เหลยอวี๊เฟิงหมุนดาบของตนเองออกก่อนจะจับซูชือฉางเอาไว้แล้วถีบตัวลอยกลับไปอยู่ด้านข้างของม่อเวิ่นเฉินด้วยกัน
เขารอเพียงประโยคนี้ของม่อเวิ่นเฉินเท่านั้นจะใช้ป้ายคุมทหารเป็การแลกเปลี่ยนไม่ได้โดยเด็ดขาด กระทั่งชีวิตเขายังยอมเสียสละเพียงเพื่อให้ม่อเวิ่นเฉินรักษาป้ายคุมทหารเอาไว้ได้เพราะว่าต่อให้เขาจะแข็งแกร่งมาจากไหนหากไม่มีกำลังทหารของตนเองแล้วก็สามารถตายได้อย่างอนาถเช่นกัน
เพราะอย่างไรเสียเขาก็เป็เหมือนหอกหนามที่ทิ่มแทงม่อเวิ่นเสวียนอยู่ทุกวี่วัน
ทางด้านนี้ยอมทิ้งซูฉีฉีแล้วเช่นนั้นม่อเวิ่นเสวียนก็ไม่มีคุณสมบัติใดๆ ในการมาต่อสู้กับม่อเวิ่นเฉินอีกวันนี้เขาอาจจะมีเพียงการตายเป็ทางออกเดียวเท่านั้น
นักพรตชุดสีไพลินจ้องไปที่อ๋องติ้งเป่ยโหวที่ผู้คนล่ำลือกันว่าเป็คนเ็าไร้ความรู้สึกอย่างถึงที่สุดผู้นี้อย่างคาดไม่ถึงบางทีข่าวลืออาจจะเป็ความจริง คนผู้นี้เืเย็นเสียจริงๆ
กระทั่งพระชายาของตนยังสามารถทอดทิ้งได้
ทั้งที่เขายอมใช้ป้ายคุมทหารแลกกับเหลยอวี๊เฟิงแท้ๆ
เช่นนั้นกับภรรยาที่ร่วมเตียงเคียงหมอนเหตุใดเขาถึงเผิกเฉย มิสนความเป็ตายของนางกัน
ความหวังเงินทองและลาภยศที่เขาเห็นอยู่เบื้องหน้านั้นได้มลายหายไปกับตาในใจมีเพียงความเคียดแค้น ความเกลียดแค้นนั้นเป็ความรู้สึกที่เขามีต่อม่อเวิ่นเฉินแต่ไม่นานมันก็ค่อยๆ ย้ายไปอยู่บนตัวของซูฉีฉี
ใช่แล้ว เขารู้สึกว่าสตรีในมือตนนั้นช่างไร้ประโยชน์เสียจริงๆ
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ดาบในมือเขาก็กำแน่นมากขึ้นเพียงแค่ออกแรงดึงนิดเดียวซูฉีฉีก็จะต้องดับชีวิตลงอย่างแน่นอน...
“อย่า...”ม่อเวิ่นเฉินะโออกมาอยู่ดี เขาทอดทิ้งซูฉีฉีแล้วก็จริง แต่จะให้เขาเห็นนางตายไปต่อหน้านั้นเขาก็ไม่อาจทำได้อยู่ดี
เขาติดค้างสตรีผู้นี้ไว้เยอะเยอะมากจริงๆ...
