธิดา ได้ทำตัวสมอิสตรีแท้ๆ อย่างสง่าผ่าเผย ทว่านางนางกลับต้องสวมนามของบุรุษไว้
ยามนั้นนางหลงเชื่อว่าตนเองกับเหนียนอีหลานผูกพันลึกซึ้งฉันท์พี่สาวน้องสาวตลอดมามิเคยระวังสิ่งใดเลย...
“อายุสิบห้าในปีนั้นข้าก็รู้แล้วว่าใบหน้าของเ้าจะเป็ภัยคุกคามต่อข้า…”
คำพูดของเหนียนอีหลานในชาติก่อนยังคงชัดเจนอยู่ในโสตประสาทนางทุกถ้อยคำ สิบห้าปี...หึ เป็ปีนี้หลังจากนางใส่ชุดนี้หรือ?
เหนียนยวี่กำเสื้อผ้าบนอกแน่น
“รีบเปลี่ยนเสียหรือจะให้ข้าออกไปก่อน? ”เหนียนอีหลานเร่งเร้าเหนียนยวี่ เห็นอารมณ์เหนียนยวี่ผิดแปลกไปต่างจากปกติเหมือนนางอิจฉาริษยาตัวเอง ในใจก็มีความสุขอย่างอธิบายไม่ถูกนางรู้มาเสมอว่าเหนียนยวี่มีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะกลับคืนฐานะบุตรธิดา
เหนียนอีหลานกำลังหันหลังออกประตูไปทว่ากลับถูกเหนียนยวี่รั้งไว้
“ไม่ต้องแล้วนี่เป็ของที่ท่านพี่ให้ ข้าจะเก็บรักษามันไว้อย่างดีแน่นอน”
“เ้า... เ้าไม่ใส่หรือ?” เหนียนอีหลานรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเหนียนยวี่มองพินิจดวงตาเหนียนอีหลาน สายตานางอัดแน่นแฝงนัยลึกซึ้ง “ข้าจะใส่...ข้าจะใส่แน่นอนเ้าค่ะ ทว่าคงไม่ใช่ตอนนี้”
ใช่ นางจะใส่ชุดนี้นางจะใส่มันอย่างดี ทว่าไม่ใช่ตอนนี้ และคงไม่ใช่ที่นี่แน่!
“ท่านพี่ รถม้าน่าจะรออยู่แล้ว พิธีบรรลุความเป็ผู้ใหญ่ในวันนี้เหล่าคุณหนูคุณชายแต่ละตระกูลที่อายุครบสิบห้าปีนี้ต่างล้วนต้องไปพวกเราตระกูลเหนียนจะสายไม่ได้ พวกเรารีบไปกันเถิด ได้ยินว่ามู่อ๋องเตียนเซี่ย [1] กลับมาตำหนักชุ่นเทียนแล้ว พิธีบรรลุความเป็ผู้ใหญ่ในปีนี้บางทีมู่อ๋องเตียนเซี่ยอาจจะเสด็จมาก็ได้”
มู่อ๋องพระโอรสผู้เป็ที่รักใคร่ที่สุดขององค์ฮ่องเต้รัชสมัยปัจจุบัน ผู้ได้รับตำแหน่งรัชทายาท
และเหนียนอีหลานชื่นชมเลื่อมใสมู่อ๋องมาโดยตลอด!
เหนียนอีหลานยังคงอยากพูดอะไรทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของเหนียนยวี่ นางก็นึกถึงมู่อ๋องขึ้นมาทุกความคิดลอยไปที่พิธีบรรลุความเป็ผู้ใหญ่ที่จะเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว
มู่อ๋อง...ถ้าเขาอยู่ด้วยจริงๆ ล่ะก็เขาคงจะชมชอบการแต่งตัวของนางเป็แน่!
เมื่อนึกถึงมู่อ๋องเหนียนอีหลานแทบรอไม่ไหวที่จะไปซื่อฟางกว่านและพบชายผู้นั้นแล้ว!
ซื่อฟางกว่านตั้งอยู่ทางตะวันตกของกำแพงวังตำหนักชุ่นเทียนข้างวังหลวง สร้างมานานกว่าร้อยปีแล้วั้แ่ไหนแต่ไรมาที่นี่เป็สถานที่ที่ฮ่องเต้ทรงใช้คัดเลือกรับสมัครเหล่าบัณฑิตปัญญาชนและผู้ที่ได้รับคัดเลือกก็สามารถเข้ามาคุยถกความรู้ ศิลปะ วิชาการต่างๆ กันได้ที่นี่
วันธรรมดาคนที่เข้าออกส่วนมากจะเป็ผู้ชายจะมีเพียงวันนี้ของทุกปีเท่านั้นที่เงาร่างของสาวน้อยใหญ่ทั้งหลายจะมีสิทธิ์เข้ามาภายในซื่อฟางกว่านเต็มไปด้วยบรรยากาศหลากหลายมากมาย
ยามที่รถม้าตระกูลเหนียนมาถึงเหล่าคุณหนูคุณชายแต่ละตระกูลก็มาถึงกันเป็ส่วนใหญ่แล้ว
เมื่อเห็นเหนียนอีหลานและเหนียนยวี่ลงจากรถม้าทุกคนอดไม่ได้ที่จะเฝ้ามองพวกนางเข้ามาพร้อมกัน
ทุกคนในตำหนักชุ่นเทียนต่างรู้ดีว่าเหนียนอีหลานจากบ้านตระกูลเหนียนนั้นเกิดมางดงามอ่อนหวานชดช้อยสง่างาม ทั้งยังได้รับการสั่งสอนให้เป็ผู้ดีมีคุณธรรมผู้คนที่หยิบยกเื่ของเหนียนอีหลานขึ้นมากล่าว ล้วนต่างเยินยอชื่นชมนางไม่ว่าใครล้วนพูดกันว่าเหนียนอีหลานที่จะเติบโตขึ้นในไม่อีกกี่ปีนี้จะยิ่งงดงามมากขึ้นเรื่อยๆ จนงามยิ่งกว่าฉินชูผู้เคยเป็สาวงามอันดับหนึ่งเสียอีก
“เ้าดูสิปีนี้เหนียนอีหลานก็เติบโตขึ้นอย่างงดงามอย่างที่คิดจริงๆ ด้วยดวงตาสดใสรูปลักษณ์สดสวย ราวกับดอกกล้วยไม้บนูเา” ใครสักคนในฝูงชนเริ่มพูดคุยกัน
“ตระกูลเหนียนมีแค่เหนียนอีหลานเป็ลูกสาวคนเดียวคนที่จะมาสู่ขอหลังจากนี้ เกรงว่าคงต้องต่อสู้แย่งชิงกันเพื่อเข้าประตูจวนแล้ว”
“แล้วอย่างไร?” เสียงสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น น้ำเสียงของนางดูแย่อย่างเห็นได้ชัด“พวกเ้าอย่าลืมไปเสียล่ะว่า สกุลเหนียนมีเหนียนอีหลานคนหนึ่งแล้วก็ยังมีเหนียนยวี่อีกหนึ่งคน"
เหนียนยวี่...
ตระกูลเฉิงและตระกูลเหนียนไม่ถูกกันั้แ่ไหนแต่ไรคำพูดของคุณหนูเฉิงผู้นี้เล็งไปที่คนสกุลเหนียนเป็ธรรมดาทว่าสิ่งที่นางพูดถึงเหนียนยวี่นั้น...
ผู้คนหันไปมองชายหนุ่มร่างผอมที่อยู่ข้างๆเหนียนอีหลาน สายตาเต็มไปด้วยความรังเกียจ
“เมื่อสามปีก่อนเขาเอาตัวบุตรสาวจากตระกูลยากจนมาข่มเหงจนมีมลทิน สองปีก่อนก็ไปเผายุ้งข้าวของชาวนาเฉิงซีปีที่แล้วยังไปตัดขาของเด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเื่ลับลมคมในแย่ๆที่เขาทำในแต่ละวันนั้นเลย”
เฉิงหลิงเอ๋อร์ยิ้มเยือกเย็นสายตาอัดแน่นด้วยความเกลียดชัง
“คนเลวอันธพาลอย่างเหนียนยวี่ควรจะโดนรุมตีตายไปตั้งนานแล้ว เหตุใดยังมาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่าง ''ซื่อฟางกว่าน'' แห่งนี้ให้ด่างพร้อยอีก?”
