ความรู้สึกภายในใจของหลี่ซื่อ เจินจูเข้าใจได้ มีบางคนที่มีปณิธานบางอย่างมักจะไม่ได้รู้สึกว่า การมุ่งแต่จะรับของขวัญจากคนอื่นอย่างเดียว เป็เื่ที่ควรค่าแก่การดีใจ แม้นับว่าเป็ญาติพี่น้องของตนเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น และมักจะรู้สึกไม่ดีเช่นเดียวกัน
ที่เรียกว่า “รับมาและไม่ให้กลับนับว่าไร้มารยาท” แม้นเป็ครอบครัวที่ยากจนแต่เมื่อได้รับของกำนัลมาก็ควรต้องให้ของกำนัลกลับไป ถือเป็มารยาทขั้นพื้นฐาน หวังซื่อแม้จะมีเจตนาดีและอดไม่ได้ที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลทางการเงินของบุตรชายคนเล็ก แต่ในใจหลี่ซื่อรู้สึกเกรงใจเป็อย่างยิ่ง
เจินจูไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจงใจเอ่ยเสียงดัง “ท่านย่า รอให้ท่านพ่อกับท่านอากลับมา แล้วให้พวกเขาไปรมควันโพรงกระต่ายอีกสักสองสามโพรง ถึงตอนนั้นก็จะสามารถเอากระต่ายตัวผู้สองสามตัวไปขายได้ เก็บกระต่ายตัวเมียและลูกกระต่ายไว้เลี้ยงต่อ พอผ่านไปสองเดือนลูกกระต่ายโตขึ้นก็สามารถเอาไปขายได้อีกรุ่นหนึ่ง”
นางหยุดไปชั่วครู่ เห็นหลี่ซื่อหยิบตะกร้าเปล่าออกมา จึงกล่าวต่ออย่างแสร้งทำไร้เดียงสา “กระต่ายเลี้ยงดูง่ายมาก พวกมันชอบกินหญ้าและผักป่าบนูเา ขอแค่หาช่องทางขายระบายพวกมันออกได้ พวกเราก็สามารถเลี้ยงต่อได้ตลอด และยังสามารถหาเงินได้มากด้วย”
หวังซื่อมองเจินจูอย่างประหลาดใจ ถามด้วยความลังเล “เจินจู กระต่ายนี่ดูเหมือนเลี้ยงไม่ง่ายเลย ที่บ้านท่านปู่เ้าก็เคยเลี้ยงมาสองสามครั้ง และภายในไม่กี่วันก็มักจะตาย เวลาที่เลี้ยงได้นานสุดล้วนไม่เกินครึ่งเดือนเลย”
เมื่อครู่นางเห็นกระต่ายตัวใหญ่เล็กมากมายเช่นนั้นก็คิดจะพูดออกมาเหมือนกัน นางกลัวว่าอีกไม่กี่วันพวกมันจะตายลง
เจินจูฟังแล้วเกิดความสงสัย กระต่ายป่าของยุคโบราณนี่เลี้ยงยากหรือ?
พอมาคิดดูอีกที การเลี้ยงกระต่ายของยุคปัจจุบันแพร่หลายนัก เด็กผู้หญิงหลายคนล้วนเคยเลี้ยง หากเลี้ยงยากคงไม่เป็ที่นิยมขึ้นมาได้แน่ แล้วอีกอย่างบิดาของนางเคยเลี้ยงมาแล้วหลายตัว เลี้ยงดูอุ้มชูมาอย่างดีครึ่งปีเลยด้วย แต่สุดท้ายเป็เพราะมารดาของนางไม่ชอบกลิ่นของพวกมันจึงไม่เลี้ยงต่อแล้ว แต่ตอนนั้นนางไม่ได้สนใจเป็พิเศษก็เท่านั้นเอง
ลูกตาของนางขยับเล็กน้อย นึกถึงมิติช่องว่างของตนขึ้นมาได้ ต่อให้สภาพกระต่ายไม่ดีอย่างไร แค่เลี้ยงด้วยพืชผลที่ปลูกจากมิติช่องว่าง ก็กลับมาเลี้ยงต่อได้แล้ว จึงเอ่ยด้วยเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขว่า “ท่านย่า เมื่อครู่ท่านก็เห็นแล้ว ตอนนี้กระต่ายเลี้ยงได้ดีเลย วันก่อนกระต่ายตัวเมียตัวหนึ่งยังคลอดลูกกระต่ายห้าตัวออกมาอีกด้วย เลี้ยงกระต่ายไม่สามารถเลี้ยงเช่นไก่ที่จะให้อาหารพวกมันตามอำเภอใจได้ ท่านปู่อาจไม่ทันได้ระวัง เลี้ยงหญ้าที่ไม่สะอาดหรือให้พวกมันดื่มน้ำดิบกระมัง”
หวังซื่อและหลี่ซื่อฟังอย่างตั้งใจ หมู่บ้านใกล้เคียงไม่เคยได้ยินว่ามีผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงกระต่าย หากสามารถเลี้ยงได้สำเร็จจริง เช่นนั้นผลกำไรคงมากพอสมควรเลย