ซูฉีฉีลืมตาขึ้นกะทันหันในดวงตานางนั้นใสสงบดุจผืนน้ำในทะเลทราบ ไม่มีการสั่นไหวในแววตาแม้แต่น้อย
นางรู้สึกเ็ปตรงบริเวณลำคอทว่านางไม่ได้ขยับแต่กลับกำเข็มทองในมือไว้แน่นก่อนจะทิ่มมันลงบนแขนของนักพรตอย่างแรงทำให้มือที่ถือดาบของเขาสั่นเบาๆ
ดาบได้หลุดพ้นออกจากลำคอของนางแล้ว
เพียงแต่ว่านางไม่มีกำลังภายในแม้แต่น้อยแรงของนางยังถือว่าไม่เพียงพอ นักพรตชุดสีไพลินทำเพียงแค่ส่งเสียงหึออกมาในลำคอ ก่อนที่จะดาบจะทาบลงมาบนลำคอนางแรงขึ้นตอนนี้ทั่วทั้งร่างเขาแผ่ไอสังหารออกมาอย่างหนักหน่วงบีบให้ร่างของซูฉีฉีต้องสั่นสะท้านเล็กน้อย
ทางด้านม่อเวิ่นเฉินเหลยอวี๊เฟิงและเหลิ่งเหยียนก็กำลังมองไปทางด้านนั้นอย่างร้อนรนสำหรับการต่อต้านของซูฉีฉีนั้นอยู่เหนือความคาดหมายของทุกคน
พวกเขารู้ว่าสตรีนางนี้ไม่ธรรมดาแต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่าตอนนี้นางกำลังดิ้นรนจนวินาทีสุดท้าย
ดาบทาบลงมาบนลำคอของซูฉีฉีอีกครั้งมืออีกข้างของซูฉีฉีที่ถือเข็มทองไว้ได้ทิ่มลงไปบนจุดที่แขนของนักพรตอย่างไม่ลังเลขอเพียงนางทิ่มลงจุดอย่างแม่นยำแล้ว แขนข้างนั้นของนักพรตจะต้องพิการอย่างแน่นอน
แต่ว่าฝีมือของนักพรตนั้นไม่ใช่ว่าคนอย่างซูฉีฉีจะรับมือได้ไหวเขาเพียงแค่ถอยหลังเล็กน้อยก็สามารถหลบการกระทำของนางได้อย่างแม่นยำ
เป็เื่ที่ง่ายดายยิ่งนัก
ม่อเวิ่นเสวียนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นก็ปรากฏความชื่นชมในแววตามากขึ้นซูฉีฉี ถ้าหากครั้งนี้เ้าสามารถมีชีวิตรอดไปได้ข้าจะต้องหาทางรับเ้ามาเป็สนมให้ได้อย่างแน่นอน
อยู่ๆเขาก็รู้สึกว่าครั้งก่อนที่เปลี่ยนคู่อภิเษกนั้นเป็เื่ที่ผิดมหันต์
ม่อเวิ่นเฉินที่แต่เดิมนั้นองอาจไร้เทียมทานเมื่อเพิ่มซูฉีฉีเข้าไปอีกนั้นก็ยิ่งทำให้เหมือนพยัคฆ์ติดปีกน่ากลัวขึ้นอีกเป็เท่าตัว
อีกทั้งจุดเด่นของซูฉีฉีก็คือการที่นางรู้ซึ้งดีถึงฐานะของตน
นางรู้เสมอว่าจะรักษาตัวให้รอดได้เช่นใดมิต้องให้ผู้อื่นเป็กังวล
ดวงตาของนักพรตมีความเยือกเย็นมากขึ้นเขาคิดไม่ถึงว่าแม่หนูน้อยที่ดูอ่อนแอไร้ทางสู้เช่นนี้จะบีบให้เขาต้องมีสภาพย่ำแย่ได้ถึงเพียงนี้ไอสังหารกระจายออกไปทั่วก่อนที่เขาจะหันตัวไปด้านข้างและยกดาบในมือขึ้นฟันลงไปตรงหน้าของซูฉีฉีอย่างไม่ลังเล
ม่อเวิ่นเฉินที่แต่เดิมกำลังปิดตาอยู่นั้นก็ดีดตัวขึ้นจากม้าอย่างรวดเร็วตั้งใจพุ่งตัวเข้าไปช่วยซูฉีฉี
“เวิ่นเฉินไม่ได้นะ”
“ท่านอ๋อง อย่านะ”
เหลยอวี๊เฟิงและเหลิ่งเหยียนพุ่งตัวออกไปข้างหน้าพร้อมกันพวกเขากดม่อเวิ่นเฉินที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศให้ลงไปที่พื้น
ฝั่งตรงข้ามนั้นเต็มไปด้วยศัตรูต่อให้ม่อเวิ่นเฉินจะเป็เทพเซียนมาจากไหนก็คงยากที่จะมีชีวิตรอดกลับมา
สำหรับการกระทำของม่อเวิ่นเฉินนั้นซูฉีฉีเพียงแค่เหลือบตามอง ในใจของนางยังคงเ็ปอยู่แม้ว่าสีหน้าของบุรุษผู้นั้นจะแสดงออกถึงความร้อนรนและว้าวุ่น แต่นางก็ยังคงบอกตนเองว่าไม่ต้องเก็บเอามาใส่ใจ
ทั้งหมดล้วนไม่ใช่ความจริงมิใช่หรือ
มิเช่นนั้นประโยคเมื่อครู่ของเขาจะหมายความว่าเช่นไรล้างแค้น?นางต้องรอให้เขามาล้างแค้นให้ตนเองงั้นหรือ?