“ใช่ ทั้งที่เป็คนตระกูลเดียวกันเหตุใดคุณหนูและคุณชายผู้นี้ถึงแตกต่างกันเยี่ยงนี้?”
ชั่วขณะหนึ่งผู้คนยิ่งพูดคุยกันอย่างคึกคัก ชี้ไปที่เหนียนยวี่ สีหน้าเหยียดหยามดูถูก
“ยวีเอ๋อร์ เ้าอย่าทุกข์ใจไปข้ารู้ว่าเื่พวกนั้นเ้าไม่ได้เป็คนทำ” เหนียนอีหลานจับข้อมือเหนียนยวี่กระซิบปลอบใจข้างๆ นาง
ทว่าเหนียนยวี่ก็ไม่พลาดเห็นประกายความสุขในแววตาของเหนียนอีหลานชั่วพริบตานั้น
เหอะแท้จริงนางคงจะมีความสุขที่เห็นคนเหยียดหยามดูถูกนาง ‘เหนียนยวี่’ แต่ชื่นชมตัวเอง ‘เหนียนอีหลาน’ สินะ? ทว่ากลับมาทำเสแสร้งว่าเป็ห่วงนาง!
ไม่เลว คำประณามพวกนั้นที่เกี่ยวกับนางทั้งหมดนางไม่ได้เป็คนทำจริงๆ
ั้แ่นางเกิดมานางก็เป็แพะรับบาปแทนคนอื่นมาตลอด
ชาติก่อนนางเชื่อว่าทั้งหมดมันเป็โชคชะตาและนางอ่อนแอเกินกว่าจะต่อต้าน แต่ชาตินี้ก็นับว่าเป็โชคชะตาที่์กำหนดในเมื่อ์ให้โอกาสนาง นางก็ต้องคว้ามันเอาไว้
“หึ พวกเ้าดูพูดคุยกันสนุกดีนะ”เสียงหนึ่งดังขึ้นกะทันหัน เสียงใสไพเราะแลอ่อนโยนละมุนละไม
ผู้คนหันมองไปทางชายหนุ่มสูงแปดชุ่น[2] สวมเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อน เส้นผมรัดเกล้าสูงสวมกวาน [3]จอนผมช่อหนึ่งสยายลงมาสม่ำเสมอ ยามลมพัดมาคราหนึ่ง เส้นผมปลิวสลวยตามสายลมอย่างอิสระ ั์ตาดอกท้อ มีเสน่ห์เหลือล้น
และป้ายประจำตัวที่เขาห้อยบนเอวก็บ่งบอกให้เห็นถึงตัวตนฐานะของเขา
“มู่อ๋อง...คำนับมู่อ๋อง...”
ทุกคนคุกเข่าลงด้วยความตื่นตระหนกตามกฎของแคว้นเป่ยฉี ผู้ชายทุกคนจะมีป้ายบอกฐานะตัวตนของตัวเองและต้องพกติดตัวไปด้วย เช่นเดียวกับคุณชายสกุลเหนียนที่มีป้ายประจำตัวตระกูลเหนียนพระราชโอรสในราชวงศ์ก็ต้องมีป้ายประจำตัวของราชวงศ์ทว่ากฎเกณฑ์ในราชสำนักก็จะซับซ้อนกว่าเล็กน้อย
โอรสที่ไร้ราชทินนามฐานันดรศักดิ์บนป้ายประจำตัวจะสลักเป็ลายกิเลนหากมีราชทินนามฐานันดรศักดิ์ก็จะสลักเป็ลายัสองกรงเล็บ
ในบรรดาโอรสทั้งสี่ขององค์ฮ่องเต้รัชสมัยนี้มีเพียงองค์ชายสาม ‘จ้าวอี้’ เท่านั้นที่ได้รับพระราชทานราชทินนามฐานันดรเป็ ''มู่อ๋อง''
ชายผู้ห้อยป้ายประจำตัวลายัที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ก็คือมู่อ๋องอย่างไม่ต้องสงสัย!
