บทที่ 69 มีเื่
หลังจากส่งลู่จิ่งซานกลับกองทัพไป สวี่จือจือก็รู้สึกหมดเรี่ยวแรงไปหลายวัน ทำอะไรก็ไม่เข้าท่าไปเสียหมด
อาการเช่นนี้ดำเนินไปจนกระทั่งเื่โควต้าครูโรงเรียนประถมประจำประชาคม
ปีนี้มีนักเรียนเยอะ โรงเรียนประถมประจำประชาคมจึงคิดจะเพิ่มครูอีกสองคน เหอเสวี่ยฉินสอนหนังสือมาหลายปีแล้ว ใฝ่ฝันอยากจะเปลี่ยนเป็ครูของรัฐอยู่เสมอ แต่คราวนี้ก็ยังไม่สำเร็จ
ไม่เพียงเท่านั้นเพราะเธอลาบ่อยเกินไป ผู้อำนวยการโรงเรียนจึงเรียกไปคุย หากไม่อยากเป็ครูหรือจัดการเื่ที่บ้านไม่ได้ก็ให้แจ้งทางโรงเรียน เพราะยังมียุวปัญญาชนที่ลงมาในชนบทอีกมากที่รอเสียบโควต้า
ยิ่งไปกว่านั้นยุวปัญญาชนเ่าั้ล้วนจบมัธยมปลาย มีความรู้ความสามารถในการสอนมากกว่าเหอเสวี่ยฉินเสียอีก
เหอเสวี่ยฉินแทบกระอักเื เดิมทีตั้งใจจะให้โจวเป่าเฉิงพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกสักหน่อยก็ทำไม่ได้แล้ว พอรู้ว่าลู่จิ่งซานกลับกองทัพไปแล้วก็รีบจัดการเื่ออกจากโรงพยาบาลให้โจวเป่าเฉิงทันที
วันหนึ่งขณะที่สวี่จือจือกับลู่ซือหยวนไปทำงาน พวกเธอก็ได้ยินคนกำลังซุบซิบอะไรกัน พอเห็นสวี่จือจือมาพวกเขาก็เงียบไป
“มีอะไรเหรอ?” สวี่จือจือถามหลิวเหมียว “พวกเขากำลังพูดถึงฉันเหรอ?”
ไม่อย่างนั้นจะเงียบทำไมพอเห็นเธอมา?
“จือจือ” หลิวเหมียวพูดเสียงเบา “ฉันพูดแล้วเธออย่าโกรธนะ”
“อืม เธอพูดมาเถอะ ฉันไม่โกรธ”
“พวกเขากำลังลือกันว่า โควต้าครูโรงเรียนประถมจะเป็ของเธอ” หลิวเหมียวกล่าว “ยังบอกอีกว่าเธอแต่งงานกับลู่จิ่งซานก็เพราะอยากได้โควต้าครูโรงเรียนประถม”
อะไรนะ?
“โควต้าโรงเรียนประถมเพิ่งจะว่างไม่ใช่เหรอ?” ลู่ซือหยวนกล่าว
“พวกเขายังบอกอีกว่า” หลิวเหมียวเหลือบมองลู่ซือหยวนที่กำลังโกรธเคือง “ว่าบ้านเธออาศัยบารมีของลู่จิ่งซานที่อยู่ในกองทัพและคุณนายลู่ อยากจะเอาแต่สิ่งดีๆ ทั้งหมด”
“จือจือ อย่าโกรธนะ” หลิวเหมียวรีบกล่าว “คำพูดพวกนี้พวกเขาพูดกันเอง ฉันไม่เชื่อหรอก”
“ไม่เป็ไร” สวี่จือจือตบไหล่เธอเบาๆ พลางยิ้ม “ฉันไม่อยากเป็ครูโรงเรียนประถมสักหน่อย”
พอนึกถึงเื่ราวที่เคยเห็นในอินเทอร์เน็ตในชาติก่อนที่พ่อแม่ต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะสอนการบ้านลูก สวี่จือจือก็คิดว่ารักษาชีวิตไว้ก่อนดีกว่า อีกอย่างนิสัยของเธอไม่เหมาะกับการเป็ครู อย่าไปทำให้ลูกศิษย์เสียคนเลย
“ถ้าเธออยากเข้าโรงเรียนประถม” พอลับตาคน ลู่ซือหยวนก็กระซิบ “ฉันจะไปบอกคุณย่าให้ ให้...”