“ใช่... มิผิด... ท่านย่า กระต่ายไม่สามารถดื่มน้ำดิบได้เพราะจะท้องเสีย และกินหญ้าที่มีน้ำค้างอยู่ไม่ได้ อาหารที่เป็น้ำมากก็ไม่สามารถให้พวกมันกินได้ กระต่ายค่อนข้างหยิ่งผยอง ดังนั้นต้องเลี้ยงอย่างระมัดระวังนะขอรับ” ผิงอันที่อยู่ด้านข้างกล่าวขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ได้ ท่าทางคล้ายผู้รู้ตัวน้อย ดวงหน้าเล็กรูปไข่กล่าวอย่างจริงจังด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“อื้ม ที่ผิงอันกล่าวมานั้นมิผิด หลายวันนี้ไม่ได้เลี้ยงกระต่ายเสียเปล่าเลย เลี้ยงกระต่ายให้ดีแม้จะยุ่งยาก แต่ถ้าเรียนรู้วิธีเลี้ยงที่ถูกต้องก็ไม่ยากแล้ว” เจินจูลูบหัวกล่าวชมผิงอัน
“หากเป็เช่นนั้นจริงก็ดีเลย ว่าแต่เหตุใดพวกเ้าถึงรู้ว่าต้องเลี้ยงกระต่ายอย่างไร?” หวังซื่อเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หากเลี้ยงกระต่ายได้จริงต่อไปทางบ้านก็สามารถมีรายได้มากขึ้น และชีวิตความเป็อยู่ก็ดีขึ้นอีกด้วย
มุมปากเจินจูกระตุก เป็ไปดั่งที่คาด ทุกคนล้วนถามคำถามเช่นนี้ ดังนั้นจึงแสร้งสงบนิ่งเอาเื่เผิงต้าเฉียงมากล่าวอีกรอบ
“เผิงต้าเฉียงกล่าวไว้หรือ? เช่นนั้นค่อนข้างน่าเชื่อถือได้ แม้เขาจะใช้ชีวิตวัยชราอย่างอ้างว้าง แต่ตอนหนุ่มเตร็ดเตร่ไปทั่วอยู่หลายปี เป็คนที่มีความสามารถจริงๆ และไม่ใช่คนคุยโวกล่าววาจามั่วซั่ว ดูท่าแล้วแค่ใส่ใจปัญหาพวกนี้ก็สามารถเลี้ยงกระต่ายให้ดีได้แล้ว” คิ้วของหวังซื่อมีรอยย่นลึก เผิงต้าเฉียงคนนี้แน่นอนว่านางย่อมรู้จัก แม้ว่าไม่เคยคบค้าสมาคมอะไรด้วย แต่รู้จักอยู่ผิวเผิน ทันใดนั้นนางก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย มองหน้ากับหลี่ซื่อที่อยู่ด้านข้างไม่กี่ที คิดไม่ถึงเลยว่าเจินจูกับผิงอันยังมีโชคดีเช่นนี้อยู่
วัยชราของเผิงต้าเฉียงทำให้เขานิสัยเปลี่ยนไปมาก เพราะประสบกับเคราะห์ร้ายใหญ่โต จึงใช้ชีวิตอยู่คนเดียวบนริมคลอง นิสัยสันโดษพูดน้อย ไม่มีความสัมพันธ์กับคนในหมู่บ้านเท่าไรนัก แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะให้ความสำคัญเป็พิเศษแก่เจินจูและน้องชาย คิดๆ ไปแล้วสองพี่น้องหญิงชายมีนับว่ามีวาสนานัก หากเป็จริงดังที่เจินจูกล่าว เช่นนั้นก็เป็ประโยชน์อย่างมากจริงๆ
หวังซื่อยิ่งคิดก็ยิ่งดีใจ แม้สถานภาพทางบ้านจะไม่ถึงขนาดไร้ธัญพืช แต่ไม่ได้มีเงินเหลือกินเหลือใช้จริงๆ
ตอนต้นปีอู้จูหลานสาวคนโตแต่งงานออกไป เพื่อให้นางสามารถยืนแผ่นเอวยืดตรงไม่น้อยหน้าใครในบ้านสามี ตระกูลหูจึงกัดฟันสู้ จัดซื้อสินเดิมของฝ่ายหญิงในระดับที่พอเหมาะส่วนหนึ่งให้ ด้วยเหตุนี้หวังซื่อที่หยิ่งในศักดิ์ศรีจึงไปหยิบยืมเงินจากคนภายนอกมาจำนวนหนึ่ง ทำให้ตระกูลหูที่เดิมทีไม่ได้มั่งคั่งอยู่แล้วยิ่งห่างไกลจากความมั่งคั่งขึ้นไปอีก หากไม่ใช่เช่นนี้แล้ว ไม่มีทางที่ตอนใกล้เข้าหน้าหนาวสองพี่น้องตระกูลหูจะยังทำงานอยู่ในเมืองหรือ?
