“เวิ่นเฉิน...” เหลยอวี๊เฟิงมองไปที่ม่อเวิ่นเฉินอย่างคาดไม่ถึงอีกครั้ง
ม่อเวิ่นเฉินโบกมือขึ้นเบาๆสีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง ดวงตาของเขาสงบนิ่ง เื่ที่เขาได้ตัดสินใจแล้วไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนได้
แผ่นดินนี้ เขาไม่เคยสนใจอยู่แล้ว
ถ้าหากมีจริงคนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งฮ่องเต้ในตอนนี้ก็คงเป็เขาม่อเวิ่นเฉินแล้ว
และเพราะประโยคนี้ของซูฉีฉีก็ทำให้ม่อเวิ่นเสวียนรู้เช่นกันว่าม่อเวิ่นเฉินนั้นคิดที่จะไว้ชีวิตเขา
ในใจของเขาสับสนเป็อย่างมากเขาหมุนทิศทางของม้าท่ามกลางการคุ้มครองขององครักษ์ฝ่ายในก่อนที่จะหันหน้ากลับไปมองทางซูฉีฉีและม่อเวิ่นเฉินอีกครั้งอย่างลึกซึ้งเพียงแวบหนึ่งแล้วจึงออกแรงเฆี่ยนม้าให้มันวิ่งพุ่งไปด้านหน้าจนตัวเขาหายวับไปในพริบตา
ทำให้เศษฝุ่นดินทรายจากพื้นลอยตลบอบอวลไปหมด
ยอดฝีมือหลายร้อยคนของยุทธภพก็จากไปเช่นกันทำให้พื้นที่บริเวณนี้กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
เหลือไว้เพียงแต่เสียงของลม
ซูชือฉางที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่ของซูฉีฉีก็ยืดหลังตรงขึ้นเช่นกันจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน “ขอบคุณมาก”
บุตรสาวที่เขาไม่เคยเข้าใจผู้นี้ได้ตัดความสัมพันธ์กับเขาเป็ที่เรียบร้อยแล้วเขาก็ไม่มีหน้าไปพบใครเช่นกันแต่เขาก็ไม่สามารถทิ้งชีวิตตนเองเพียงเพื่อเื่แค่นี้ได้
เมื่อเห็นแผ่นหลังที่ดูอ้างว้างอยู่บ้างของซูชือฉางซูฉีฉีที่ยังคงสีหน้าขาวซีดอยู่เล็กน้อยก็ก้มหน้าลง “ท่าน...เป็บิดาของข้าจริงๆใช่หรือไม่?”
ทว่าเสียงที่กล่าวออกมานั้นกลับเหมือนนางกำลังพูดคุยกับตนเองน้ำเสียงของนางเบามากมีเพียงม่อเวิ่นเฉินที่กำลังโอบกอดนางอยู่เท่านั้นที่จะได้ยิน
อ้อมกอดของเขาโอบรัดแน่นขึ้น หัวใจที่เต้นอย่างแข็งแรงและสม่ำเสมอของม่อเวิ่นเฉินนั้นก็หยุดลงชั่วขณะจากนั้นเขาก็ก้มตัวลงน้อยๆ แนบตัวอยู่ข้างๆ หูของซูฉีฉี “เ้ายังมีข้า”
เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังไร้ซึ่งความลังเล
ซูฉีฉีมิได้หันไปมองเขาและก็มิได้ขยับตัวออกจากอ้อมแขนของเขา นางอยู่เฉยๆปล่อยให้เขาโอบมือรอบเอวนางและควบม้าไปเบื้องหน้า
มิอาจปฏิเสธได้ว่าต่อให้นางจะสิ้นหวังต่อม่อเวิ่นเฉินสักเพียงใดแต่ประโยคเมื่อครู่ของเขายังคงทำให้ในใจของนางว้าวุ่นอยู่ดี
