ร่างของอี้หนิงกุ้ยเหรินในชุดสีชมพูอ่อนปักด้วยดอกไม้มงคล เดินเล่นอยู่กลางสวนดอกเหมยตามลำพัง เพื่อรอเวลา ก่อนผีเสื้อตัวหนึ่งจะบินผ่านมาแล้วดอมดมดอกเหมยที่ว่า อี้หนิงหยุดมองแล้วปล่อยยิ้ม
‘ข้าเห็นความรักของจวิ้นเทียนฮ่องเต้ ที่มีต่อจือซินกุ้ยเฟยแล้วล่ะ เป็อย่างที่ประวัติศาสตร์ว่าไว้ไม่มีผิด พระนางเป็ที่รักของจวิ้นเทียนฮ่องเต้เป็อย่างมาก ถึงขนาดปลูกดอกไม้ให้ทั้งแปลง ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้นางรับรักตอบ ความรักเช่นนี้หายากยิ่งนักในยุคของข้า’ ความคิดยังไม่ทันจางหาย เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“อี้หนิงกุ้ยเหริน พบกันอีกแล้วนะ” หญิงสาวหันใบหน้างดงามไปยังต้นเสียง พบกับชายหนุ่มคนเดิมที่เคยพบเมื่อหลายวันก่อน พร้อมกลิ่นถุงหอมที่ติดกายเขาลอยแ่เบาเข้ามาปะทะจมูก ทำให้นางเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ท่านอีกแล้ว” นางเอ่ยเบา ๆ ก่อนเขาพยักหน้ารับ แล้วก้าวเข้ามาใกล้ ดวงตาคมกวาดมองรอบบริเวณอย่างพินิจ
“เ้าชอบที่นี่หรือ? ข้าเห็นเ้าชื่นชมมันอยู่นานแล้ว” เขาเอ่ยถาม น้ำเสียงแฝงความนุ่มนวล นางหันมองสวนดอกเหมยอีกครั้ง แววตาเปี่ยมด้วยความสุข ก่อนริมฝีปากจะคลี่ยิ้ม
“แปลงดอกไม้งดงามมากเพียงนี้ มีผู้ใดไม่ชอบบ้าง”
“มีสิ” คำตอบสั้น ๆ ของเขา ทำให้อี้หนิงกุ้ยเหรินนิ่งเงียบดวงตากลมโตมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย ชายหนุ่มยื่นมือไปเด็ดดอกเหมยขึ้นมาอย่างแ่เบา ก่อนจ้องมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับครุ่นคิดถึงบางสิ่ง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“จือซินกุ้ยเฟย ไม่ชอบแปลงดอกเหมยนี้”
“ท่านรู้ได้อย่างไร แปลงดอกเหมยนี้ จวิ้นเทียนฮ่องเต้ทรงสร้างขึ้นเพื่อให้จือซินกุ้ยเฟยนำไปทำเป็เครื่องหอม เพื่อที่จะ....” ยังไม่ทันกล่าวจบ อี้หนิงก็หันมองไปยังถุงหอมที่ติดกายชายหนุ่มคนดังกล่าว ก่อนนางจะจับจ้องไปยังถุงหอมนั้นด้วยความแปลกใจอย่างถึงที่สุด
“ใครว่าจือซินกุ้ยเฟย ใช้ดอกเหมยจากสวนนี้กันล่ะ นางใช้ดอกเหมยจากตำหนักฉางชุนต่างหาก ดังนั้นแล้วสิ่งที่จวิ้นเทียนฮ่องเต้ทำในตอนนี้แทบไม่มีความหมายใด ๆ ทั้งสิ้น อาหารก็เช่นกัน ต่อให้พยายามทำเพียงใด ก็ไม่มีวันเหนี่ยวรั้งใจของจือซินกุ้ยเฟยได้ ที่พวกเ้าทำอยู่ตอนนี้มันสูญเปล่า” น้ำเสียงราบเรียบของเขาทำให้อี้หนิงเอียงศีรษะเล็กน้อย ก่อนหรี่ตาจับจ้องใบหน้าของชายหนุ่มอย่างตั้งใจ ราวกับพยายามค้นหาความจริงบางอย่าง
“ที่แท้เป็ท่านหรอกเหรอ ที่แอบฟังข้ากับฮ่องเต้ระหว่างทำอาหาร ตกลงท่านเป็ใครกันแน่” เขายิ้มพร้อมก้าวเท้าไปหาอีกฝ่าย แล้วแตะไหล่นางเบา ๆ
“คนใจดีไง ข้าเคยบอกให้เ้าเรียกข้า ว่าคนใจดี ไม่ใช่เหรอ” เขาพูดจบ จึงหยิบเอาขวดยาสีขาวขึ้นมา แล้วแต้มไปที่มือและแขนของนาง ที่เป็รอยแดงจากน้ำมันกระเด็นใส่ สายตาของอี้หนิงมองเขาแน่นิ่ง พลันขบคิด