เธอรู้ดีว่าตอนนี้สวี่จือจืออ่านหนังสือระดับมัธยมปลายอยู่ ไม่เพียงแต่อีกฝ่ายอ่านยังชวนลู่ซืออวี่อ่านด้วยซ้ำ แถมยังถามคำถามต่างๆ กับลู่ซืออวี่อีกด้วย
ถ้าไม่เข้าโรงเรียนประถม จะอ่านหนังสือพวกนี้ไปทำไม?
“พี่อย่าเลย อย่าเด็ดขาด” สวี่จือจือรีบกล่าว “เื่ที่ฉันเคยบอกพี่ไว้ พี่คิดว่ายังไง?”
“ไม่ได้หรอก” ลู่ซือหยวนรีบส่ายหน้า “ถ้าถูกจับขึ้นมา ตระกูลลู่คงอับอายขายหน้าแย่”
“มันน่าอายตรงไหนกัน?” สวี่จือจือกลอกตา “พี่อยากหาเงินไหมล่ะ?”
ใครๆ ก็อยาก แต่จะให้ไปขายฝ้ายที่ในเมือง มันไม่ใช่การเก็งกำไรเหรอ?
“ถ้าพี่ทำ ฟังฉันรับรองว่าไม่มีปัญหา” สวี่จือจือกล่าว
รออีกหน่อยฝ้ายใหม่ก็จะออกมาแล้ว แถมแต่ละบ้านก็มีที่ดินส่วนตัวปลูกฝ้าย สวี่จือจือคิดว่าน่าจะรวบรวมฝ้ายมาเย็บเป็ผ้าห่มไปขายในเมืองได้
เท่าที่เธอรู้ คนในเมืองอยากซื้อแต่หาไม่ได้
“อีกสองปีเจินเจินก็จะเข้าเรียนแล้ว พี่ไม่เก็บเงินไว้หน่อย...” สวี่จือจือกลอกตาพูด “แล้วใครกันที่เคยบอกกับหัวหน้ากองงานว่าอยากหาบ้านที่ไม่มีคนอยู่ บ้านพวกนั้นคนในหมู่บ้านจะให้พี่อยู่ฟรีๆ เหรอ ไม่ต้องเสียค่าเช่าหรือไง?” สวี่จือจือกล่าว “พี่ไม่ได้บอกเหรอว่าไม่อยากใช้เงินของน้องชาย?”
“แค่คะแนนแรงงานของพี่ พี่ต้องเก็บไปถึงเมื่อไหร่กัน?”
ลู่ซือหยวน “...”
สรุปว่าอีกฝ่ายรู้เื่พวกนี้ทั้งหมด แต่ต้องพูดออกมาตรงๆ ขนาดนี้เลยเหรอ?
แทงใจดำจริงๆ!
“ตกลง” ลู่ซือหยวนกัดฟัน “ทำก็ทำ”
“ก็แค่นั้น” สวี่จือจือยิ้ม “จำได้ว่ายังมีไส้ซาลาเปาด้วย ตอนเย็นต้องทำด้วยไม่ใช่เหรอ?”
“รู้แล้ว รับรองไม่ทำให้เธอเสียเื่หรอก” ลู่ซือหยวนกล่าว
“พรุ่งนี้เช้าพวกเรามาช่วยกันทำเถอะ” สวี่จือจือกล่าว “เสร็จแล้วฉันกับเสี่ยวอวี่จะไป ส่วนพี่พักผ่อนอยู่ที่บ้าน”
“รู้แล้ว” ลู่ซือหยวนยิ้ม “ฉันก็อ่านหนังสือออกนะ”
“พี่อ่านไม่ออกก็ไม่เป็ไร” สวี่จือจือพูดอย่างไม่ไว้หน้า “ยังไงซะความรู้ก็สู้เด็กสี่ขวบที่บ้านไม่ได้ ยังจะเป็แม่คนอีก”
ลู่ซือหยวน “...”
ทำไมเธอถึงไม่ชอบน้องสะใภ้คนนี้เลยนะ?