นางรู้ว่าตนได้จมลึกเข้าไปจนถอดตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว
หวั่นไหวกับบุรุษเช่นนี้ก็เหมือนกับการโดดลงเหวลึกที่มองไม่เห็นด้านล่างไม่มีทางให้ถอย ไม่มีทางกลับตัวต่อให้คนผู้นั้นจะเป็คนที่ฉลาดหลักแหลมเยี่ยงซูฉีฉีก็ตาม
ใบหน้าของเหลยอวี๊เฟิงและเหลิ่งเหยียนก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมาเช่นกัน สำหรับผลลัพธ์เช่นนี้พวกเขาไม่พอใจยิ่งนักเมื่อครู่กองทหารโลหิตก็าเ็ล้มตายกันไปจำนวนมาก
การดำเนินการครั้งนี้ถือเป็การช่วยชีวิตเหลยอวี๊เฟิงกลับมา
และแน่นอนว่าสามารถโจมตีม่อเวิ่นเสวียนกลับได้อีกด้วย
ทำให้อีกหน่อยเวลาเขาจะกระทำการใดก็ต้องคิดพิจารณาให้ดีถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา
แต่เดิมเหลิ่งเหยียนและเหลยอวี๊เฟิงยังมีความเห็นใจต่อซูฉีฉีอยู่บ้างแต่ว่าครั้งนี้พวกเขากลับไม่พอใจนางเป็อย่างมาก ถ้าหากมิใช่เพราะนางครั้งนี้พวกเขาจะต้องจับตัวม่อเวิ่นเสวียนมาได้อย่างแน่นอน
และซูฉีฉีเองก็รู้ว่าครั้งนี้นางเปรียบเสมือนคนบาปในใจของกองทหารโลหิตทุกคน
สุดท้ายแล้วม่อเวิ่นเฉินก็ยังคงช่วยชีวิตของนางเอาไว้
เ้ายังมีข้า...
คำสี่คำนี้วนเวียนอยู่ในหัวของซูฉีฉีไม่รู้จบในใจของนางก็เอนอ่อนลงไปไม่น้อย
ผ่านการสู้รบอย่างหนักหน่วงไปแล้วตลอดทางที่เหลือก็เงียบสงบมาก ไม่มีนักฆ่าสักคนหนึ่งโผล่มาให้เห็นอีกนอกจากอากาศที่หนาวเย็นและลมที่พัดแรงอยู่บ้าง นอกนั้นถือว่านิ่งสงบเป็อย่างมาก
ซูฉีฉีและม่อเวิ่นเฉินกลับเข้าไปในรถม้าอีกครั้งทั้งสองคนล้วนไม่พูดไม่จากัน
บรรยากาศในรถม้าออกจะประหลาดๆ อยู่บ้าง
แม้ว่าม่อเวิ่นเฉินจะชื่นชมในตัวซูฉีฉีอีกทั้งเมื่อครู่ยังถือได้ว่าพยายามเอาชีวิตของตนเข้าช่วยนางแต่ว่าตอนนี้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับซูฉีฉีสองต่อสองเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไรดี
เ้ายังมีข้า คำสี่คำนั้นสำหรับเขาแล้วถือว่าเป็คำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับซูฉีฉี
เป็คำมั่นสัญญาตลอดชีวิต
และซูฉีฉีเองก็เป็คนที่เยือกเย็นไม่ชอบสุงสิงกับผู้ใดยิ่งไม่ใช่คนที่จะเอ่ยพูดคุยกับผู้ใดก่อน แค่ว่านางเผลอใจไปให้กับเขานั้นก็ทำให้นางรู้สึกเสียใจมากเกินพอแล้ว
“าเ็หรือไม่?”