‘เขาเป็ใครกันแน่’
“ข้าจะบอกอะไรให้อย่างหนึ่ง ความรักเป็สิ่งเดียวในโลกที่ไม่อาจบงการได้ ต่อให้ทำดีเท่าใดก็ไม่อาจแลกความรักได้ เพราะความรักกับความดีมันคนละส่วนกัน ไม่ต้องหาเหตุผล ไม่ต้องฝืนทำอะไรที่ไม่ใช่ตนเอง เพราะรักก็คือรัก ไม่รักก็คือไม่รัก ง่าย ๆ แค่นั้น” พูดจบ เขาก็แต้มยาไปที่หางคิ้วของนางเป็ครั้งสุดท้าย ก่อนจะปิดขวดยาแล้วยื่นให้อีกฝ่าย
“เข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่” นางรับยาไปแล้วเงยหน้ามองเขาพลันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนชายหนุ่มจะปล่อยยิ้มแล้วเบี่ยงตัวเดินจากไป ท่ามกลางสายลมอ่อนพัดมาปะทะกาย เมื่อหญิงสาวได้สติ นางหันไปยังตำหนักเฉิงเทียนของฮ่องเต้ ที่แสงไฟในห้องส่องกระทบจนเห็นร่างของจือซินกุ้ยเฟย ที่กำลังลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปในเวลาอันรวดเร็ว
‘ฮ่องเต้!’ อี้หนิงอุทานออกมาด้วยความเป็ห่วง พลันรีบก้าวเท้ากลับไปยังตำหนักเฉิงเทียนทันที เมื่อเปิดประตูเข้าไป พบฮ่องเต้นั่งนิ่ง พลันเอื้อมไปรินชาใส่ถ้วยแล้วยกดื่มช้า ๆ ท่ามกลางแสงเทียนที่นางจุดไว้เพื่อเพิ่มบรรยากาศ พร้อมสองเท้าของอี้หนิงค่อย ๆ ก้าวเข้ามาอย่างเงียบ ๆ นางเลื่อนมองดูปลาต้มสมุนไพรที่วางอยู่บนโต๊ะ ซึ่งจวิ้นเทียนฮ่องเต้พยายามปรุงด้วยความตั้งใจนานหลายชั่วโมง
“ล้มเหลว” เขาเอ่ยขึ้นเบา ๆ พลางมองอาหารตรงหน้า แล้วเอื้อมไปคีบอาหารใส่ปากเคี้ยว พร้อมแววตาผิดหวัง ก่อนจะฝืนยิ้มแล้วกล่าวต่อ
“นาง...ไม่แม้แต่จะแตะอาหารที่ข้าทำ แผนการของเ้า ไม่เข้าท่าซะจริง” เขาพูดพลางเอื้อมไปคีบอาหารใส่ถ้วยช้า ๆ แล้วยื่นให้อี้หนิง
“รับผิดชอบสิ อาหารมากเช่นนี้ ข้ากินคนเดียวไม่หมดหรอก” เขามองหน้าใบหน้างดงามของอีกฝ่าย แล้วเอ่ยขึ้น พยายามเก็บซ่อนความผิดหวังไว้ ไม่แสดงออกมา ก่อนอี้หนิงย่อตัวลงนั่งด้านข้าง แล้วคีบอาหารใส่ปาก พลันเหลือบตามองอีกฝ่ายแล้วขบคิด
‘เขาต้องเสียใจมากแน่ ๆ เวลานี้กำลังใจสำคัญที่สุด’ สิ้นความคิด หญิงสาวจึงเอ่ยขึ้น
“รสชาติไม่แย่ซะหน่อย” นางเปรยออกมาเบา ๆ ให้เขาได้ยิน แล้วเอื้อมไปคีบอาหารใส่ปากอีกครั้ง เมื่อััรสชาติแท้จริงอย่างเต็มปากเต็มคำ จึงพยักหน้าเบา ๆ แล้วเปรยอีกครั้ง
“อร่อยจะตายไป” ท่าทางและใบหน้าจริงจังของนาง ทำให้จวิ้นเทียนฮ่องเต้หันมอง
“ฝีมือข้าไม่แย่ใช่หรือไม่” คำถามของเขา ทำให้อี้หนิงรีบวางตะเกียบลงแล้วเอ่ยขึ้นในทันที เพื่อให้กำลังใจเขา
“อร่อยกว่าที่จวนสกุลจ้าวทำเสียอีก ฝีมือดีเช่นนี้ ผู้ใดไม่กิน ผู้นั้นถือไม่มีวาสนา” นางยืดตัวตรง ทอดสายตามองมา แล้วเอ่ยด้วยความหนักแน่น ทำให้อีกฝ่ายรับรู้ได้ ว่านางคิดอะไรอยู่ เขาจึงฝืนยิ้มแล้วตอบกลับ
“อย่างน้อยก็ไม่ต้องเททิ้ง พวกเรากินกันเองก็ได้” อี้หนิงพยักหน้าแล้วตักอาหารใส่ปาก นั่งเสวยอาหารเป็เพื่อนจวิ้นเทียนฮ่องเต้ ท่ามกลางแสงเทียนที่จุดไว้ส่องไสวไปมาเบา ๆ