ซูฉีฉีกระตุกยิ้มเย็นขึ้น แววตานิ่งสงบ สีหน้าราบเรียบขณะมองไปที่ดาบยาวที่กำลังจะฟาดลงมาบนตัวตนนางไม่แม้แต่จะกระพริบตา ปากของนางอ้าออกมาเล็กน้อยในวินาทีที่นางอ้าปากนั้นก็มีแสงเงินๆ พุ่งออกมาแวบหนึ่งดาบยาวของนักพรตชุดสีไพลินก็ฟันลงมาเบื้องหน้านางในเวลาเดียวกัน
ทว่าอยู่ๆ ดาบในมือเขาก็หยุดไม่ขยับเสียอย่างนั้นกระทั่งร่างกายของเขาก็ไม่ขยับเช่นกัน
เขาจ้องไปที่ซูฉีฉีด้วยแววตาที่คาดไม่ถึงที่แฝงไปด้วยความหวาดกลัวอยู่เต็มเปี่ยม
จากนั้นเขาก็ค่อยๆแหงนหลังร่วงหล่นไปด้านล่าง คลุกตัวผสมเข้ากับดินทรายบนพื้น
ในวินาทีที่แสงเงินพุ่งออกมานั้นม่อเวิ่นเฉินก็ออกแรงทั้งหมดของตนสะบัดเหลยอวี๊เฟิงและเหลิ่งเหยียนออกไปจากนั้นก็ดีดตัวขึ้น ก้าวเหยียบศีรษะของยอดฝีมือในยุทธภพและพุ่งตัวไปหาซูฉีฉี
ยังมิทันที่ทุกคนจะรู้ได้ถึงสาเหตุที่ทำให้นักพรตนั้นร่วงลงไปบนพื้นนั้นเป็เพราะเหตุใดม่อเวิ่นเฉินก็ได้โอบซูฉีฉีไว้ในอ้อมกอดแล้ว จากนั้นเขาก็ดีดตัวลอยขึ้นดั่งเช่นตอนที่มาเมื่อครู่ โผบินดั่งวิหคั์พาตนเองและซูฉีฉีกลับมาบนหลังอาชาของตนเป็ที่เรียบร้อย
มือหนึ่งของเขากำเชือกบังเหียนไว้แน่นอีกมือหนึ่งก็โอบรัดตัวของซูฉีฉีให้แน่นขึ้น เขามิได้มองนางและไม่กล้าที่จะมองนาง
แต่เขากลับมองไปที่ม่อเวิ่นเสวียนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “เสด็จพี่ต่อจากนี้พวกเราก็มาตกลงกันเถิดว่าจะจัดการกับอัครมหาเสนาบดีของพระองค์อย่างไรดี”
เขาเอ่ยออกมาด้วยท่าทีสบายๆ
สีหน้ายังคงไร้ความรู้สึกเช่นเคย
ซูฉีฉีที่ถูกม่อเวิ่นเฉินโอบกอดไว้นั้นรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นบนบริเวณหน้าอกของเขาอีกทั้งยังรู้สึกได้ถึงการเต้นที่ไม่มั่นคงแต่ยังคงไว้ซึ่งพลังของหัวใจเขา
ซูฉีฉีที่เมื่อครู่มองดูความเป็ตายมองดูทุกสรรพสิ่งอย่างเชยฉากลับรู้สึกสับสน ในใจของนางรู้สึกสับสนจริงๆ
บุรุษผู้นี้ไม่ว่าเมื่อไหร่นางก็ไม่เคยเข้าใจเขาเลย
ใช่แล้วถ้าหากว่าเมื่อครู่นางมิได้ช่วยตนเองได้ ไม่สามารถปล่อยเข็มทองให้ทิ่มลงไปบนจุดสำคัญของฝ่ายตรงข้ามได้ในวินาทีสุดท้ายม่อเวิ่นเฉินจะไม่ลงมือแน่ จุดนี้ซูฉีฉีรู้ดีกว่าผู้ใด
แต่ว่าสิ่งที่ม่อเวิ่นเฉิน้าก็คือผู้หญิงเช่นนี้
การเปลี่ยนแปลงที่กะทันหันเช่นนี้ทำให้ยอดฝีมือในยุทธภพที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่ร้อยคนล้วนแต่ตกอยู่ในอาการตื่นตระหนก