ขณะนี้ลูกสะใภ้คนโตก็ยังมาท้องอีก แม้จะเป็เื่มงคล แต่หมายความว่าค่าใช้จ่ายหลังจากนี้จะยิ่งมากขึ้น และพออากาศเย็น โรคเก่าที่เกี่ยวกับขาของตาเฒ่าก็กำเริบหนัก แค่พยายามไม่พูดมาตลอด นี่มิใช่ว่าเพื่อประหยัดเงินค่ายาหรอกหรือ? หากเลี้ยงกระต่ายได้ดังเช่นที่เจินจูกล่าวจริง ก็จะสามารถแก้ปัญหาในเื่ที่เร่งด่วนของที่บ้านได้
“เป็เช่นนั้นจริงๆ เ้าค่ะ ท่านปู่เผิงเคยบอกว่าขอเพียงใส่ใจให้มาก กระต่ายก็นับว่าเป็สัตว์ที่เลี้ยงได้ง่ายมาก อีกทั้งกระต่ายยังสามารถคลอดลูกได้สองถึงสามเดือนต่อหนึ่งคอก หนึ่งปีจึงคลอดลูกกระต่ายได้เยอะมาก” เจินจูรู้ว่าตระกูลหูส่วนใหญ่ล้วนเชื่อฟังหวังซื่อ แค่เกลี้ยกล่อมนางได้ แผนการหลักในการเลี้ยงกระต่ายนี้ก็สามารถกำหนดให้แน่นอนได้แล้ว
ขณะที่หวังซื่อฟังอยู่ รอยยิ้มก็ค่อยๆ ปรากฏออกมาอย่างไม่รู้ตัว นางระงับความตื่นเต้นเอาไว้ในใจแล้วเอ่ย “อืม หากเป็เช่นนั้นจริงก็ดีมากเลย เจินจู พวกเ้าดูแลกระต่ายรุ่นนี้ให้ดีก่อน รออีกไม่กี่วันให้พวกท่านพ่อเ้ากลับมาแล้วค่อยปรึกษากัน ดูว่าจะเลี้ยงกระต่ายให้ดีได้อย่างไร ดีหรือไม่?”
“ได้เลยเ้าค่ะ ท่านย่า เช่นนั้นข้ากับผิงอันขึ้นเขาไปเก็บเห็ดก่อน แล้วจะถือโอกาสตัดหญ้าเลี้ยงหมูมาด้วยเลย” ในใจเจินจูก็ดีใจ เลี้ยงกระต่ายให้ดีแล้วใช้มันเพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมที่บ้าน ค่อยๆ ก้าวไปทีละก้าว ตอนนี้ไปเก็บเห็ดก่อนแล้วค่อยว่ากัน
“อืม... ได้ พวกเ้าไปเถิด ระวังด้วย” หวังซื่อกำชับ
“ข้าทราบแล้ว ...ผิงอัน พวกเราไปกันเถิด ...ท่านแม่ พวกข้าอาจกลับมาช้ากว่าอาหารเที่ยงเล็กน้อย ท่านไม่ต้องเป็กังวลนะเ้าคะ” เจินจูกล่าวจบก็จูงผิงอันเดินออกไปอย่างรีบเร่ง
สองคนเร่งไปตามทางูเาอย่างคุ้นเคยและง่ายดาย เจินจูเดินไปพลางถามผิงอันไปพลางว่าเห็ดขึ้นเยอะในที่ใด ผิงอันพยักหน้าด้วยความกระตือรือร้นและนำทางนางไปยังพื้นที่ราบโอบล้อมด้วยูเา
ที่นั่นเป็สถานที่หนึ่งที่มีต้นไม้ดอกไม้เจริญงอกงาม ร่มรื่น เปียกชื้น และไร้แสงแดด
ผิงอันใช้ไม้ตะบองในมือเขี่ยพงหญ้าส่วนหนึ่งออกไปเบาๆ ไม่ผิดไปจากที่คาดจริงๆ เห็ดสีขาวผืนเล็กผืนหนึ่งปรากฏตรงหน้า ดวงตาสองข้างของเจินจูเป็ประกาย เธอพุ่งเข้าไปอย่างตื่นเต้น และเก็บเห็ดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
“หญิงสาวตัวน้อยแบกตะกร้าใหญ่ใบหนึ่งเก็บเห็ด เท้าเล็กเปลือยเปล่าในยามเช้าตรู่ เดินไปทางป่าไม้และเนินเขา…” เสียงเพลงมีความสุขร่าเริงลอยไปตามลม เจินจูเก็บเห็ดไปพลางฮัมเพลงเบาๆ ไปพลางอย่างเบิกบานใจ ผิงอันที่ได้ฟังชะงักงัน ถามออกไปโดยไม่ตั้งใจ “ท่านพี่ ท่านร้องเพลงอะไรหรือ ทำไมไม่เคยได้ยินมาก่อน?”
