“หยุดมือให้หมด”
เหลยอวี๊เฟิงและนักพรตชุดสีไพลินะโออกมาพร้อมกัน
ในมือของเหลยอวี๊เฟิงนั้นกำลังจับกุมซูชือฉางไว้อยู่และในมือของนักพรตเสื้อสีไพลินคือซูฉีฉี ต่างฝ่ายต่างยืนกันอยู่คนละฝั่งล้วน้าข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม
เมื่อเห็นว่าท่านแม่ทัพโดนจับกุมตัวไว้ทหารม้าทั้งหมดก็หยุดเดินไปข้างหน้าทันทีทุกคนล้วนยืนอยู่ที่เดิมไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย
พวกเขารับฟังเพียงคำสั่งของแม่ทัพเท่านั้นหาได้ใส่ใจคำพูดของฮ่องเต้เบื้องหน้าไม่
เพราะฉะนั้นการที่เหลยอวี๊เฟิงทำเช่นนี้นั้นถือว่าได้ผลเป็อย่างมาก
ในทางกลับกันม่อเวิ่นเฉินที่เห็นว่าในมือของนักพรตเสื้อสีไพลินนั้นเป็ซูฉีฉีสีหน้าของเขาก็เ็ามากขึ้น ไอสังหารกระจายโอบอุ้มพื้นที่โดยรอบทำให้คนรอบข้างเขาล้วนรู้สึกถึงบรรยากาศอันหนาวเย็น
ม่อเวิ่นเฉินบันดาลโทสะเสียแล้วดูเหมือนว่ามีคนไปสะกิดจุดอ่อนไหวของเขาคนที่ทำให้เขาเจ็บจะต้องเจ็บกว่าเป็ร้อยเป็พันเท่า
เมื่อเห็นภาพตรงหน้าม่อเวิ่นเสวียนกลับรู้สึกหมดหวังขึ้นมา ความหวังที่ปรากฏเมื่อครู่ได้หายวับไปแล้วเขารู้ดีถึงความสำคัญของซูฉีฉีในหัวใจของม่อเวิ่นเฉินเป็อย่างดี ถ้าหากว่าจับนางเป็ทางออกที่ดีล่ะก็เขาคงสั่งให้ลูกน้องไปจับซูฉีฉีไว้เสียแต่แรกแล้ว
ดูเหมือนว่าวันนี้กองทัพจะต้องตายด้วยกันหมดแล้วไม่เหลือความหวังเลยแม้แต่น้อย
ในขณะที่ม่อเวิ่นเสวียนกำลังหมดหวังนั้นม่อเวิ่นเฉินกลับยกมือของตนเองขึ้นและสั่งให้ทุกคนรีบถอยกลับออกมาอย่าได้วู่วามลงมือเป็อันขาด
ทำให้ซูฉีฉีที่แต่เดิมมีสีหน้าราบเรียบหลุบตาลงต่ำนั้นรีบเงยหน้าของตนขึ้นมามองในทันที นางไม่เข้าใจบุรุษตรงหน้า แม้ว่าตลอดทางที่ผ่านมาเขาจะแสดงท่าทีอ่อนโยนมากกว่าเดิมมากนักแต่นางก็ไม่กล้าให้ตนเองมีความหวังอีกแม้แต่น้อย
ทว่าตอนนี้เขากลับมีสีหน้าเยือกเย็นขณะบอกสั่งให้ทุกคนห้ามขยับเป็อันขาด
นี่หมายความว่าอย่างไรกันแน่?
กระทั่งเหลิ่งเหยียนและเหลยอวี๊เฟิงก็ล้วนแต่นิ่งอึ้งไป
เหลยอวี๊เฟิงที่ดึงตัวซูชือฉางค้างไว้อยู่นั้นรู้สึกเหมือนตนเองกำลังหูฝาดเมื่อเห็นม่อเวิ่นเฉินกำลังออกคำสั่งกับกองทหารโลหิตอย่างไม่ลดละเขาก็รีบยกมือขึ้นขยี้ตาตนเอง คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันน้อยๆก่อนจะนึกเื่หนึ่งขึ้นมาได้...
การพนันของตนกับเขา!
เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้เขาก็ส่ายศีรษะไม่หยุดแค่ดาบเสวียนหยวน เขาจำเป็ต้องจริงจังถึงเพียงนี้ในเวลาเช่นนี้ด้วยหรือ?
อย่างนี้ย่อมได้ใจของซูฉีฉีเป็แน่ทว่าสิ่งที่ต้องเสียไปกลับมีมากกว่า
“เสด็จพี่ให้คนของท่านปล่อยคน” ม่อเวิ่นเฉินจ้องไปที่ม่อเวิ่นเสวียนก่อนจะย้ำแต่ละคำออกมาอย่างชัดเจนด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นผิดปกติ “ข้ารับประกันว่าจะไว้ชีวิตอัครมหาเสนาบดีซู”
ความหวังค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอีกครั้งตอนนี้ในใจของม่อเวิ่นเสวียนสับสนยิ่งนักเขาเองก็จับจ้องไปที่ใบหน้าของม่อเวิ่นเฉิน ไม่ให้สีหน้าใดๆ ของม่อเวิ่นเฉินเล็ดลอดจากสายตาของตนไปได้เขาไม่สามารถใช้ชีวิตของตนเป็เดิมพันได้
ความจริงแล้วเขายังไม่เข้าใจม่อเวิ่นเฉินดีเท่าใดนัก
ยิ่งไม่รู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของม่อเวิ่นเฉิน
เขาหันกลับไปมองซูชือฉางและยอดฝีมือทั้งหลายที่ถูกทำร้ายจนอเนจอนาถแวบหนึ่ง
ตอนนี้เขารู้สึกว่ากองทหารม้านั้นดูจะมีประโยชน์ที่สุด
เพราะฉะนั้นแต่เดิมเขาคิดว่าซูชือฉางนั้นสมควรตายเป็อย่างมากโดยเฉพาะเมื่อคิดถึงความสัมพันธ์ของเขากับเสด็จแม่ของตนก็ยิ่งทำให้เขาคิดอยากจะเอาดาบแทงทะลุหัวใจของซูชือฉางเองเสียยิ่งดี
แต่ว่าในเวลานี้มีเพียงซูชือฉางเท่านั้นที่จะสามารถช่วยตนได้
ซูฉีฉีเองก็มองดูสถานการณ์เงียบๆ เช่นกันนางกำลังคิดว่าม่อเวิ่นเฉิน้าทำอะไรกันแน่
เขาเป็ห่วงนางจริงๆ หรือ?
นางหรี่ตาลงเล็กน้อยหรือว่าบางทีอาจเป็เพราะการตายของมารดานางทำให้เขารู้สึกผิดถ้าหากมิใช่เพราะม่อเวิ่นเฉินมารดาของนางคงไม่ถูกบีบจนต้องเลือกที่จะฆ่าตัวตายอย่างแน่นอน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจของนางก็ค่อยๆสงบลงก่อนที่นางจะแหงนหน้าขึ้นมองสถานการณ์บริเวณรอบๆ
เมื่อเห็นธงอ๋องและธงฮ่องเต้สะบัดไปมานั้นในดวงตาของนางก็ปรากฎแสงสว่างขึ้นแวบหนึ่งนางจะต้องให้ธงอ๋องแทนที่ธงฮ่องเต้ให้ได้
“ได้” ผ่านไปเนิ่นนานก่อนที่ม่อเวิ่นเสวียนจะตอบรับออกมาเสียงต่ำ
จากนั้นเขาก็หันไปโบกมือให้กับนักพรตเสื้อสีไพลินผู้นั้น “ปล่อยนาง”
แล้วเขาก็หันไปจับจ้องซูฉีฉีอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่งความสนใจในแววตาหยั่งลึกลงไปมากยิ่งขึ้น ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินความสำคัญของสตรีผู้นี้ในใจม่อเวิ่นเฉินต่ำไปเสียแล้ว
ถ้าหากรู้เช่นนี้แต่แรกเมื่อตอนอยู่ในวังหลวงนั้นก็สามารถทำให้ม่อเวิ่นเฉินตายได้แล้วไหนเลยจะต้องคิดวางแผนมากมายในการจับตัวเหลยอวี๊เฟิงมาจนทำให้ตกอยู่สถานการณ์ลำบากเฉกเช่นตอนนี้ได้
เขาน่าจะเปลี่ยนแผนการสู้รบของตน
เพียงแต่ว่าตอนนี้ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว
ตอนนี้รักษาชีวิตได้จึงจะสำคัญที่สุด
นักพรตมองไปที่ซูชือฉางแวบหนึ่งก่อนจะมองไปที่ม่อเวิ่นเสวียนสุดท้ายเขาก็กระตุกยิ้มที่มุมปากขึ้น “ท่านอ๋องติ้งเป่ยโหวให้ข้าปล่อยคนนั้นย่อมได้ แต่ข้าไม่อยากแลกเปลี่ยนนางกับท่านแม่ทัพคนนี้”
เขาเหมือนจะรู้สึกได้ถึงความสำคัญของตัวประกันในมือเพราะเหตุนี้จึงทำให้เขาใจกล้าขึ้นอีกมาก
ต้องรู้ว่าการมาครั้งนี้ของทุกคนนั้นล้วนมาเพื่ออำนาจและเงินทองด้วยกันทั้งสิ้น
ขอเพียงสามารถทำเื่ใหญ่ให้ฮ่องเต้สำเร็จทุกอย่างที่เขาอยากได้ก็จะตกมาอยู่ในมือของเขา สำหรับซูชือฉางนั้นเขาไม่เห็นอยู่ในสายตามาั้แ่แรกแล้ว
คนในยุทธภพบางครั้งก็ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา
เสียงของนักพรตชุดสีไพลินนั้นดังมากทำให้คนที่อยู่ในพื้นที่ทั้งหมดล้วนได้ยินอย่างชัดเจนเหลยอวี๊เฟิงที่จับกุมซูชือฉางนั้นฉายความเยือกเย็นออกมาทางแววตาขณะจับจ้องไปที่นักพรตดาบที่ทาบอยู่ตรงคอกระชับแน่นมากขึ้น
ทำให้ใบหน้าของซูชือฉางขาวคล้ำสลับไปมาในดวงตามีความหวาดกลัวปรากฏขึ้นบางๆ จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปทางบุตรสาวของตนความจริงแล้วซูฉีฉีก็เป็บุตรสาวแท้ๆ ของตนแต่ว่าเขากลับรู้สึกว่าไม่อาจใกล้ชิดกับนางได้
เขาเคยรักและโปรดปรานเซี่ยเสี่ยวเตี๋ยแต่เหมือนกับว่าอยู่มาวันหนึ่งสตรีผู้นั้นก็ถอยตัวออกห่างจากเขา
เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าเพราะอะไร
ตอนนี้เขาและบุตรสาวล้วนกลายเป็ตัวประกันและดูเหมือนว่าชีวิตของตนนั้นจะไม่มีผู้ใดสนใจทว่าชีวิตของบุตรสาวตนนั้นกลับมีความสำคัญมาก ความรู้สึกเช่นนี้ประหลาดนักและก็รู้สึกจนปัญญาเป็อย่างยิ่ง
เขาไม่รู้ว่าจะขอให้บุตรสาวช่วยตนเองดีหรือไม่
สีหน้าของม่อเวิ่นเฉินไม่เปลี่ยนแปลงเขายังคงมองไปที่นักพรตอย่างนิ่งๆ ดวงตาฉายประกายแห่งความเยือกเย็นออกมาทว่าบนใบหน้ากลับฉีกยิ้มออกมาทำให้คนอดรู้สึกสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวมิได้
ทุกคนในกองทหารโลหิตต่างรู้ดีว่าม่อเวิ่นเฉินในตอนนี้ได้โมโหถึงขั้นสุดแล้ว
เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากฝ่ายตรงข้ามนักพรตก็รู้สึกร้อนรนบ้างแล้วเขามองไปที่ม่อเวิ่นเสวียนอีกครั้งและเหมือนได้รับการอนุญาตจากม่อเวิ่นเสวียนทำให้เขารีบหันศีรษะกลับมาในทันที “ท่านอ๋องติ้งเป่ยโหวถ้าหากอยากจะให้พระชายาอยู่รอดปลอดภัยแล้วท่านก็จงนำป้ายคุมทหารมาแลกเสีย”
ในดวงตามีความคึกคะนองปรากฏขึ้น
เสมือนว่าเขาได้เห็นอนาคตสดใสอยู่เบื้องหน้าแล้ว
ดาบที่ทาบอยู่บนลำคอของซูฉีฉีก็ออกแรงมากขึ้นด้วยเหตุมาจากการที่นักพรตนั้นรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อยกระทั่งนิ้วมือของเขายังสั่นระริกอยู่เบาๆ ความจริงแล้วเขาก็กลัวม่อเวิ่นเฉินเช่นกันความโหดร้ายเ็าที่แผ่กระจายออกมาจากตัวของม่อเวิ่นเฉินทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวจริงๆ
แต่เขาก็ต้องพยายามทนเอาไว้เพื่ออนาคตอันสดใส เพื่อทองคำก้อนโตจำนวนมาก
เมื่อเห็นนักพรตชุดสีไพลินผู้นั้นเป็เช่นนี้รอยยิ้มบนใบหน้าของม่อเวิ่นเสวียนก็หยั่งลึกมากขึ้นดูเหมือนว่าวันนี้เขาอาจจะไม่พ่ายแพ้ก็เป็ได้
ม่อเวิ่นเฉินที่กระตุกยิ้มเย็นกลับไม่เอ่ยคำใดๆออกมา เขาเพียงแค่จับจ้องสายตาไปที่ซูฉีฉีเสมือนว่ากำลังทำการตัดสินใจที่ยากลำบากอยู่ในดวงตาเหมือนฉายแววแห่งความเ็ปออกมาแวบหนึ่ง
แววตาเมื่อครู่นั้นซูฉีฉีเห็นมันอย่างชัดเจน ไม่มีทางผิดแน่
ซูฉีฉีในตอนนี้กลับรู้สึกเ็ปที่หัวใจเบาๆ
บุรุษผู้นี้เริ่มที่จะห่วงใยในตัวซูฉีฉีแล้วไม่ใช่ความรู้สึกที่คิดไปเอง หากเป็เมื่อก่อนม่อเวิ่นเฉินในตอนนี้จะต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ทอดทิ้งนางไปอย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่าความลังเลของเขาในตอนนี้ทำให้จิตใจของซูฉีฉีรู้สึกปั่นป่วนเป็อย่างยิ่ง
สถานะของนางในหัวใจของเขาคงไม่อาจเอามาเทียบกับป้ายคุมทหารกระมัง
ซูฉีฉีปิดตาลงเบาๆ บังคับตัวเองให้หยุดคิดหากคิดไปก็เพียงแต่จะทำให้ใจของตนเจ็บมากขึ้น หมดหวังมากขึ้นเท่านั้น
ทั้งสองฝ่ายต่างจ้องกันไปมาเหลยอวี๊เฟิงก็มีสีหน้าร้อนรนขณะมองไปที่ม่อเวิ่นเฉิน เขากลัวจริงๆเพราะว่าม่อเวิ่นเฉินได้ลังเลเสียแล้ว
ม่อเวิ่นเฉินก็รู้สึกได้ว่าลมที่พัดมานั้นโหมแรงมากแรงจนทำให้ใบหน้าของเขาเจ็บแสบไปหมด
ม่อเวิ่นเฉินปิดตาลงสนิทจากนั้นไม่นานเขาก็ลืมตาขึ้นมาตอนนี้ในดวงตาเหลือไว้เพียงความเ็าและไร้ความรู้สึกเท่านั้น “ฉีฉี...ขอโทษด้วย ข้าจะต้องแก้แค้นให้กับเ้าอย่างแน่นอน”
ทันใดนั้นบริเวณโดยรอบก็เงียบสนิทที่แท้ความหวังเพียงนิดเดียวก็ไม่ควรจะมีซูฉีฉีมิได้ลืมตาขึ้นและก็ไม่ได้หลั่งน้ำตาออกมา เป็อีกครั้งที่นางรู้สึกเหมือนร่วงลงมาจากท้องฟ้าและจมดิ่งสู่ก้นเหวหัวใจรู้สึกเ็ปเหลือเกิน
และในขณะเดียวกันนั้นเหลยอวี๊เฟิงก็ได้ขยับแล้วเช่นกัน...