ในโรงเตี๊ยมม่อเวิ่นเฉินเอ่ยถามซูฉีฉีออกมาเบาๆ ประโยคหนึ่ง
ซูฉีฉีส่ายศีรษะพลางส่งยิ้มบางๆ กลับไป “ไม่”
ยังคงไว้ซึ่งความห่างเหินอยู่บ้าง
คอเสื้อที่ตั้งขึ้นได้ปิดบังรอยแผลบนลำคอของตนนั่นเป็แผลที่เกิดจากดาบของนักพรตชุดสีไพลินผู้นั้น
นางได้ทำการจัดการาแเรียบร้อยมิได้เป็อะไรมากแล้ว
แต่เดิมม่อเวิ่นเฉินยืนอยู่ด้านข้างของนางแต่ในตอนนี้เขาได้ก้าวเท้ายาวมาหยุดอยู่ด้านหน้าของนาง จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นแหวกคอเสื้อของนางออกท่าทางของเขานั้นออกจะหยาบคายอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงความอ่อนโยนเอาไว้อยู่
“ท่านจะทำอะไร?”ซูฉีฉีใจนหน้าเปลี่ยนสีนางรีบยกมือขึ้นดึงนิ้วมือของม่อเวิ่นเฉินออก
แต่ม่อเวิ่นเฉินทำเพียงแค่แหวกคอเสื้อของนางและมองไปที่รอยแผลบนลำคอนางเท่านั้นในดวงตาของเขาแฝงด้วยความอ่อนโยนจางๆ ซ้ำยังมีความเ็ปและสงสารเผยออกมาด้วย
ความสงสารและปวดใจนี้ทำให้ซูฉีฉีรู้สึกนิ่งอึ้งอยู่กับที่หัวใจของนางเสมือนหยุดเต้นขึ้นมากะทันหัน
เมื่อเห็นว่ารอยแผลนั้นบางมากอีกทั้งยังใส่ยาแล้วม่อเวิ่นเฉินถึงยอมปล่อยมือของตน อีกทั้งยังทำการจัดคอเสื้อให้นางอีกด้วยสีหน้าที่แต่เดิมไร้อารมณ์นั้นกลับแฝงไปด้วยการหยอกล้อเบาๆ “เ้าเป็ถึงพระชายาที่ถูกต้องตามธรรมเนียมของข้า”
จากนั้นก็หัวเราะพร้อมก้าวเดินออกไป
การกระทำของเขาทำให้สีหน้าของซูฉีฉีเขียวคล้ำขึ้นและตามมาด้วยสีแดงจางๆ
อยู่ๆม่อเวิ่นเฉินที่เดินไปถึงหน้าประตูก็หยุดลงอีกครั้ง “เหลยอวี๊เฟิงาเ็ไม่น้อยเ้ามียาที่พกติดตัวมาด้วยหรือเปล่า?”
เหมือนว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองเพียงพริบตาเดียวก็ผ่อนคลายขึ้นมากไม่มีความอึดอัดอีก
และยิ่งไม่มีความห่างเหิน
ซูฉีฉีจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็ปกติ “มี เขาาเ็เพราะว่าคุ้มครองมารดาของข้า ข้าจะต้องช่วยเขาแน่”
ในสนามรบนั้นเหลยอวี๊เฟิงแค่พยายามใช้แรงพยุงตัวเองเอาไว้ตอนนี้เมื่อถึงโรงเตี๊ยมแล้วเขาก็ล้มตัวลงไปทันทีหลายวันมานี้ม่อเวิ่นเสวียนไม่ได้ให้เขาอยู่อย่างสบายเลยม่อเวิ่นเสวียนสั่งให้ราชครูลองยาพิษกว่าร้อยอย่างลงบนตัวของเขาอีกทั้งยังได้ใช้การลงทัณฑ์บีบให้เขายอมร่วมมือกับแผนการของพวกเขาอีกด้วย
ซ้ำเมื่อครู่ยังโดนฟาดแส้ลงบนใบหน้าเขาอีกครั้งหนึ่ง
ตอนนี้ร่างกายของเขาได้ไปถึงขีดสุดของมันแล้วเขาไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว
“อวี๊เฟิงเปิดประตู” ม่อเวิ่นเฉินและซูฉีฉีก้าวออกจากห้องไปตามๆ กันก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ห้องของเหลยอวี๊เฟิง
เมื่อเคาะประตูถึงสี่ครั้งแล้วยังไม่มีผู้ใดตอบรับกลับมา