“เอ่อ…ข้าก็ไม่รู้ เมื่อก่อนเคยได้ยินคนอื่นร้อง น่าสนใจมากล่ะสิ ฮ่า ฮ่า ...ใช่แล้วผิงอัน อีกเดี๋ยวพวกเราไปป่าสนด้านข้างหาเห็ดแดงกับเห็ดสน [1] กันเถิด ฝั่งป่าสนน่าจะมีเห็ดไม่น้อยเลย” เจินจูตอบอย่างขอไปที นางดีใจเกินไปหน่อย ลืมไปว่ายุคนี้ไม่มีเพลงเด็กเช่นนี้
“ได้ พวกเราเก็บแถวนี้เสร็จค่อยไปกัน” ผิงอันพยักหน้าตอบรับ ในมือเขี่ยผักป่าหลากชนิดที่ปนกันออกเพื่อหาเห็ด
พี่สาวน้องชายสองคนหยุดอยู่ที่ราบที่ถูกโอบล้อมด้วยูเามาแล้วครึ่งชั่วยาม พวกเขาช่วยกันเก็บเห็ดบริเวณใกล้เคียงจนเกลี้ยง ในตอนที่กำลังเตรียมย้ายฐานที่มั่น ค่อยพบว่ามีงูสีดำลายพาดกลอนหนึ่งตัว วนเวียนอยู่บริเวณใกล้ๆ กับตะกร้าไผ่ของพวกนาง เจินจูก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยความตื่นตระหนก ลิ้นสั่นระริกร้องเสียงเบาว่า “ผิงอัน ผิงอัน มีงู เ้าอย่าขยับมั่วซั่วเล่า”
ผิงอันหยัดกายขึ้นแล้วมองไปทางตะกร้าเช่นกัน เขากล่าวอย่างไม่ร้อนรนว่า “ท่านพี่ นั่นเป็งูดำลายพาดกลอน ไม่มีพิษ ไม่ใช่ว่าคราวก่อนท่านพ่อเคยจับได้ตัวหนึ่งเช่นนี้ที่หลังเขาหรือ สุดท้ายเอาไปให้ท่านย่าตุ๋นน้ำแกงงูหนึ่งหม้อ อร่อยมากเลยนะ” กล่าวจบยังเลียริมฝีปากหวนคิดถึงรสชาติงูตุ๋น
เขามองให้ละเอียดอีกรอบ ส่ายหน้าอย่างเสียดายแล้วกล่าว “น่าเสียดาย งูนี่ใหญ่กว่างูครั้งก่อนเล็กน้อย ท่านพ่อไม่อยู่ ข้าพละกำลังไม่พอ มิเช่นนั้นแล้วเย็นนี้พวกเราก็คงมีเนื้อกินแล้ว”
หลังเจินจูได้ฟังว่างูไร้พิษ จึงค่อยๆ ผ่อนคลายเส้นประสาทที่ตึงเปรี๊ยะออก ครั้งก่อนตอนขึ้นเขามาตัดหญ้าเลี้ยงหมูก็เจองู นางจึงมักหลีกเลี่ยงให้ไกลเสมอ นี่เป็ครั้งแรกที่เข้าใกล้งูในระยะใกล้ถึงเพียงนี้ เห็นมันเลื้อยอย่างเชื่องช้า พ่นลิ้นออกมาเป็ระยะ นางยังรู้สึกลนลานอยู่เล็กน้อย ผู้หญิงกลัวงูนับว่าเป็สัญชาตญาณโดยธรรมชาติ
ได้ฟังผิงอันว่าอยากจับงูมาทานอีกก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เด็กคนนี้อยากทานเนื้อมากเพียงใดกัน
“ผิงอัน งูนี้ไม่มีพิษจริงหรือ?” นางถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“ไม่มีจริงๆ งูดำลายพาดกลอนมีอยู่ในเขาลูกนี้ค่อนข้างมาก เมื่อก่อนท่านย่าพาข้าไปบ้านท่านปู่ ข้าเคยเห็นท่านปู่จับมาก่อน ร้ายกาจมากเลยทีเดียว แต่แค่เอื้อมมือออกไปคว้างูเจ็ดนิ้วมากำไว้ งูก็ขยับไม่ได้แล้ว” ผิงอันนึกย้อนไปในเหตุการณ์ครั้งนั้นใบหน้าเต็มไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธา
เจินจูใจสั่น หยิบไม้ง่ามขึ้นมาในมือ นึกถึงเมื่อก่อนตอนดูฉากจับงูในโทรทัศน์ จำได้ว่ามีเครื่องมือจับงูชนิดหนึ่ง เป็ไม้หนึ่งท่อนตรงปลายมีลักษณะเป็ง่าม แค่หนีบงูไว้ งูก็ขยับไม่ได้แล้ว ไม้ง่ามในมือก็เหมือนกันพอดี เมื่อครู่นางไม่ชอบง่ามไม้ที่ยาวเกินไปจึงหักส่วนหนึ่งของมันออก ส่วนที่เหลือไว้เป็ความยาวกำลังพอเหมาะ หรือนี่เป็โชคชะตาฟ้าลิขิต?
นางมองดูง่ามไม้ แล้วมองดูงู มองไปมองมาอยู่สองรอบ ทันใดนั้นก็เกิดความรู้สึกฮึกเหิมและกล้าหาญขึ้น ไม่ใช่ว่าเป็แค่งูหรอกหรือ แล้วยังไม่มีพิษอีก จะต้องไปกลัวอันใด เธอกัดฟันหันกลับมามองผิงอันด้วยสายตาที่เฉียบแหลม “ผิงอัน เ้าหาก้อนหินก่อน อีกเดี๋ยวข้าจะใช้ไม้ง่ามนี่กดมันไว้ ตอนนั้นเ้าก็ทุบเข้าที่หัวงูเล่า”
“อา ท่านพี่ ท่านกล้าจับงูหรือ? ไม้ง่ามนี่กดอย่างไร?” ผิงอันแปลกใจไม่หยุด ปกติแล้วท่านพี่กลัวงูนี่
เจินจูเห็นว่างูมีแนวโน้มว่าจะเลื้อยออกไปไกล จึงกล่าวอย่างรีบเร่ง “เ้าอย่าเพิ่งถามอะไรมากมาย รีบหาก้อนหิน อีกเดี๋ยวข้าะโว่าทุบ เ้าก็ทุบเสีย เข้าใจหรือไม่” กล่าวจบก็ไม่รอให้เขาตอบ เดินย่องเข้าไปทางงูอย่างเงียบเชียบ
เดิมทีเจินจูตั้งใจจะพุ่งตรงไปและเล็งเป้ากดได้ในคราเดียว แต่เมื่อนางเข้าไปจนถึงระยะห่างจากงูสองสามเมตร เมื่อมองพิจารณาดูในระยะใกล้ งูพ่นลิ้นยาว หัววงรีส่ายไปมา อีกทั้งเหมือนมันสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง จึงหันมาทางนางด้วยดวงตาเ็า
ชั่วพริบตาเดียว ความกล้าหาญแต่เดิมของนางสิบส่วนไหลออกไปแล้วห้าส่วน
เจินจูรู้สึกว่าฝ่ามือตนเองมีเหงื่อไหลผุดออกมา หัวใจเต้นรัวดัง “ตึก ตึก” ปานตีกลอง ไม้ง่ามในมือไม่ไหวติง ในใจอยากถอยทัพ แต่ผิงอันที่อยู่ไม่ไกลกำลังถือก้อนหินด้วยมือสองข้างและมองมาที่นาง ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลปนประหลาดใจ เวลานี้ เจินจูมีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าตนได้สร้างหายนะขึ้นแล้ว ไม่สามารถหลบหลีกได้อีก
เชิงอรรถ
[1] เห็ดสน หรือที่รู้จักกันในชื่อ เห็ดมัตสึทาเกะ