โมโหจริงๆ! แต่ก็ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้
แล้วก็เห็นสวี่จือจือพูดอย่างเกียจคร้าน “พี่ ช่วยดูต้นทางให้หน่อยนะ ฉันจะไปเดินเล่นแถวนั้นหน่อย”
ปกติเวลาเธอพูดว่าเดินเล่นก็คือไปหาผลไม้ป่าบนูเา ยังไงซะดวงเธอก็ดีกว่า ทุกครั้งไม่เคยกลับมามือเปล่า
ลู่ซือหยวนก็ไม่ได้ว่าอะไร น้องสะใภ้คนนี้เธอไม่ได้หวังว่าจะทำคะแนนแรงงานได้เท่าไหร่
ใครจะรู้ว่ากำลังทำงานอยู่ก็ได้ยินเสียงคุณป้าคนหนึ่งะโบอกเธอ “หยวนหยวน น้องสะใภ้เธอกำลังมีเื่กับคนอื่นอยู่ที่ริมแม่น้ำ รีบไปดูหน่อยเถอะ”
สวี่จือจือมีเื่กับคนอื่น?
พอนึกถึงแขนขาเล็กๆ บอบบางของอีกฝ่าย ลู่ซือหยวนก็คิดว่านี่มันหาเื่ใส่ตัวชัดๆ
เธอวางงานในมือแล้ววิ่งไปในทิศทางที่คุณป้าชี้
น้องชายปากหนักของเธอตอนจะไปยังกำชับเธอเป็พิเศษว่าให้ช่วยดูแลสวี่จือจือให้ดี ‘เธอยังเด็ก ถ้ามีอะไรทำไม่ดีพี่บอกผมได้เลย เดี๋ยวผมกลับมาว่ากล่าวเธอเอง ถ้ามีใครรังแก พี่ก็ช่วยเธอด้วย’
ดูสิ พูดอะไรออกมา?
กลัวว่าพี่สะใภ้อย่างเธอจะเข้ากับอีกฝ่ายไม่ได้เลยมาป้องกันไว้ก่อน แล้วยังกลัวว่าอีกฝ่ายจะถูกรังแกในหมู่บ้านเลยหาคนช่วยให้อีก
“จือจือ หลีกไป ให้ฉันจัดการเอง” ลู่ซือหยวนวิ่งไปพลางรวบแขนเสื้อ “ห้ามรังแกจือจือของพวกเรานะ”
พอวิ่งไปถึงลู่ซือหยวนก็นิ่งอึ้ง ตกลงว่าใครรังแกใครกันแน่?
“ฉันบอกอะไรเธอให้นะ” ดวงตากลมโตรูปผลซิ่งของสวี่จือจือมองเด็กสาวตรงหน้า พลางพูดอย่างโกรธเคือง “เด็กผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว อย่างเธอที่เห็นผู้ชายก็อยากกระโจนเข้าหา มีแต่จะถูกคนดูถูกดูแคลน”
“สวี่จือจือ ฉัน...ฉันเปล่านะ” อันฉินจ้องมองสวี่จือจือตรงหน้าด้วยความแค้น กางเกงเปียกปอนไปด้วยน้ำ แต่่บนยังดีอยู่
“เปล่าเหรอ?” สวี่จือจือหัวเราะเยาะ “เมื่อกี้ถ้าฉันไม่ดึงไว้ เธอคงจะผลักจิ่งเหนียนของพวกเราลงไปในแม่น้ำแล้ว”
คนที่มามุงดูหัวเราะกันครืน
ลู่จิ่งเหนียนหน้าดำคร่ำเคร่งอยู่แล้ว พอได้ยินพี่สะใภ้สามพูดแบบนี้ก็ยิ่งรู้สึกกระดากอาย “พี่สะใภ้สาม”
“หุบปากไป” สวี่จือจือตวาดใส่เขาทันที “ปกติยังชมว่านายฉลาดอยู่เลย ฉันว่านายโง่เกินเยียวยาแล้ว คนชมหน่อยก็ไม่รู้เหนือรู้ใต้อะไรแล้วเหรอ? เื่ที่เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ก็เปล่าประโยชน์ที่จะพูดกับนาย” เธอพูดอย่างรังเกียจ
“ผมจำได้หมด เมื่อกี้มันเป็อุบัติเหตุ”
ใครจะรู้ว่าอันฉินจะโผล่ออกมาจากไร่ข้าวโพด แถมยังเกือบจะผลักเขาลงไปในแม่น้ำ
ถ้าคนสองคนตกลงไปในแม่น้ำ ด้วยสถานการณ์ตอนนั้นเขาก็ต้องช่วยอันฉิน แล้วหลังจากนั้นล่ะ?
หน้าร้อนเสื้อผ้าที่ใส่ก็บางอยู่แล้ว คนสองคนอยู่ในแม่น้ำมันก็เหมือนเนื้อแนบเนื้อกันน่ะสิ?
ก็ต้องรับผิดชอบน่ะสิ!
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้