ทั้งสองคนก็หันมาสบตากัน แววตามีความกังวลปรากฏขึ้น
เมื่อออกแรงผลักประตูเข้าไปก็เห็นเหลยอวี๊เฟิงที่นอนอยู่บนเตียงมีสีหน้าเขียวเข้มริมฝีปากม่วงคล้ำ ดวงตาทั้งสองปิดสนิท ลมหายใจหอบถี่เล็กน้อยรอยแส้บนใบหน้าชวนให้น่าใ แขนที่โผล่พ้นออกมาจากชายเสื้อนั้นเต็มไปด้วยาแ
ม่อเวิ่นเฉินกำมือทั้งสองแน่นสีหน้าของเขาในตอนนี้คล้ำเข้ม ไอสังหารกระจายไปทั่วพื้นที่ เขาคิดไม่ถึงจริงๆว่าม่อเวิ่นเสวียนจะเลวทรามได้ถึงขั้นที่ทำให้เหลยอวี๊เฟิงาเ็ได้หนักถึงเพียงนี้
“เขาถูกพิษแล้ว”ซูฉีฉีมีท่าทีร้อนรนก่อนจะรีบยกมือขึ้นตรวจดวงตาทั้งสองของเหลยอวี๊เฟิงแล้วจึงค่อยตรวจจับชีพจรของเขา “ต้องรีบถอนพิษให้เร็วที่สุด”
ม่อเวิ่นเฉินพยักหน้าอย่างแรงก่อนจะก้าวถอยไปก้าวหนึ่ง “ต้องใช้อะไรเ้าก็บอกมาได้เลย จะต้อง...ช่วยเขาให้รอด”
น้ำเสียงกลับติดขัดอยู่บ้าง
เหลยอวี๊เฟิงเป็สหายคนสนิทของเขาอีกทั้งยังเป็สหายที่ร่วมเป็ร่วมตายมาด้วยกันหลายปี ครั้งนี้เหลยอวี๊เฟิงต้องมีสภาพย่ำแย่เช่นนี้ก็เป็เพราะเขา
ถ้าหากตอนนั้นไม่มีทางเลือกอื่นต่อให้เขาต้องใช้ชีวิตของตนมาแลกเหลยอวี๊เฟิง เขาก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ซูฉีฉีพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “วางใจเถิด ข้าจะต้องรักษาเขาได้แน่”
นางพูดพลางหยิบเอากล่องยาและเข็มทองออกมาก่อนจะตั้งอกตั้งใจถอนพิษในร่างกายของเหลยอวี๊เฟิงยังดีที่ร่างกายของเหลยอวี๊เฟิงแต่เดิมนั้นแข็งแรงดีอีกทั้งยังฝึกฝนวรยุทธ์มาั้แ่เล็ก พิษในร่างกายของเขามีเป็ร้อยชนิดบ้างก็ต้านทานกัน บ้างก็หลอมรวมเข้าด้วยกัน ถ้าหากคนธรรมดาโดนเข้าไปแล้วเกรงว่าลำไส้คงได้เน่าเฟะจนตายไปเสียแล้ว
แต่ดูจากชีพจรแล้วเหลยอวี๊เฟิงได้ใช้สมาธิอย่างสูงในการสกัดชีพจรของตนเองเอาไว้ทำให้พิษไม่ได้เข้าไปถึงปอดและหัวใจ
แต่ต่อให้เป็เช่นนี้เขาก็แทบจะไม่มีชีวิตรอดเต็มทีแล้ว
ถ้าหากไม่ได้รับการถอนพิษได้ทันแล้วเกรงว่าต่อให้มีชีวิตรอดก็คงจะกลายเป็แค่คนพิการแล้ว
เมื่อเห็นท่าทีฝังเข็มที่จดจ่อและตั้งใจของซูฉีฉีบนใบหน้าของม่อเวิ่นเฉินก็มีความพึงพอใจเผยออกมาแวบหนึ่ง
เขาเองก็ยอมรับว่าตนนั้นได้หวั่นไหวแล้ว
มิใช่เพราะการพนัน แต่เป็เพราะนิสัยที่มั่นคงและเด็ดเดี่ยวของซูฉีฉีและเป็เพราะท่วงท่าอันสงบนิ่งมิสนใจผู้ใดของนาง แม้รูปโฉมของนางจะไม่ได้งดงามแต่ในสายตาของม่อเวิ่นเฉินนั้นนางกลับเหมือนดอกบัวขาวที่โผล่พ้นจากผิวน้ำดูสูงส่งจนมิอาจเอื้อมถึง
เมื่อเห็นหน้าผากของซูฉีฉีมีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆผุดขึ้น ม่อเวิ่นเฉินก็หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าในอกเสื้อออกมาเช็ดให้นางอย่างแ่เบา...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้