ไม่มีผู้ใดมองเห็นชัดเจนว่าซูฉีฉีทำอันใดลงไปเมื่อครู่แต่ว่านักพรตชุดสีไพลินผู้นั้นได้ล้มลงไปแล้วรอจนกระทั่งม่อเวิ่นเฉินได้ช่วยซูฉีฉีกลับไปแล้วพวกเขาถึงจะเห็นได้ว่านักพรตที่ล้มลงบนพื้นนั้นได้มีเืออกทั้งเจ็ดทวารจนเสียชีวิตลงแล้วและบนลำคอของเขาก็มีเข็มสีทองปักเด่นเป็สง่าอยู่
ท่ามกลางสายลมที่พัดผ่านทำให้เข็มเล่มนั้นสั่นไหวอยู่เบาๆ
ไม่มีผู้ใดเห็นซูฉีฉีลงมือแต่ว่านางก็ได้ทำให้ยอดฝีมือคนหนึ่งสิ้นชีวิตลงเสียแล้ว
ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ผู้คนรู้สึกเสียวสันหลังวาบไปตามๆกัน
กระทั่งเหลิ่งเหยียนและเหลยอวี๊เฟิงก็ยังต้องถึงกับเหงื่อตก
พระชายาของพวกเขามักจะทำเื่เหลือเชื่อมาให้พวกเขาเห็นอยู่เสมอเลย
ตอนนี้ สถานการณ์ได้กลายมาเป็การได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัดของฝ่ายหนึ่งแล้ว
ครั้งนี้ม่อเวิ่นเสวียนนั้นต้องเสียทั้งเงินเสียทั้งกำลังพลเสียแล้ว
ม่อเวิ่นเสวียนที่บัดนี้ได้มีสีหน้าม่วงคล้ำกำลังจับจ้องไปที่ซูฉีฉีในดวงตาเขาเต็มไปด้วยความเกลียดแค้น สตรีผู้นี้ได้ทำให้เสียเื่อีกแล้ว
เขาโมโหเสียจนไม่รู้จะเอ่ยคำใดออกมาดี
ทว่าซูชือฉางที่ได้ถูกกองทหารโลหิตคุมตัวเอาไว้ก็คุกเข่าลงกะทันหันอีกทั้งยังเป็การคุกเข่าให้แก่ซูฉีฉีอีกด้วย
สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ฉีฉี เห็นแก่ที่พวกเราเป็พ่อลูกกัน ขอให้เ้าไว้ชีวิตพ่อด้วยเถิด”
การคุกเข่าครั้งนี้ทำให้ทุกคนโดยรอบต้องตกตะลึงอีกครั้ง
บิดาได้คุกเข่าให้แก่บุตรสาวเสียแล้ว
กระทั่งม่อเวิ่นเสวียนยังทนดูต่อไปไม่ได้ เขารู้สึกอับอายขายขี้หน้าถึงที่สุด
ซูฉีฉีที่อยู่ในอ้อมกอดของม่อเวิ่นเฉินนั้นนิ่งอึ้งไปนางมิได้เอ่ยอะไรเพียงแต่เอียงตัวเล็กน้อยและแหงนหน้าขึ้นสบสายตากับม่อเวิ่นเฉินแวบหนึ่งในใจของนางเสมือนมีคลื่นซัดโหมกระหน่ำ ทุกอารมณ์ผสมปะปนกันไปจนหมด
จริงอยู่ที่เขาคือบิดาของตนต่อให้ไม่มีความรักของพ่อลูก แต่ถึงอย่างไรก็เลี้ยงดูนางมาหลายปี
ม่อเวิ่นเฉินมองเห็นถึงอารมณ์ความรู้สึกที่ปรากฏขึ้นในดวงตาของซูฉีฉีเขาพยักหน้าลง เขาติดค้างสตรีผู้นี้อีกทั้งเขาไม่อยากให้ซูฉีฉีในตอนนี้ต้องรู้สึกลำบากใจ อย่างไรเสียคนทั้งหมดก็กำลังมองมาที่นางอยู่
“ให้กองทัพของท่านทั้งหมดถอยออกไปพันลี้”ซูฉีฉีพูดเน้นย้ำออกมาทุกคำนางรู้ดีอยู่แก่ใจว่าครั้งนี้ม่อเวิ่นเฉินกำลังให้นางได้ลิ้มรสผลแห่งชัยชนะของตนเองเขาสามารถฆ่าทุกคนในที่นี้ได้จนหมดไม่มีเหลือ จากนั้นก็ยึดครองแผ่นดินนี้เอาไว้เสียเอง
แต่ว่า เขาก็ไม่ได้ทำ
เขามอบทุกอย่างให้กับซูฉีฉีให้นางได้ตอบแทนบุญคุณของผู้เป็บิดา
“จากนี้ไปข้ากับท่านจะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกันอีก”