อวี๋มู่ใจหายวาบ คิดว่าตัวเองจะถูกจับได้เสียแล้ว เขากำลังจะกล่าวแก้ตัว แต่กลับถูกเว่ยจวินหยางดึงข้อมือ แล้วผลักลงบนเตียงที่ปูด้วยหญ้าแห้งกับเสื้อผ้าเสียก่อน
!
ใบหน้าของอวี๋มู่ถอดสีอย่างฉับพลัน เมื่อนึกว่าตัวเองจะโดนจัดการ
ตอนที่เขาฟื้นขึ้นมา ก็เร่งฝืนเดินทางกลับมา จนตอนนี้ร่างกายอ่อนล้าเต็มที หากโดนเข้าไปรอบหนึ่ง ชีวิตที่โม่เหิงอุตส่าห์ช่วยยื้อไว้ได้ เห็นทีคงลดไปอีกครึ่ง
“นายท่าน…” เขาทำหน้าตึง แม้ใจจริงอยากจะทำทีขัดขืนสักหน่อย แต่กลับถูกเว่ยจวินหยางล็อกคอเอาไว้ แล้วใช้ไหล่ต่างหมอน พร้อมกับซุกหน้าเข้าซอกคอจนััได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงง่วงงุน “วางใจเถอะ ข้าไม่ทำอะไรเ้าหรอก นอนกับข้าสักครู่ ข้าง่วงแล้ว”
ด้วยความหัวดื้อของเว่ยจวินหยาง เขาสั่งให้ตัวเองห้ามบอกเื่ที่ทนนั่งรออวี๋มู่อย่างเหี่ยวเฉามากว่าห้าวันให้อวี๋มู่ได้รู้
ช่างน่าขายหน้าเสียจริง
และคงมีเพียงตัวเขาที่ตกหลุมพรางนี้ ช่างน่าอับอายเหลือเกิน
เขาใช้มืออีกข้างเกี่ยวเอวอวี๋มู่ไว้ แล้วข่มขู่อีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ถ้ายังกล้าหนีไปตอนที่ข้าหลับอีกล่ะก็ ข้าจะหักขาเ้าเสีย แล้วมัดไว้ข้างเตียงขังไว้ในห้อง ให้เ้าเฝ้าข้าไปตลอดชีวิต…”
เสียงของเว่ยจวินหยางค่อยๆ เบาลง จนสุดท้ายก็หลับไปทั้งอย่างนั้น
ลมหายใจอุ่นของเว่ยจวินหยางเป่ารดต้นคอ ส่วนเอวก็ถูกเ้าลูกสุนัขโอบเอาไว้แน่น อวี๋มู่ทำตัวแข็งไม่กล้าขยับเขยื้อน จนกระทั่งเว่ยจวินหยางหลับสนิท เขาจึงค่อยขยับท่าทางให้สบายขึ้น
พอเริ่มขยับตัวได้ เขาก็ถอนหายใจยาว พยายามรวบรวมสติ แล้ววิเคราะห์ความคิดที่ฟุ้งซ่าน
หากว่ากันตามจริง ปฏิกิริยาของเว่ยจวินหยางเมื่อสักครู่ทำเขาใเล็กน้อย
เขาััได้ว่าเว่ยจวินหยางกำลังโมโห แต่ก็พยายามข่มความโกรธเอาไว้ ซึ่งภายใต้ความสงบนิ่งนั้นก็แฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่อยากจะฆ่าโม่เหิง
แต่กระนั้น เว่ยจวินหยางก็ไม่ได้ไปหาเื่โม่เหิง
ทั้งยังไม่ได้ใช้กำลังกับเขาอีกด้วย
เขารักษาสัญญาที่ให้ไว้กับอวี๋มู่ เมื่อรับปากว่าจะไม่ฆ่าใคร ก็ไม่ฆ่าจริงๆ
ความรู้สึกนี้เหมือนกับว่า…
อวี๋มู่วิเคราะห์อย่างจริงจัง
เขารู้สึกเหมือนได้เลี้ยงหมาป่าตัวโตให้เชื่องจนกลายเป็สุนัขบ้านอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อลองใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็พบว่า พักนี้เว่ยจวินหยางดูจะอ่อนโยนกับเขามากขึ้นทีเดียว และดูเหมือนระดับความอดทนก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน อย่างคำแก้ตัวของเขาเมื่อสักครู่ ฟังดูก็รู้ว่าโกหก แต่อีกฝ่ายก็สามารถยอมรับมันได้…
ดูเปลี่ยนไปราวกับเป็คนละคนเลย
จึ๊
มันน่าแปลกจนเกินไป แปลกจนอวี๋มู่รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว ราวกับว่ากำลังมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างรอเขาอยู่ข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม ใน่ระยะเวลาหนึ่งเดือนกว่าที่อยู่กับเว่ยจวินหยางมานี้ แม้ต่อหน้าจะทำเป็หัวเราะคิกคัก แต่ในใจก็แอบก่นด่าไว้ไม่น้อย ซึ่งจากเดิมที่คิดว่าจะเติมคะแนนความประทับใจให้เต็ม ก็ต้องยอมทนไปอีกสักหน่อย
แม้บางครั้งจะรู้สึกว่าเ้าลูกสุนัขนี่ก็น่ารักอยู่เหมือนกัน แต่ก็แค่นิดเดียวเท่านั้น
การกระทำของเว่ยจวินหยางเมื่อสักครู่ บวกกับเื่ที่ระบบบอกเขาว่าเ้าหมอนี่ไม่กินไม่ดื่มและอดทนรอเขาตั้งห้าวันห้าคืน ในใจก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยดี
ทำไมต้องรอเขาด้วยล่ะ?
ทำไมไม่ะเิอารมณ์ออกมา ทั้งที่รู้ว่าเขาโกหก?
อวี๋มู่รู้สึกว่าตัวเองใกล้จะประสาทขึ้นไปทุกที
เขาเป็ห่วงอยู่ตลอด กลัวว่าเ้าลูกสุนัขนั่นจะอาละวาด แต่เอาเข้าจริงกลับไม่อาละวาด ซึ่งเขารู้สึกว่ามันดูผิดปกติจนเกินไป
หากว่าเว่ยจวินหยางใช้กำลังกับเขาสักครั้งเหมือนเมื่อก่อน บางทีเขาอาจจะจากโลกนี้ไปโดยไม่เหลือเยื่อใย พร้อมกับหัวเราะเยาะเว่ยจวินหยางในตอนที่เขาตายไปแล้วก็เป็ได้ มาทำทีเป็รักใคร่ แต่พอได้คะแนนความประทับใจก็สะบัดก้นหนี
ทว่าตอนนี้ เขากลับเริ่มรู้สึกผิด
เขาถามระบบ : ระบบ ในนิยายเว่ยจวินหยางเป็พวกวิปริตไม่ใช่หรือ? ทำไมตอนนี้เขาไม่ทำตัวโรคจิตกับฉันเลยล่ะ?
ระบบทำน้ำเสียงไม่ได้ดั่งใจ [โฮสต์ผู้โง่เขลาครับ ก็เพราะว่าเขารักคุณเข้าแล้วยังไงล่ะ!]
ระบบถอนหายใจแล้วกล่าวต่อ [ต่อให้ร้ายกาจอย่างไรหรือวิปริตแค่ไหน เมื่อตกหลุมรักก็กลายเป็พวกโง่เขลาได้ทั้งนั้นล่ะครับ เพราะนี่คือสัจธรรมที่ไม่เคยเปลี่ยน]
[โฮสต์ ยังจำคำถามที่ผมเคยถามได้ไหมครับ?]
อวี๋มู่ : คำถามไหน?
[ก็ที่ว่า หากเว่ยจวินหยางไม่ทรมานคุณ แต่กลับพยายามทำดีกับคุณมากขึ้น คุณจะชอบเขาหรือเปล่า?]
อวี๋มู่นิ่งเงียบไป
แม้ครั้งนี้เขาไม่ได้ตอบแบบไม่ต้องคิดเหมือนครั้งก่อน
แต่ก็ยังคงปฏิเสธเหมือนเดิม : …ไม่ แต่ฉันคงจะรู้สึกสงสารเขามากกว่า
เพราะั้แ่มาที่โลกนี้ เขาก็คอยทำเพื่อเว่ยจวินหยางมาโดยตลอด ทั้งตัดนิ้ว ทั้งแขนเป็พิการ ไหนจะสูญเสียพลังภายในไปอีก เรียกว่าตอนนี้แทบจะทิ้งชีวิตไปแล้วด้วยซ้ำ หากว่าเขาไม่ได้ข้ามมิติมาเพื่อทำภารกิจ คนธรรมดาทั่วไปที่ไหนเขาจะเสียสละเพื่อเว่ยจวินหยางมากมายขนาดนี้ ดังนั้นอารมณ์ของเขาคือทำทุกอย่างเพื่อภารกิจ ถึงเวลาก็แยกจากกับเว่ยจวินหยาง
แต่คะแนนความประทับใจกับสิ่งที่เว่ยจวินหยางรู้สึกกับเขาเริ่มสัมพันธ์กัน จากที่ดูคะแนนความประทับใจตอนนี้ก็ใกล้จะเต็มแล้ว เว่ยจวินหยางก็คงรักเขาอย่างลึกซึ้ง
คนที่นายรักอย่างสุดซึ้งกำลังเล่นละครตบตานาย แม้ท้ายที่สุดจะยอมตายเพื่อนาย แต่กลับไม่ได้ทำจากใจ
หากเว่ยจวินหยางไม่รู้ความจริงก็น่าจะดี เพราะถ้าอีกฝ่ายรับรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาแล้วล่ะก็ ถ้าเป็อย่างนั้นคง…น่าสงสารจริงๆ
อวี๋มู่ถอนหายใจ แล้วค่อยๆ ขยับแขนซ้ายให้เ้าลูกสุนัขเว่ยนอนสบายขึ้น
เขาทอดถอนใจกับระบบ : ระบบ จู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองโคตรเลวเลย
[ช่างเป็เื่น่ายินดี ในที่สุดโฮสต์ก็เริ่มรู้ตัวแล้ว]
อวี๋มู่ : …ทำไมนายไม่บอกบ้างล่ะ ว่าภารกิจนี้ทำมาเพื่อให้ฉันกลายเป็คนเลว?
[....] เขาไม่ได้เป็คนกำหนดภารกิจสักหน่อย ระบบรู้สึกน้อยใจ
ทั้งสองเงียบไปชั่วครู่ จนอวี๋มู่เอ่ยปากขึ้นก่อน “ระบบ เมื่อไหร่ฉันถึงจะบอกเื่ที่ร่างกายแย่ลงกับเขาได้? อย่างน้อยก็ต้องรอจังหวะให้คะแนนมันเต็มก่อนใช่ไหม?”
เพราะในใจเริ่มรู้สึกเมตตาปนรู้สึกผิดต่อเว่ยจวินหยาง ดังนั้นอวี๋มู่จึงไม่อยากอยู่ในโลกนี้นานเกินไป หากเป็ไปได้ เขาก็อยากหนีไปเสียั้แ่ตอนนี้
[โฮสต์ คุณนี่มันเลวจริงๆ] ระบบกล่าวอย่างหน่ายใจ [คะแนนความประทับใจยิ่งถึง่สุดท้ายก็ยิ่งเพิ่มยาก เดาว่าคะแนนของเว่ยจวินหยางอาจจะเติมเต็มเมื่อไรก็ได้ ดังนั้นโฮสต์ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้]
อวี๋มู่ส่งเสียงอืมเป็การตอบรับ ตอนนี้เขารู้สึกอ่อนเพลียแล้วเหมือนกัน ขอพักเื่ราวพวกนี้ไว้ก่อน เพราะการนอนพักผ่อนนั้นสำคัญกว่า
*
วันถัดมา สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนคือการที่อวี๋มู่ตื่นมาแล้วพบว่าเว่ยจวินหยางลุกขึ้นก่อนแล้ว
เว่ยจวินหยางจัดการแต่งตัวดูสะอาดเรียบร้อย เสื้อผ้าไม่มีแม้แต่รอยยับ และสีหน้าก็ดูดีขึ้นมาก เขานั่งบังแสงแดดที่ส่องโดนอวี๋มู่ พอเห็นว่าเขาตื่นแล้ว ก็หันมาหา พร้อมกับยัดผลไม้ใส่มือ แล้วส่งยิ้มให้กับเขา
เมื่อแสงแดดระยิบระยับกระทบเข้ากับใบหน้าของเว่ยจวินหยาง ก็ขับให้ชายหนุ่มดูหล่อเหลา และมีรอยยิ้มสดใสแสบตา
แต่พอได้ปริปาก ก็เผยนิสัยของสุนัขออกมา “เ้าเป็หมูหรืออย่างไร? ทำไมถึงนอนนานขนาดนี้ รีบลุกขึ้นมาเก็บของได้แล้ว พวกเราจะกลับสำนักชิงอีกัน”
อวี๋มู่ : …
“ขอรับ นายท่าน” อวี๋มู่พยายามไม่ใส่ใจกับคำพูดของเขา เขาเพียงตอบรับและทำท่าจะลุกขึ้น แต่ในจังหวะที่ยืนขึ้น กลับรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอก ยืนไม่นิ่งจนเกือบจะเซล้มลงกับพื้น
เว่ยจวินหยางมือเท้าเร็วจึงรับไว้ได้ทัน พลางรีบเอ่ย “ทำไมถึงทำอะไรเฟอะฟะแบบนี้? ข้าไม่ได้เร่งเ้าสักหน่อย ระวังตัวหน่อยจะได้หรือเปล่า! ”
“…” ขมับของอวี๋มู่เต้นตุบๆ
เมื่อครู่ใครกันที่บอกให้ฉัน ‘รีบ’ ก็นายไม่ใช่หรืออย่างไร?
ด้วยความที่ไม่อยากยั่วโมโหเ้าสุนัขสองมาตรฐาน อวี๋มู่จึงจัดการควบคุมร่างกายตัวเองอยู่เงียบๆ แล้วผลักอีกฝ่ายออกเบาๆ พลางเอ่ยเสียงต่ำ “พิษดอกเสน่หาถูกแก้แล้ว นายท่านไม่จำเป็ต้องปฏิบัติตัวกับข้าเช่นนี้”
กล่าวจบ อวี๋มู่ก็หันไปเก็บข้าวของที่จะเอาไปด้วยทั้งในส่วนของเขาและอีกฝ่าย โดยไม่ได้สังเกตสีหน้าของเว่ยจวินหยาง
เว่ยจวินหยางจ้องมองด้านหลังของอวี๋มู่ โดยที่มือกำหมัดแน่นไว้ที่ข้างลำตัว ก่อนจะคว้าข้อมืออวี๋มู่ไว้แน่น แต่ไม่ถึงกับทำให้เขาเจ็บ แล้วเอ่ย
“นอกจากเ้าจะเป็ข้ารับใช้ ก็ยังเป็นายบำเรอของข้าด้วย หากข้า้าเ้า เ้าไม่มีอำนาจปฏิเสธ”
อวี๋มู่ตัวแข็งเกร็ง ในใจบ่นเ้าลูกสุนัขนี่ช่างหื่นกามสิ้นดี เหตุใดถึงยังคิดเื่พวกนี้อยู่?
ทว่าเขาไม่รู้ว่าที่เว่ยจวินหยางกล่าวออกมาเช่นนั้น ก็เพื่อทำตัวให้ดูเข้มแข็ง
ตอนเด็กเว่ยจวินหยางแทบไม่มีศักดิ์ศรี หลังจากได้อำนาจมาก็เริ่มทำตัวอวดดีสูงส่ง เขาพยายามสุดชีวิตเพื่อทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมา เพื่อจะได้ปกปิดตัวตนที่อ่อนแอไว้ข้างใน เขาจึงไม่รู้ว่าต้องปฏิบัติตัวกับคนทั่วไปอย่างไร
เขาทำดีกับใครไม่เป็ ทำได้แค่สั่งคน
แต่อวี๋มู่กลับไม่พอใจสักอย่าง
ซ้ำยังพยายามปิดบังตัวตนที่แท้จริง
มีเพียงการใช้อำนาจคำสั่ง ถึงทำให้อวี๋มู่ตอบกลับเขามาอย่างเสแสร้ง
ต่อให้เสแสร้งก็ยังดี เพราะเว่ยจวินหยางไม่อยากให้อวี๋มู่ผลักตัวเองออกห่าง
เขาเกลียดการถูกปฏิเสธเหมือนเมื่อครู่
เกลียดยิ่งนัก
“ขอรับ นายท่าน” พออวี๋มู่ตอบเขา เว่ยจวินหยางถึงยอมปล่อยเขา แล้วเริ่มเก็บของ
พอเกิดเื่แบบนี้ ก็ทำเอาอารมณ์ดีๆ ของเขาเมื่อสักครู่มลายหายไปสิ้น พลันเดินออกไปนอกถ้ำอย่างรวดเร็ว แล้วขึ้นไปนั่งหน้าบึ้งตึงอยู่บนก้อนหินใหญ่
เมื่ออวี๋มู่เก็บของเสร็จ เขาก็แอบหยิบเสบียงของแห้งที่โม่เหิงให้มา แล้วค่อยเข้าไปหาเว่ยจวินหยาง ถึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายดูอารมณ์ไม่ดีเท่าไร
แต่กระนั้น อวี๋มู่ก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะเว่ยจวินหยางมักกลับไปเปลี่ยนมาเช่นนี้เป็เื่ปกติ
ด้วยสำนักชิงอีตั้งอยู่บนเขาว่านเหอ จึงต้องใช้เส้นทางบนเขาซึ่ง เป็ทางชันในการเดินทาง ในยามนี้ร่างกายของอวี๋มู่นั้นแย่กว่าคนธรรมดา แค่ขยับตัวอวัยวะภายในก็เจ็บไปหมด ยิ่งเดินทางบนเขาเช่นนี้ด้วยแล้ว ก็ยิ่งกินเรี่ยวแรงเขาไปมากทีเดียว
ทว่าเขาไม่อยากให้เว่ยจวินหยางสังเกตเห็นถึงความผิดปกตินี้ จึงได้แต่อดทนไว้
แต่แล้วเมื่อเดินไปได้ครึ่งทาง เรี่ยวแรงเขาก็เริ่มหมด มิหนำซ้ำยังสะดุดเข้ากับก้อนหินจนล้มลงกับพื้น
หนนี้สร้างความาเ็กับเขาเพิ่มขึ้นมากทีเดียว
เพราะั้แ่เด็กจนโตเขาไม่เคยอ่อนแอเช่นนี้ จึงรู้สึกปรับตัวไม่ทัน
เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนพวกผู้หญิงบอบบาง แค่ลมพัดก็ปลิวได้
รองเท้าสีเทาสะอาดหยุดอยู่ตรงหน้า อวี๋มู่เงยหน้ามองเว่ยจวินหยาง ทันใดนั้น เขาก็นึกถึงภาพที่ครั้งหนึ่งชายคนนี้เคยเป็เด็กน้อยที่เดินมองเขาไปมา ให้ความรู้สึกเย็นวาบอย่างแปลกประหลาด
ซึ่งต่างจากหนนี้
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว แล้วยืนหันหลังให้อวี๋มู่ จากนั้นก็นั่งลงแล้วกล่าวกับเขา “ขึ้นมา ข้าจะแบกเ้าเอง”
แผ่นหลังของเว่ยจวินหยางนั้นกว้างและผึ่งผาย พอมองจากมุมนี้ อวี๋มู่ก็เห็นหลังหูขาวเนียนและกรอบหน้าด้านข้างที่งดงาม
เว่ยจวินหยางไม่เคยหันหลังให้ใครมาก่อน เพราะแบบนี้เท่ากับเปิดช่องโหว่ที่อันตราย แต่ตอนนี้เขากลับทำท่าทางเช่นนี้กับอวี๋มู่
นี่เป็การกระทำที่เชื่อมั่นอย่างที่สุดโดยที่เขาก็ไม่รู้ตัว
อวี๋มู่ชะงัก รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นทันใด
เขายังอยากปฏิเสธ “นายท่าน ข้าน้อยเดินเองได้…”
แต่เว่ยจวินหยางขัดเขา “ขึ้นมา”
เขานั่งรออยู่เช่นนี้ จนอวี๋มู่สังเกตเห็นใบหูที่แดงระเรื่อของอีกฝ่าย
“เร็วสิ” ครั้งนี้น้ำเสียงของเว่ยจวินหยางออกแกมบังคับ
อวี๋มู่จึงต้องคลานขึ้นเกาะหลังของเว่ยจวินหยาง เว่ยจวินหยางลุกขึ้นยืนแต่ยังไม่วายจิกเขาคำหนึ่ง “นี่เ้าเป็หมูหรืออย่างไร ตัวหนักเสียจริง”
อวี๋มู่ :…
-------------------------------------------------------------------------------------------------