“ลุกขึ้นเถิดวันนี้เป็วันสำคัญของพวกเ้าทุกคน พวกเ้าไม่ต้องสนใจเปิ่นหวาง [4] เปิ่นหวางก็แค่รู้สึกเบื่อเสียเหลือเกิน จึงออกมาเดินเล่นเรื่อยเปื่อย”จ้าวอี้กล่าวเสียงใสก้องกังวาน เดินไปข้างหน้าเหนียนยวี่พินิจพิเคราะห์ประเมินเด็กหนุ่มร่างกายผอมบางแลอ่อนแอผู้นี้ “เ้าคือเหนียนยวี่ บุคคลที่พวกเขาพูดถึงกันเมื่อครู่งั้นหรือ?”
“คำพูดของมู่อ๋องเตียนเซี่ยนั้นถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เหนียนยวี่มองพื้นพร้อมตอบกลับอย่างไม่เย่อหยิ่งและไม่ต่ำต้อยเกินไป
จ้าวอี้ดูเหมือนจะยิ่งสนใจมากขึ้นวางมือข้างหนึ่งบนไหล่ของเหนียนยวี่ ประเมินสังเกตอย่างละเอียดยิ่งััที่ดูสนิทสนมเช่นนี้ ในสายตาคนรอบข้างช่วยไม่ได้ที่จะเกิดเสียงสูดลมหายใจเฮือกหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ
สายตาอิจฉามากมายจ้องจู่โจมมาที่นางเหนียนยวี่รู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะสายตาของเหนียนอีหลานที่อยู่ข้างๆ นางรุนแรงโดดเด่นเหนือผู้อื่น
“ตลอดสี่ปีที่ผ่านมานี้ดูเหมือนว่าจะมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นที่ตำหนักชุ่นเทียนแล้ว”จ้าวอี้ตบไหล่ของเหนียนยวี่ “มองเ้าร่างกายผอมกะหร่อง เส้นขนอะไรก็ยังมิขึ้น ก็สามารถเรียนรู้วิธีทำให้สตรีบ้านอื่นด่างพร้อยได้แล้วเปิ่นหวางตอนที่อายุเท่าเ้าก็ยังมิเคยทำอะไรเช่นนั้นเลยเ้าตัวกะเปี๊ยกนี่จะทำได้หรือ?แล้วยังหักขาคนไปเท่าใดแล้วเล่า เ้ามีแรงเยอะขนาดนั้นเลย? เปิ่นหวางจะเชื่อได้อย่างไรกันเล่า?
มือจ้าวอี้โอบรอบคอเหนียนยวี่ไม่รอให้เหนียนยวี่ตอบ ก็หันมองไปทางบุรุษที่ขี่ม้าเข้ามา “เฮ้ จื๋อหร่านเ้าเชื่อหรือไม่?”
ฉู่ชิง ฉายานามจื๋อหร่านมีคนไม่มากที่รู้จักฉายานามของเขา ประจวบเหมาะพอดีเหนียนยวี่เมื่อชาติก่อนก็เป็หนึ่งในผู้คนที่รู้
เหนียนยวี่เงยหน้า เป็อย่างที่คิดเมื่อเห็นชายในชุดผ้าไหมสีนิลขลับและหน้ากากสีเงินอันเป็สัญลักษณ์ตรงหน้าเหนียนยวี่ก็เริ่มนึกถึงใบหน้าอันแสนงดงามหล่อเหลาที่เกินกว่าผู้ใดจะเทียบเทียมได้
เชิงอรรถ
[1] เตียนเซี่ย 殿下 เป็คำลงท้ายใช้เมื่อกล่าวถึงสมาชิกในราชวงศ์เช่นเ้าชายและเ้าหญิง
[2] แปดชุ่น คือ ส่วนสูงประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบเิเ
[3] กวาน คือ รัดเกล้าที่สวมครอบรัดมวยผมเป็สิ่งที่ชนชั้นสูงชาวจีนสวมครอบบนศีรษะเพื่อเป็เครื่องบอกระดับประดับยศ และเมื่ออายุครบ20ปีจะมีพิธีสวมกวาน
[4] เปิ่นหวาง คำที่เชื้อพระวงศ์(ชาย)ใช้เรียกแทนตัวเอง